ขอวีซ่าเชงเก้น จากเยอรมัน ครั้งแรก -​ เล่าประสบการณ์ เตรียมเอกสารให้ผ่านชิลล์ๆ

เราเพิ่งผ่านประสบการณ์จากการขอวีซ่ายุโรปครั้งแรกมาสักพัก ตอนแรกก็ใจตุ้มต่อมอยู่เหมือนกัน แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ก็เลยขอมาแชร์ประสบการณ์คร่าวๆ ให้ทุกคนมั่นหน้า มั่นใจที่จะไปเที่ยวประเทศที่ต้องขอวีซ่ากันมากขึ้น 

ก่อนอื่นเรามีความตั้งใจจะไปยุโรปมาสักพัก ชอบทั้งฟีลแสกนดิเนเวีย กับยุโรปตะวันออก จนได้ฤกษ์งามยามดีว่า ปีนี้ต้องไปสักที สุดท้ายมาจบที่ ออสเตรีย-เชค-ฮังการี-เยอรมัน วนๆ ลูปประมาณนี้ บินไปลงที่เมืองนึง กลับอีกเมืองนึง ...เอาล่ะ เรามาเริ่มเตรียมเอกสารกัน

เราแพลนแบบกระชั้นชิดมาก คือจะขอ 3 เดือนล่วงหน้าก่อนไป ตามหลักฐานที่วีซ่าจะไม่หมดอายุ แต่พอจะขอ อ้าว ติดไปญี่ปุ่น คิวยื่นเอกสารไม่ได้ พอกลับจากญี่ปุ่นก็เหลือ 2 เดือน เริ่มตาเหลือกละ ยังไม่ได้จองอะไรจริงจัง จองทุกอย่างแบบ เพื่อขอวีซ่า เพราะกลัวไม่ผ่าน จะเสียเงินฟรี

เราแพลนไปขอที่ออสเตรีย สรุป ถ้าไปขอออสเตรีย คิวจะต้องรออีก 3 วัน เลยลองดูเยอรมัน คิวได้วันพรุ่งนี้เลย ก็เลยต้องรีบเตรียมเอกสารใหม่ เพื่อไปขอที่เยอรมันวันพรุ่งนี้ เรียกว่าตาเหลือกจริงๆ แต่หากใครไม่อยากตาเหลือก มาอ่านจ้ะ


ขั้นเตรียมการ

>>> ขั้นแรก หาข้อมูล เข้าเว็บสถานทูต หรืออย่างยุโรปเป็นตัวแทน VFS รับยื่นเอกสาร ก็เข้าไปดูเว็บว่าเขาต้องใช้อะไรบ้าง ไม่ยาก  อ่าน  https://bangkok.diplo.de/th-th/service/visa-einreise/touristenvisum/1678002

>>> ต่อมา เผื่อใครอ่านสถานฑูตเขียนเรื่องเอกสารแล้วงง มา...เราจะอธิบายง่ายๆ ให้ฟัง เรียกว่ามันคือเบสิค พื้นฐาน เบื้องต้นของการเตรียมวีซ่า ‘ของทุกประเทศ’ ใครจะไปขอวีซ่าประเทศไหน เอาง่ายๆ ตามนี้ คือต้องมี นอกนั้นเพิ่มเติมเข้าไปตามที่ประเทศนั้นๆ

2.1   หลักฐานของตัวเอง 

~ พาสปอร์ต 
เพื่อยืนยันว่าคุณคือใคร ซีร็อกไปเลยค่ะ ทั้งเล่ม ใช้ไม่ใช้ไม่รู้ แต่เราซีไปทั้งเล่มใหม่ เล่มเก่า เพราะเล่มเก่าเรามีวีซ่าอเมริกาอยู่ ซีไปเล้ยยยยย 2 ชุด

สรุป เขาใช้เต็มเล่มที่ซีร็อกมา 1 ชุด ที่มีวีซ่า การเดินทางเก่าๆ และใช้หน้าแรกพาสปอร์ตที่มีข้อมูลเรา 2 ชุด


~ เอกสารเปลี่ยนชื่อ-สกุล 
หากมีการเปลี่ยนชื่อ สกุล ให้เตรียมเอกสารตัวนี้ด้วย แต่อย่างเพื่อนเราที่ไปทำ เปลี่ยนชื่อสมัยแบเบาะ คือพาสปอร์ตทุกเล่ม เป็นชื่อเดียวกันหมดแล้ว ก็ไม่ได้เตรียมไป แต่ยังไงใครไม่ชัวร์ มีเอกสารนี้ก็เตรียมไปก่อนดีกว่า


