บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ (ตอน 9)


ตอน 9
เปลี่ยนแปลง

          เมื่อถึงวันเดินทาง เธอเดินทางไปพร้อมกับผม จังหวัดที่ผมไปทำงานนั้นเป็นจังหวัดเล็กๆ เงียบสงบ ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ผมได้ที่พักเป็นอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้น ห้องพักเรียงรายกันทั้งด้านหน้าและเชื่อต่อไปด้านข้างเป็นรูปตัวอักษรแอล ห้องพักของผมอยู่ด้านหน้าหันหน้าออกไปยังถนน ภายในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ด้านหลังห้องเป็นพื้นที่ของระเบียงที่กว้างพอสมควร มีลูกรงเหล็กดัดติดกั้นเอาไว้อย่างแน่นหนาปลอดภัยทุกด้าน และห้องน้ำก็อยู่ตรงบริเวณระเบียงนี้เอง เวลาจะเข้าห้องน้ำจะต้องเปิดประตูหลังห้องเสียก่อน ถึงจะเข้าห้องน้ำได้ ส่วนวิวทิวทัศน์บริเวณหลังห้องนั้น ก็ไม่มีอะไรสวยงาม เป็นกำแพงสูงกั้นป่ารกเอาไว้ ส่วนด้านข้างก็เป็นระเบียงหลังห้องของห้องพักที่อยู่แนวด้านข้าง  
          “แก๊กๆ แก๊กๆ”
          ผมเหลือบมองไปตามเสียงที่ดังนั้น เป็นเสียงกระทบกันของไม้แขวนเสื้อที่เกี่ยวเอาไว้กับลูกกรงเหล็กดัดของห้องพักที่อยู่แนวด้านข้าง กับเศษผ้าสีดำขนาดเล็กขาดรุ่งริ่งติดอยู่กับไม้แขวนเสื้อ ราวกับริบบิ้น พริ้วไหวไปตามแรงลม
          ครั้งแรกที่เธอเข้ามาภายในห้องนี้ ก็แสดงออกทางสีหน้าว่าไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออก
 
          คืนแรกของการเข้าพัก หลังจากที่เราจัดของให้เข้าที่เข้าทางกว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาดึก เธอเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางตลอดทั้งวัน จึงขอตัวไปอาบน้ำก่อน ส่วนผมยังเก็บของที่เหลืออีกเล็กๆ น้อยๆ จนเวลาผ่านไปสักพัก
          ปัง!
          เสียงประตูด้านหลังถูกปิดกระแทกอย่างรุนแรง ผมรีบลุกออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นเป็นภาพของเธอนุ่งผ้าเช็ดตัว เนื้อตัวสั่น สีหน้าตื่นตกใจ
          “เกิดอะไรขึ้น” ผมสอบถามทันทีที่เห็นอาการตื่นกลัวของเธอ
          “ไม่มีอะไร” เธอตอบเพียงสั้นๆ จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปในห้องนอนทันที
          เธอบอกให้ผมรีบไปอาบน้ำ จะได้พักผ่อนเสียที ขณะที่ผมยังคงสงสัยอาคารตื่นกลัวของเธอ คงจะมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่
 
          เมื่อผมเปิดประตูด้านหลังเตรียมตัวที่จะเข้าไปอาบน้ำ และทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ลมเย็นโชยพัดเข้าปะทะกาย มันไม่ได้เป็นลมธรรมดา แต่เป็นลมเย็นที่ทำให้เสียวซ่านไปทั้งตัว ชวนให้ขนหัวลุก บรรยากาศด้านหลังห้องมืดมาก เวลาดึกขนาดนี้ ห้องพักตลอดแนวด้านข้างไม่มีห้องไหนเปิดไฟอยู่เลย คงจะเข้านอนกันหมดแล้ว 
          หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย และเตรียมที่จะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง
 
          แก๊กๆ แก๊กๆ แก๊กๆ 
          เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องเหลียวหันไปมอง ท่านกลางความมืด เป็นเสียงของไม้แขวนเสื้อกับเศษผ้าสีดำ พริ้วไหวไปตามสายลมดังกระทบกับลูกกรงเหล็กนั่นเอง แต่ก็น่าแปลก ทำไมก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำ ก็มีลมพัดโชยมาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้ยินเสียงนี้เลย
          ‘มีบางอย่างกำลังจ้องมองผมอยู่’ จากระเบียงที่มืดมิดนั้น และคิดว่าน่าจะมาจากห้องที่ไม้แขวนเสื้อแขวนอยู่นั่นล่ะ ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจน
          ผมกลัวมาก จนขนหัวลุกสั่นไปทั้งตัว รีบเปิดประตูและเข้ามาภายในห้อง จากนั้นก็ปิดล็อกกลอนอย่างรวดเร็ว และเมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจอีกครั้ง เธอกำลังยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากประตูห้องนอน แล้วก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผมรีบเข้ามาภายในห้อง
          เราสองคนเข้านอนทันที หลังจากนั้นเราไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้อีก เราต่างก็รู้ว่า มีบางอย่างที่ไม่ปรกติเกิดขึ้น ...และเราสองคนก็สัมผัสมันได้
 
          เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่เธอจะต้องเดินทางกลับ เมื่อออกจากห้องพัก เธอมองเข้าไปด้านในอีกครั้ง แล้วก็บอกว่า ถ้าต้องเดินทางมาที่นี่อีก เธอขอไปพักโรงแรม ไม่อยากนอนที่ห้องนี้อีกแล้ว
 
          หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยเดินทางกลับมาที่นี่อีกเลย
 
          ผมยังคงพักที่ห้องนี้ต่อไป ทุกอย่างเป็นปกติ ยกเว้นก็ตรงบริเวณระเบียงหลังห้อง มีความรู้สึกว่าใครบางคนกำลังยืนจ้องมองมาทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่ตอนกลางวัน และผมก็มารู้ในภายหลังว่า ห้องพักตลอดแนวด้านนั้น
          ...ไม่มีคนเข้าพัก
 
(ปล. ผมพยายามสอบถามจากเจ้าหน้าที่ของอพาร์ตเมนต์หลายครั้ง แต่ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนนัก ซึ่งผมก็สงสัยว่า ถ้าไม่มีอะไรเจ้าหน้าที่ก็คงตอบแบบตรงๆ ว่า “ไม่มีอะไร ไม่เคยมีคนตายที่นี่” แต่คำตอบที่ได้แต่ละครั้งกลับเป็นการบ่ายเบี่ยงที่จะให้คำตอบ คลุมเครือน่าสงสัย และถ้าจะให้ลองคาดเดา ผมว่าห้องนั้นอาจมีคนแขวนคอตาย!)
 
 
 “ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
อยู่ที่ เรา จะมั่นคง สามารถยืนหยัด
ต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้หรือไม่”
 
          ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลง เราทั้งคู่พยายามปรับตัวให้ได้ จะใช้การคุยกันผ่านทางโทรศัพท์เสียเป็นส่วนใหญ่ทั้งช่วงกลางวัน และเวลาที่ยาวนานในช่วงค่ำคืน เธอไปไหนมาไหนไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน โดยเฉพาะห้องพักที่เงียบสงบของเรา ที่ตั้งอยู่ห่างไกลชุมชน ไม่มีรถเมล์แล่นผ่าน และทุกครั้งเมื่อเธอต้องไปทำงานหรือเดินทางกลับก็ต้องคอยให้เพื่อนที่ทำงานขับรถมาส่งทุกครั้ง ซึ่งเธอก็รู้สึกเกรงใจเพื่อนมาก และการทำงานของเธอก็เช่นเดียวกัน เธอต้องปรับเปลี่ยนเวลาในการเก็บข้อมูลตามอำเภอที่อยู่ห่างไกลเป็นช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซึ่งก็ต้องรอให้ผมเดินทางกลับมาเสียก่อน แล้วก็พาเธอไปทำงานเก็บข้อมูล ส่วนในช่วงวันธรรมดา เธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่พักผ่อนอยู่แต่ภายในห้อง
          ส่วนตัวผมก็มีชีวิตที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์เหมือนปกติ และเมื่อถึงเวลาบ่ายของวันศุกร์ก็จะต้องรีบเตรียมตัวเดินทางกลับไปหาเธอ ระยะทางที่ยาวไกลใช้เวลากว่าหกชั่วโมง กว่าจะถึงก็เป็นเวลาดึกพอสมควร และวันอาทิตย์ช่วงค่ำก็ต้องเดินทางกลับ เป็นแบบนี้ทุกสัปดาห์อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
          เมื่อผมเดินทางมาถึง เวลาส่วนใหญ่ในช่วงวันหยุดก็จะหมดไปกับการพาเธอไปทำงานเก็บข้อมูลในที่ต่างๆ หรือหากวันไหนไม่ต้องไปทำงาน เราก็จะขับรถไปเที่ยวกันอยู่เสมอ ถึงแม้จะลำบากไปบ้าง แต่เราทั้งคู่ก็ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ถือว่าเราปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ดีเลยทีเดียว แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง 
 
