ช่วงที่สภาพอากาศไม่เป็นใจให้แก่การเดินทาง หรือออกไปทำธุระข้างนอก หากจำเป็นก็ต้องฝืนทนและป้องกันตัวให้ดี แต่หากไม่มีความจำเป็น การนอนอยู่บ้านเห็นจะดีที่สุด เครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องฟอกอากาศจึงกลายเป็นฮีโร่ขึ้นมาทันที แต่เครื่องฟอกอากาศแบบไหนกันล่ะที่จะคุ้มที่สุด
โดยทั่วไปแล้ว เทคโนโลยีสำหรับการฟอกอากาศจะมีอยู่ 2ระบบ คือระบบ Passive และ ระบบ Active Pure
ระบบ Passive
ก็คือระบบพัดลมดูดอากาศ ผ่านแผ่นกรองอากาศ หรือฟิลเตอร์ ในการดักจับฝุ่นขนาดต่างๆ ก่อนทำการฟอกอากาศแล้วปล่อยอากาศบริสุทธิ์กลับออกมา ระบบนี้นิยมใช้ในเครื่องปรัอากาศ หรือเครื่องกรองอากาศทั่วไป เพราะต้นทุนไม่สูงมาก ฟิลเตอร์สามารถหาซื้อเปลี่ยน และบำรุงดูแลรักษาได้ง่าย แต่ที่ลำบากคือ หากต้องการดักจับฝุ่นในขนาดต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต้องใช้ฟิลเตอร์หลายชนิด ที่มีความถึ่หน้ากรองต่างกัน ตาถี่ห่างเกินไปก็ดักจับไม่ได้ ตาถี่ถี่เกินไปก็อุดตันเร็ว เรียงลำดับแบบตาถี่ห่างอยู่แผ่นนอกสุด ไปหาตาถี่ถี่สุด คือตำแหน่งที่ดีที่สุด แต่หน้าที่ของเราที่ค่อนข้างน่าเบื่อคือต้องถอดชิ้นส่วนออกมาทำความสะอาดบ่อยๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ เมื่อถึงเวลาหมดอายุการใช้งานก็ต้องเปลี่ยน ลงทุนแบบเสียน้อยแต่เสียบ่อยครั้ง
ระบบ Active Pure
ทำงานด้วยการให้อากาศ (หรือโมเลกุลต่างๆ ในอากาศ) ผ่านเข้าสู่กล่องประจุ ActivePure honeycomb matrix อากาศที่ผ่านเข้าไปภายในกล่อง จะทำปฏิกิริยาเปลี่ยน ออกซิเจนและน้ำ เป็น ออกซิไดเซอร์ แล้วปล่อยกลับออกมา โดยประจุออกซิไดเซอร์ที่ออกมานั้นจะกระจายตัวไปในอากาศเพื่อดักจับฝุ่น และลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ และหลังจากการดักจับฝุ่นและกลิ่น ด้วยน้ำหนักของโมเลกุลที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ฝุ่นเหล่านั้นตกลงสู่พื้น เนื่องจากฝุ่นตกลงพื้นแล้ว อากาศก็สะอาด สิ่งที่เราต้องทำก็แค่กวาดพื้น หรือทำความสะอาดบ้านตามปกติ แต่กล่องประจุ ActivePure honeycomb matrix นั้นต้องนำเข้า หรือสั่งทำพิเศษ ซึ่งค่อนข้างหายากและราคาแพง ปกติจึงถูกติดตั้งและใช้ในเครื่องฟอกอากาศที่ค่อนข้างมีราคาสูง แต่อายุการใช้งานก็ค่อนข้างนานกว่าการใช้ฟิลเตอร์กรองอากาศมาก เพราะไม่มีการดักจับฝุ่นให้กล่องประจุอุดตัน การลงทุนจึงเป็นแบบเสียมากแต่ก็นานทีปีหนถึงจะได้เปลี่ยนครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ การเลือกใช้เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องกรองอากาศที่มีระบบการกำจัดฝุ่นที่ต่างกันนี้ ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และกำลังซื้อของผู้ใช้เอง จำเป็นต้องใช้และกำลังซื้อน้อยก็ใช้แบบ Passive เพราะราคาถูกกว่า และหาซื้อง่าย แต่ถ้ามีกำลังซื้อและลงทุนได้ในระยะยาว(มาก) ก็ใช้แบบ Active Pure เพราะถึงจะราคาแพงกว่า แต่การใช้งานก็คุ้มค่ากว่าแน่นอนที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก:
https://www.smellbusters.com/air-purifiers/what-is-activepure/
http://th.olansi-airpurifier.com/info/how-air-purifiers-air-cleaner-work-37392900.html
next part may be next year.....