~ รูปถ่าย ขนาด 35 mm x 45 mm 
พื้นหลังสีขาว หรือสีเทา ขนาดหน้าตามระเบียบ ไปถ่ายที่ร้านก็บอกเขาไป หรือเราก็ใช้วิธีถ่ายเองแหละ แต่ต้องมีความสามารถแต่งรูป ปรับความสว่างสักเล็กน้อยให้ดูสวยงาม ปริ๊นกระดาษโฟโต้ ความละเอียดสูงสุด 600 dpi สวยงามเหมือนออกจากร้านแน่นอน ก็สามารถใช้ได้ แต่ขอร้องว่า ไปอ่านในลิ้งค์ ที่เขาบอกเรื่องรายละเอียดรูปก่อน ขนาดใบหน้าที่ถูกต้อง ถ่ายมาไม่ดี สแกนหน้าไม่ผ่านก็เป็นได้ เพราะเขาเป็นระบบ ไบโอเมตริก


~ เอกสารอื่นๆ 
เช่น เอกสารสมรส เอกสารการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ หรือเจ้าของบ้าน ทะเบียนบ้าน เอกสารจิปาถะพวกนี้ เตรียมไปซะ เพราะบางอย่างก็เป็นเครื่องยืนยันการกลับมาประเทศตัวเองได้ดีมากๆ



2.2   หลักฐานการทำงาน / การเรียน

~ ใบรับรองการบริษัท / สถานศึกษา 
ข้อนี้ไม่ยาก เพียงคุณไปแจ้งบริษัทหรือโรงเรียนให้ออกให้หน่อย เขาก็ออกให้แล้ว อ้อ อย่าลืมบอกว่าออกเป็นภาษาอังกฤษนะ หรือถ้าใครบริษัทเล็กๆ เราก็เขียนไปให้เจ้านายเซ็นซะเลย ไม่ยาก...แค่ลงชื่อ ตำแหน่ง เงินเดือนที่ได้รับ เข้าทำงานเมื่อไหร่ ลาพักร้อนวันไหนบ้าง บอกว่าคุณจะกลับมาทำงานนะ ลงชื่อ จบปึ้ง!


~ เจ้าของกิจการ 
ก็ไม่ต้องกลัว จะกิจการเล็กใหญ่ คุณก็ออกจดหมายรับรองตัวเองได้ เขียนไปเลย กิจการทำอะไร เริ่มวันไหน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน หรือต่อปีเท่าไหร่ มีพวกหลักฐานการจดทะเบียน หรือเป็นเพจมีหน้าร้าน ถ่ายรูปร้านไปเลย ถ้าเช่าร้านที่ไหน ก็ส่งเอกสารสัญญาเช่าร้านไป ยิ่งพวกสัญญาเช่าผูกพันยิ่งดี หลักฐานขนาดนี้ ไปแล้วจะไม่กลับมาได้ยังไง


~ ฟรีแลนซ์ 
ยิ่งไม่ต้องหวั่น หากเรามีบริษัทที่เรารับให้ประจำ บ่อยๆ ลองขอเขาหน่อย ออกหนังสือรับรองให้ว่าเราทำงานกับบริษัทนี้จริง ถึงจะเป็นฟรีแลนซ์ ก็ให้เขาเขียนแหละ ว่าฟรีแลนซ์ แต่งานเป็นยังไง ตำแหน่งอะไรก็ว่าไป รายได้ เฉลี่ยต่อเดือนเท่าไหร่สำหรับบริษัทเขา ทำกี่บริษัท ก็ขอไปเลย


2.3   หลักฐานการเงิน

~ สมุดบัญชี / Statement
เราใช้วิธีพิมพ์จากในเน็ตเอา หรือบางคนก็ซีร็อกเอาจากสมุดบัญชีที่อัพเดทล่าสุดแล้ว ไม่ต้องเครียดถ้ามันจะไม่ได้อัพเดทจนถึงวันที่ยื่นเอกสาร ก็เอาล่าสุดสักไม่เกิน 1 สัปดาห์กำลังดี หรือใครจะไปขอจากธนาคารก็ได้ แต่บางทีจะต้องเสียเงินด้วย ไม่แพงมาก หลักร้อยต้นๆ น่าจะตามจำนวนเดือนที่ต้องการ แต่ละแบงค์ระเบียบการเก็บเงินไม่เหมือนกัน แต่เราชอบ Me by TMB สุด ของ่าย ขอในเว็บได้เลย ฟรีด้วย