          เวลาผ่านไปเข้าสู่ช่วงเดือนที่สองนับตั้งแต่ผมย้ายไปจังหวัดอื่น จนวันหนึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า อยู่ๆ เพื่อนที่สนิทกันมากเมื่อสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาชวนเธอไปงานเลี้ยงรุ่นที่โรงเรียนเก่า เธอบ่นว่าไม่อยากไปเลย แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร และผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เธอจะได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศ ได้พบปะเพื่อนฝูง ประกอบกับเพื่อนหลายคนพยายามโทร.มารบเร้า จนเธอต้องจำใจไปอย่างไม่เต็มใจนัก
          ภายในงานเลี้ยงเธอได้เจอเพื่อนที่เคยสนิทกันหลายคน และได้กลับมาติดต่อกันอีกครั้งในเวลาต่อมา ผมรู้สึกได้ว่าเธอมีความสุขมากขึ้นหลังจากที่ไปงานเลี้ยงในคืนนั้น และหลังจากนั้นไม่กี่วัน เธอก็ขอผมไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่งที่เจอกันในงานเลี้ยงรุ่น ซึ่งผมก็เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เธอเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถดูแลตัวเองได้
          และเมื่องานเลี้ยงวันเกิดมาถึง เราโทร.คุยกันก่อนเธอไปงานเลี้ยงในช่วงเย็น ผมกำชับให้เธอดูแลตัวเอง เมื่อกลับถึงห้องพักแล้วก็ให้โทร.หาด้วย ซึ่งเธอก็รับปากตามนั้น ทุกอย่างดูเหมือนเป็นปกติ จนเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในช่วงเวลาราวตีสอง เธอโทร.มาบอกว่าถึงห้องแล้ว วันนี้เธอดื่มเหล้าไปหลายแก้ว รู้สึกมึนมาก ผมแปลกใจบ้างเล็กน้อยกับอาการเมาของเธอ เพราะตั้งแต่คบหากัน ก็รู้มาตลอดว่าเธอไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่การไปเจอเพื่อนก็คงจะสนุกสนานกันไปบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติ
          หลังจากนั้น ผมเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างเปลี่ยนไป เธอขอไปงานวันเกิดเพื่อนอีกเป็นครั้งที่สอง และคราวนี้เป็นเธอที่ขอไปเอง ไม่ได้ถูกเพื่อนรบเร้าเหมือนครั้งก่อน ซึ่งผมก็อนุญาตเหมือนที่ผ่านมา แต่อดที่จะแปลกใจไม่ได้เท่านั้น เพราะปกติเธอไม่ค่อยชอบเข้างานสังคม โดยเฉพาะการไปเที่ยวเตร่ยามค่ำคืน นอกจากขอไปงานวันเกิดเพื่อนแล้ว เธอยังขอไปพักค้างคืนกับเพื่อนที่ทำงานอีกหลายครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่า จะต้องออกไปทำงานด้วยกันในช่วงเช้า และกลับมานั่งทำงานต่ออีกในช่วงเวลากลางคืน เธอเกรงใจเพื่อนที่จะต้องขี่รถมอเตอร์ไซด์มารับส่งเธอที่ห้อง ซึ่งผมก็ตามใจเธอทุกครั้ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เธอบอกเอาไว้จริงๆ ห้องพักของเราไกลจากชุมชนเป็นเรื่องลำบากสำหรับการเดินทาง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ปกติแล้วเธอจะมีอุปนิสัยรักความเป็นส่วนตัว และมักจะบ่นอยู่เสมอว่าการไปพักค้างคืนกับคนอื่นเป็นเรื่องที่ลำบาก ไหนจะต้องจัดเตรียมข้าวของ เครื่องใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า และอุปกรณ์การทำงานอีก ทุกอย่างยุ่งยากไปหมด แม้จะดูว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติบ้าง แต่ผมก็เลือกจะมองข้ามไป 
          ความเปลี่ยนแปลงเริ่มมีให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น เราคุยกันน้อยลง เวลาที่ผมโทร.หาเธอยามค่ำคืน รู้สึกเหมือนเธออยู่กับใครบางคนในห้องพักของเรา เธอไม่สะดวกที่จะคุยมากนัก เป็นการพูดคุยกันเพียงสั้นๆ เท่านั้น และทุกครั้งเธอก็จะขอตัวพักผ่อน บอกเพียงว่าทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน 
          ขณะที่การไปเที่ยวยามค่ำคืนเริ่มมีอย่างต่อเนื่อง จากครั้งสองครั้ง กลายเป็นบ่อยมากขึ้น และเมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมเดินทางกลับมาหาเธอทุกอย่างก็เป็นปกติ
          ‘หรือว่าเราจะคิดไปเอง...’
          แต่ความรู้สึกหลายครั้ง ทำให้ผมคิดค้าน ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
 
          เพราะหลายเหตุการณ์ชวนให้คิดไปอย่างนั้น
 
 
“เธอ... ไม่ใช่ผู้หญิงที่ผมรู้จัก
หรือผู้หญิงที่ผมรู้จักไม่ใช่...เธอ”
ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ
by พรนับพัน
 
หนังสือ บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
โดย พรนับพัน
จาก สำนักพิมพ์คุณหนูชูใจ
เปิดให้พรีออเดอร์แล้วนะครับ หนังสือไม่มีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป
 
บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
เป็นบันทึกเรื่องราวน่าพิศวงที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและจบลงภายในเวลาหนึ่งปี เรื่องราวไม่น่าเชื่อหลายๆ เรื่องเกิดขึ้นตลอดเวลา เชื่อมโยงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้ากับคำว่า “มนตร์ดำ” อย่างลงตัว เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีที่ทั้งสุขและทุกข์ทนไปพร้อมกัน และเรื่องราวทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป สำหรับบุคคลต่างๆ ผมต้องขอสงวนชื่อเอาไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่