Running Backpacker วิ่งด้วย เที่ยวด้วย ตะลุยภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก



.    พุธตอนบ่ายของวันทำงาน ฉันแอบเลื่อนมือถือไปเจอเข้ากับโพสหนึ่งในกลุ่มซื้อ - ขายบิบวิ่ง เป็นบิบงานวิ่ง-เดิน-ปั่น พิชิตภูหินร่องกล้าระยะทาง 25 km. มองไปมองมา เหมือนโดนครอบงำ จากกิเลสของบิบลดราคา ตัดสินใจซื้อบิบกับพี่คนขาย  แล้วก็กลับมานั่งคิดอีกทีว่า  กูจะไปวิ่งไกลๆทำไมวะ รถก็ไม่มี...โบนัสก็ยังไม่ออก  #ชีวิตทำไมยากเย็นขนาดนั้น



.    แต่ก็เอาหนะ ไหนๆช่วงนี้ฝุ่น pm 2.5 ก็รุนแรงเหลือเกิน อีกนิดนึงหน้าผมคงสีเทาเหมือนสีฝุ่น ถือโอกาสไปสูดบรรยากาศบริสุทธิ์หน่อยจะเป็นไรไป ศุกร์วันออกเดินทาง ที่ยังลังเลไม่หายว่าจะเทดีไหมน้าา  จริงๆเลยคือช่วงนี้ขี้เกียจ  อยากนอนดู Net Filx ให้น้ำหนักตัวขึ้นดีกว่า แต่อีกใจนึงก็เอาวะ ออกไปเจอโลกกว้างบ้าง ทั้งที่หลังๆมานี้ ออกบ่อยซะเหลือเกินนะ  



!!!! คิดยังไม่ทันจบ พนักงานขายตั๋วรถบัสที่หมอชิตก็ถามโพล่งขึ้นมา "ไปไหนน้อง เร็วๆ คนอื่นเขาต่อแถวรออยู่"   "ไปพิษณุโลกครับมีรอบเร็วสุดกี่โมง(ในใจคิดให้มันเต็มให้หมด จะได้กลับบ้านนอน)"  .….... " จ่ายมา 288 บาท อีก 15 นาที ขึ้นรถ "   โชคชะตามันคงเลือกทางนี้ให้เราแล้วละ ไปก็ไปวะ Let go....  #อย่างไรเราคงต้องเดินไปกับมัน



     รถบัสคันเก่าแบกคนเต็มคัน พาเราตุเลงๆ มาถึงพิษณุโลกตอนตี 4  ลงรถมาแรกสัมผัส คิดว่าที่นี่คือคนละประเทศกับกรุงเทพ อากาศหนาวแทบสั่นระริกไปทั้งตัว  และก็แน่ละ ทั้งเป้มีแค่เสื้อวิ่ง 3 ตัวที่เตรียมมา กับกางเกงวิ่งอีก 2 ตัว + กางเกงในอีก 2 ตัวให้ด้วย  ซึ่งก็นั่นแหละ มันไม่ได้ช่วยอะไร  #ขอเพียงใจเราเท่านั้นไม่หวั่นไหว



     รถเที่ยวแรกออกจากตัวเมืองไปอำเภอนครไทย เวลาตี 5 ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงสถานีขนส่งนครไทย อย่างเวิ้งว้าง !!! ลืมบอกไปว่า เสื้อกับบิบวิ่งผมอยู่กับพี่อีกคน เขาชื่อว่า “พี่รุ่ง” เป็นผู้พิการทางการได้ยิน พี่รุ่งคือพระเอกของทริปนี้  #เป็นทุกอย่างให้ผมแล้ว  ผมนัดเจอพี่รุ่งตอนแปดโมงเช้า พี่รุ่งขับรถกระบะมารับผมไปบ้านแก ที่ผมยังทัดทานใจอยู่ว่า เราเพิ่งคุยกันไม่กี่คำ ผมไปบ้านพี่ปลอดภัยแน่นะ



     บ้านพี่รุ่งเป็นโรงงานอะไรสักอย่าง แกดูแลแขกผู้มาเยือนอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่ผมทำตัวไม่ได้ เพิ่มประโยชน์อะไรให้กับแกเลย  สักพักแกเดินหน้าเครียดมาบอกผมด้วยภาษามือ แน่ละครับผมไม่เข้าใจ แต่ก็จะพยายาม จนจับใจความได้ว่า พี่รุ่งติดงานไปส่งผมขึ้นอุทยานฯ ไม่ได้  แกเลยไหว้วานพี่อีกคน ให้ไปส่งเราข้างบนก่อน 