~ Bank Guarantee 
หรือใบรับรองทางการเงินจากธนาคาร เวลาไปขอ ให้พกพาสปอร์ตไปด้วย เวลาบอกขอเพื่อขอวีซ่า เขาจะขอพาสปอร์ตด้วย อันนี้จะเป็นสรุปยอดเงินรวมในแบงค์เฉยๆ สามารถบอกให้เขาแปลงค่าเงินเป็นสกุลตามประเทศที่เราไปได้ บางที่ก็บอกไม่ใช้ แต่เราขอไว้เพื่อความสบายใจ

** จุดสำคัญคือ เงินน้อย เงินมากสำคัญประมาณหนึ่ง แต่คุณควรมีหลักฐานทางการเงินที่ชัดเจน เช่น สมุดบัญชีควรเป็นเล่มที่ใช้รับเงินเดือน หรือเงินหมุนเวียนภายในบริษัท และควรมีเงินเก็บ หากอยู่อีกเล่ม ก็ยื่นไป 2 เล่ม หากอยู่เล่มเดียวกันก็ยื่นไปเลย 

อยู่ดีดีบางครั้ง โอ้โห มีเงินเข้าหลักแสน ก็ไม่น่าเชื่อถือ ถ้าคุณเป็นพนักงาน แต่ไม่ยื่นเล่มที่มีรายรับ หรือหากรับเงินสด แก้ปัญหาไม่ยาก ยื่นใบหักภาษีที่คุณจะได้หลังรับเงิน ก็ยืนยันได้แล้วมีว่าได้เงินจริง แต่ว่ากรณีนี้ ก็ควรมีบัญชีเงินเก็บที่จะไปใช้จ่ายที่นู่นยื่นไปด้วย

แล้วต้องมีเงินกี่บาท??? คำถามโลกแตก

ตอนญี่ปุ่น-จีน สมัยยื่นวีซ่า เราเคยยื่นทั้งที่เหลือเงินหลัก พันบาทต้นๆ เพราะเป็นบัญชีเงินเดือน เราเอาเงินย้ายไปเก็บแบงค์อื่น แต่เราไม่ได้ยื่นอีกแบงค์ไปด้วย หรือตอนยื่นออสเตรเลีย เรายื่นแบบมีเงิน 2-3 หมื่นมั้ง ไม่ได้ยื่นเงินเก็บ ถ้าจำไม่ผิดเป็นแบบสแกนๆ เอกสารส่งไป ก็ผ่านมาได้ด้วยดี รอบนี้ยุโรป หวาดผวาอยู่เหมือนกัน เพราะทุกคนดูจะยื่นหลักแสนบาทกัน เราก็สู้มาก ลองดูที่บัญชีเงินเก็บ 50,000 บาท แต่ไม่รวมบัญชีเงินเดือนนะ ก็ผ่านมาสวยงาม

...ฉะนั้น ยื่นเงินแบบกำลังดี คือมีเงินหมุนเวียน มีเงินเดือน หากไม่มีเงินเดือนชัดเจน ขอให้มีเงินเก็บแบบพอเยียวยาได้โดยคำนวณดังนี้

จำนวนวันที่จะไป x 5000 = เงินเก็บที่ควรมีสำรองสำหรับท่องเที่ยว

หรือบางประเทศอาจจะน้อยว่านี้สักหน่อยก็ได้ เช่น จีน หรืออินเดีย ดูตามค่าครองชีพแหละ


2.4 หลักฐานทางการท่องเที่ยว 

- ใบจองตั๋วเครื่องบิน 
ซึ่งหลายคนย้ำว่า 'จอง'​ อย่าไปซื้อ หรือใครมั่นใจจะซื้อก็ได้ แต่ให้ถามหรือเช็คหน่อยว่าคืนได้ไหมถ้าวีซ่าไม่ผ่าน 

ถ้าเรานะนำ คือ จองกับเอเจนซี่ ส่วนใหญ่จะคิดค่าบริการ 500 1000 บาท แล้วแต่ แต่เราคิดว่า 500 กำลังดี บางเจ้าฟรีคือดีมาก แพงกว่านี้อย่าไปเอา เพราะเขาไม่ได้เสียเงินอะไรเลย ซึ่งหากกลับไปซื้อกับเขาก็เอาไปลดราคาได้ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็คือจองทิ้งขว้างมาก แต่เน้นสะดวกเข้าว่า เราเลยยอมเสียค่าจอง เพราะบริษัทอยู่ข้างบ้านเลย