just kidding. See you next times
ยุค PM2.5 ระบาด ควรปรับตัวอย่างไรดี? ...Prt.4
โดยทั่วไปแล้ว เทคโนโลยีสำหรับการฟอกอากาศจะมีอยู่ 2ระบบ คือระบบ Passive และ ระบบ Active Pure
ระบบ Passive
ก็คือระบบพัดลมดูดอากาศ ผ่านแผ่นกรองอากาศ หรือฟิลเตอร์ ในการดักจับฝุ่นขนาดต่างๆ ก่อนทำการฟอกอากาศแล้วปล่อยอากาศบริสุทธิ์กลับออกมา ระบบนี้นิยมใช้ในเครื่องปรัอากาศ หรือเครื่องกรองอากาศทั่วไป เพราะต้นทุนไม่สูงมาก ฟิลเตอร์สามารถหาซื้อเปลี่ยน และบำรุงดูแลรักษาได้ง่าย แต่ที่ลำบากคือ หากต้องการดักจับฝุ่นในขนาดต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต้องใช้ฟิลเตอร์หลายชนิด ที่มีความถึ่หน้ากรองต่างกัน ตาถี่ห่างเกินไปก็ดักจับไม่ได้ ตาถี่ถี่เกินไปก็อุดตันเร็ว เรียงลำดับแบบตาถี่ห่างอยู่แผ่นนอกสุด ไปหาตาถี่ถี่สุด คือตำแหน่งที่ดีที่สุด แต่หน้าที่ของเราที่ค่อนข้างน่าเบื่อคือต้องถอดชิ้นส่วนออกมาทำความสะอาดบ่อยๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ เมื่อถึงเวลาหมดอายุการใช้งานก็ต้องเปลี่ยน ลงทุนแบบเสียน้อยแต่เสียบ่อยครั้ง
ระบบ Active Pure
ทำงานด้วยการให้อากาศ (หรือโมเลกุลต่างๆ ในอากาศ) ผ่านเข้าสู่กล่องประจุ ActivePure honeycomb matrix อากาศที่ผ่านเข้าไปภายในกล่อง จะทำปฏิกิริยาเปลี่ยน ออกซิเจนและน้ำ เป็น ออกซิไดเซอร์ แล้วปล่อยกลับออกมา โดยประจุออกซิไดเซอร์ที่ออกมานั้นจะกระจายตัวไปในอากาศเพื่อดักจับฝุ่น และลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ และหลังจากการดักจับฝุ่นและกลิ่น ด้วยน้ำหนักของโมเลกุลที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ฝุ่นเหล่านั้นตกลงสู่พื้น เนื่องจากฝุ่นตกลงพื้นแล้ว อากาศก็สะอาด สิ่งที่เราต้องทำก็แค่กวาดพื้น หรือทำความสะอาดบ้านตามปกติ แต่กล่องประจุ ActivePure honeycomb matrix นั้นต้องนำเข้า หรือสั่งทำพิเศษ ซึ่งค่อนข้างหายากและราคาแพง ปกติจึงถูกติดตั้งและใช้ในเครื่องฟอกอากาศที่ค่อนข้างมีราคาสูง แต่อายุการใช้งานก็ค่อนข้างนานกว่าการใช้ฟิลเตอร์กรองอากาศมาก เพราะไม่มีการดักจับฝุ่นให้กล่องประจุอุดตัน การลงทุนจึงเป็นแบบเสียมากแต่ก็นานทีปีหนถึงจะได้เปลี่ยนครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ การเลือกใช้เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องกรองอากาศที่มีระบบการกำจัดฝุ่นที่ต่างกันนี้ ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และกำลังซื้อของผู้ใช้เอง จำเป็นต้องใช้และกำลังซื้อน้อยก็ใช้แบบ Passive เพราะราคาถูกกว่า และหาซื้อง่าย แต่ถ้ามีกำลังซื้อและลงทุนได้ในระยะยาว(มาก) ก็ใช้แบบ Active Pure เพราะถึงจะราคาแพงกว่า แต่การใช้งานก็คุ้มค่ากว่าแน่นอนที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก:
https://www.smellbusters.com/air-purifiers/what-is-activepure/
http://th.olansi-airpurifier.com/info/how-air-purifiers-air-cleaner-work-37392900.html
next part may be next year.....
just kidding. See you next times