บริเวณบ้านพี่รุ่ง

     เรานั่งรถยนต์มา 40 กว่ากิโลเมตร ก็มาถึงอุทยานภูหินร่องกล้าแล้ว เย้ๆๆๆๆ ในที่สุดก็พาตัวเองมาถึงจนได้   อากาศด้านบนเย็นสบายมาก ลานกางเต๊น ที่นี่เป็นลานต้นสน ที่เยี่ยมมาก มีร่มเงา ไม่มีแมลง กว้างขวาง เหมาะแก่การแคมปิ้งเป็นที่สุด  ผมเดินออกมาหามุมนั่งพักผ่อน การได้นั่งเฉยๆท่ามกลางธรรมชาติ ที่มีเสียงนก เสียงลมบางๆพัดใบไม้ มันช่างสบายใจที่สุดเลยละ 


     ผมอาศัยกินข้าว กินน้ำ จากบริเวณงานช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปเยอะเลย จากนั้นก็เดินไปชมนก ชมไม้ จนเวลาเริ่มมืดลง อากาศเย็นลงเรื่อยๆ 18 องศาได้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งในคืนข้างขึ้น พระจันทร์เต็มดวง #ในค่ำคืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาวอยู่ตรงนี้  วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเสียงที่เยอะตามมา การนอนไม่หลับคือสิ่งที่น่ากังวล สำหรับวันก่อนแข่ง แต่ไม่ใช่กับคืนนี้ ที่ฉันแสนเหนื่อยล้า ความฝันเรียกตัวฉันตั้งแต่ ช่วงข่าวพระราชสำนัก



     กึ่งหลับกึ่งตื่น จากสายลมหนาวที่แวะเวียนมาแตะตัวฉันเป็นระยะๆ ถุงนอน และหมอนเป่าลม ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันฉันอย่างดีในราตรีนี้ ช่างสบายเหลือเกินเมื่อได้ หลับตาลงท่ามกลางธรรมชาติ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้หลับสบายเช่นนี้ 



     ความตื่นเต้นปลุกฉันออกจากภวังค์ตอนตีห้า พร้อมกับเสียงเพลงพี่ตูน บอดี้แสลม ที่ปลุกใจให้ฉันสู้อย่างเต็มที่ในวันนี้ สำหรับฉัน เพลงของพี่ตูนเหมือนมีมนต์วิเศษ ให้เลือดนักสู้ในตัว มันเดือดขึ้นมา #ชีวิตเริ่มตรงที่คำว่าฝ่าฟัน ขอเพียงใจเราเท่านั้นไม่หวั่นไหว บทชีวิต ของเรา เราจะทำให้มีความหมาย

     ก่อนการเริ่มต้นทริปนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่ฉันกังวลเสมอมาคือ อาการเจ็บหัวเข่าจากการใส่รองเท้าที่ดีเกินไปวิ่ง ใช่แล้วแหละปกติฉันวิ่งเท้าเปล่า ใส่เพียงรองเท้าเดินชายหาดบางๆ ก็วิ่งได้ฉิวแล้ว แต่อยากเข้าพวกเหมือนคนอื่น เลยไปหารองเท้ามาใส่ วิ่งได้ไม่เกิน 3 กิโลเมตร  ITB ก็มาเยือน

      ตัดภาพมาที่ช่วงเวลาก่อนปล่อยตัว ฉันเลือกกาแฟดำ 1 แก้ว  กล้วย 1 หวี ขนมปัง 1 ชิ้น น้ำเปล่า 3 แก้ว เป็นพลังงานของสนามนี้ ลองประเมินดูแล้วฉันมีสิทธิ์ติดถ้วย ห้าอันดับแรกในกลุ่มอายุ เพราะมีคนสมัครไม่มาก 

     โชคดีที่ครั้งนี้ฉันมีเวลายืดเหยียดเต็มที่ ฉันพร้อมแล้วในการวิ่ง กับอากาศ 15 องศา    5 4 3 2 1 ...ปร๊ดดดดด... เสียงนกหวีดดังสนั่น นักวิ่ง 25 km ต่างพากันสับออกจากจุดปล่อยตัว เราได้ข่าวคราวมาแล้วว่า สนามนี้เนินเยอะ  ซึ่งผมเข้าใจผิด เนินไม่เยอะ เพราะตลอด  25 km มีแต่เนิน เนิน เนิน ทั้งหมด มีทางราบไม่เกิน 500 เมตร  แถมมี level เนินแบ่งให้ด้วย ทั้งเนินยาว (ขึ้นยาว ลงยาว ) เนินตัวเอส (อันนี้ปวดร้าวต่อน่องมาก ) เนินตัวหนอน (ขึ้น ลง ขึ้นลง  อยู่นั่นละ)  ครึ่งทางแรกไปได้สวย ฉันเกาะอันดับอยู่ใน 10 คนแรก แรงยังดี แถมไม่เจ็บด้วย  ดูท่าสนามนี้จะไปได้สวย 