อีกวิธีคือ จองทางเว็บที่จ่ายผ่านการโอน หรือชำระที่เคาเตอร์เซอร์วิสต่างๆ เช่น KLM เหมือนว่าจะบุ๊คราคาได้ 24-48 ชม. หรือการบินไทยก็บุ๊คเอาไว้ได้ ไม่แน่ใจว่าต้องโทรไปจองรึเปล่า และเลือกแบบจ่ายที่ 7-11 หมายความว่า กดจองเสร็จ ออกใบ เราก็ปริ๊นท์ใบไปขอวีซ่าได้เลย ข้อเสียคือเราต้องเตรียมเอกสารวันสุดท้ายก่อนไปขอวีซ่าเลย จะได้ดูน่าเชื่อถือว่ายังจองอยู่ พอเราไม่ได้จ่ายเงิน ระบบจะลบเราไปเอง


- ใบจองโรงแรม 
ควรมีให้ครบทุกคืนตลอดระยะเวลาการเดินทาง ซึ่งก็แนะนำให้จองแบบยังไม่จ่ายเงิน ทาง Booking ดีที่สุด เพราะหากไม่ผ่านวีซ่า กดแคนเซิลไป เราก็ไม่เสียเงิน ... แต่เชื่อสิ อ่านมาขนาดนี้แล้ว จะขอไม่ผ่านได้ยังไง


- Travel Itinerary หรือ ตารางการเดินทาง 
ซึ่งอันนี้ค่อนข้างยากสุดในการเตรียมเอกสาร เพราะต้องพิถีพิถันทำขึ้นมาหน่อย แต่ไม่ยาก เพียงเขียนเป็นตารางให้เข้าใจว่า วันที่เท่าไหร่ ไปเมืองไหน เที่ยวอะไรในเมืองบ้าง ก็ทำเป็นข้อๆ เรียงไปก็ได้ ไม่ถึงกับต้องเวลาเป๊ะ อาจจะมีอีกช่องเขียนว่าพักที่ไหน หรือช่องหมายเหตุ เผื่อเขียนแบบ ต้องซื้อการ์ดอันนี้ ต้องเข้าก่อนกี่โมงเผื่อที่เที่ยวปิด ให้ดูว่าเราทำการบ้านนิดนึง

อ้อ แล้วถ้าย้ายเมือง ก็ควรเขียนไปด้วยว่า เราจะย้ายเมือง เดินทางด้วยรถไฟ เรือ รถยนต์ก็ว่าไป ถ้าขยันหน่อย ก็เขียนไปด้วยว่า รถไฟชื่อขบวนอะไร ก็จะดูอู้หูวเก่งมากขึ้นมาทันที โดยขบวนรถไฟ เราแนะนำว่าให้ลองดูเว็บ romerio

แค่ใส่จุดหมายปลายทาง จะขึ้นรูทแนะนำรถไฟ รถบัส ชื่อขบวน เราก็เอาไปใส่ได้เลย ไม่ต้องจองจริงก็ได้ เผื่อเปลี่ยนแปลง


- ประกันอุบัติเหตุ 
อย่างสุดท้ายที่สำคัญ ปกติไปประเทศอื่นๆ บางคนก็ซื้อ บางคนก็ไม่ซื้อแล้วแต่ความพอใจ แต่ยุโรปนั้น เขาบังคับให้ซื้อจ้า ฉะนั้นซื้อแล้วต้องมีหลักฐานกรมธรรม์ยื่นไปด้วย โดยประกันวงเงินขั้นต่ำก็คือ 30,000 ยูโร หรือประมาณ 1 ล้านบาท ใครจะมากกว่านั้นก็เลือกได้เลย ในประกันส่วนใหญ่จะมีเขียนบอกว่า แบบไหนคือขอเพื่อขอวีซ่าเชงเก้นได้อยู่แล้ว

และขอร้องว่า ซื้อประกัน ให้ซื้อครอบคลุมตั้งแต่วันไป ยันวันเครื่องลงถึงงพื้นดินที่ไทยนะ เพราะถ้ากระเป๋าตกหล่นตอนกลับไทยแล้ว แต่เราซื้อไม่ถึง ก็อดเงินประกันนะจ้า
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่