    เทคนิคในการดูว่าเรายังติดอันดับอยู่ไหม คือการมองคนที่วิ่งสวนมาก่อนเราในรุ่นเดียวกัน  แล้วก็พบว่า ที่ 1 ผ่านไป ที่ 2 ค่อยๆตามมา ที่ 3 ก็ตามอยู่ห่าง  ที่ 4 ก็ไล่บี้มาอยู่    ฉิหา..แล้ว ถ้าโดนในรุ่นอายุเดียวกันแซงมาได้อีกคน คืออดได้ถ้วย ผมกลับตัวได้ ผมรีบมองดูคนที่ตามหลังมา ปรากฎว่า ลำดับ 6 ยังอยู่อีกไกล หวานหมูละ คราวนี้วิ่งชมนก ชมไม้ สบาย
 
"ตลอดครึ่งทางหลัง เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบให้กำลังใจคนอื่นที่วิ่งด้วยกัน คำว่า สู้สู้ๆนะครับ เป็นคำวิเศษที่มันจะสะท้อนกลับไปให้คนพูดด้วยเสมอ"

     ผ่านกิโลเมตรที่ 14 ความเร็วผมเริ่มตก คนแล้วคนเล่าค่อยๆแซงไป  จะเร่งความเร็วก็ไม่ขึ้นอีกแล้ว ได้แต่ประคองไม่ให้อันดับที่ 6 เข้ามาใกล้เกินไป  เพราะไม่สนุกแน่ถ้ามาไล่บี้กัน ในกิโลเมตรสุดท้าย



     ผมขึ้นกิโลเมตร 20 ที่จะไปบนสิ่งศักสิทธิ์วัดไหนก็ช่วยไม่ได้ หากคุณไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างดี  ก็แหงละ แกเตรียมตัว 3 วัน นาทีนี้ ตัวช่วยเดียวคือแตงโมรสหวานฉ่ำเพิ่มพลังงาน ฉันพยุงร่างที่แทบไร้เรี่ยวแรงไปต่อเรื่อยๆ  จนถึงบททดสอบสุดท้าย

     โค้งตัว s ที่ทั้งชันและลาดเอียง สิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้มันเกิด มันมาหาผมแล้ว....ตะคริว !!!! โอ้แม่เจ้า ถ้าหากผมไม่รีบจัดการ ผมอาจต้องเดินอีก 3 กิโลเมตรเพื่อเข้าเส้นชัยและมันคงกร่อยแน่ถ้าผมโดนแซงตอนนี้  ผมตัดสินใจหยุดวิ่ง และใช้ท่าไม้ตายที่ผมร่ำเรียนมา.....



     โยคะ ใช่แล้วละ ไม่มีอะไรช่วยผมได้ดีเท่าท่าโยคะ ผมจัดแจงยืดเต็มที่แล้วไปต่อ ไปอย่างช้าแต่ชัวร์ วินาทีนี้ผมพูดได้เต็มปากว่า การวิ่งระยะไกล ++หากร่างกายคุณไม่แข็งแกร่งพอ หัวใจคุณก็ต้องเข้มแข็งพอ  พอที่จะยืนหยัดวิ่งต่อไป ตามเป้าหมายที่คุณตั้งใจ+++


     กูมาทำอะไรวะเนี้ย คือสิ่งที่ผมคิดในกิโลเมตรที่ 23 แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คุณคงจะพอใจกับเรื่องบ้าๆบอๆ ที่คุณได้ทำไว้ และคุณจะสุขที่ได้คิดถึงมัน เป้าหมายอยู่แค่เอื้อม เพื่อให้คุณเห็นภาพ ลองจินตราการ ว่าคุณไม่ได้กินข้าวมา 25 ชั่วโมง  และมีจานข้าวไข่เจียววางไว้ให้คุณอยู่ในอีก 500 เมตรข้างหน้า ไข่เจียวนั้นคือเส้นชัย

    และผมก็สามารถทำได้ ผมเข้าเส้นชัยมาในอันดับที่ 4  ถือเป็นถ้วยที่ 3 จากการลงแข่งวิ่งฮาฟมา 3 รายการ แต่ความสำเร็จดีใจได้แค่แปปเดียว ผมต้องรีบอาบน้ำเตรียมตัวเดินทางกลับให้ทันเวลา ไม่งั้นพรุ่งนี้ผมอาจต้องกินถ้วยรางวัลแทนข้าว หากตกงาน 



     พี่รุ่ง คนดีคนเดิมอาสาไปส่งผมถึงตัวจังหวัดพิษณุโลก จากภาษามือที่แกบอกผมเข้าใจไม่หมด การไปส่งของแก คือการขับมอเตอร์ไซต์ระยะทาง 100 กิโลเมตร ในสภาพเส้นทางที่แสนหวาดเสียว โดยที่ผมไม่มีหมวกกันน็อค อุปกรณ์ safety เดียวที่ผมมีคือ "หมอนรองคอ"ที่ขอใช้แทนหมวกกันน็อคหนึ่งวัน
 
     วินาทีที่รู้ว่าต้องนั่งมอเตอร์ไซต์คือกังวลมาก  และจังหวะนั้นคือไม่ทัน พี่รุ่งยื่นเสื้อคลุมมาให้แล้ว ความตื่นเต้นกำลังมาเยือนผมอีกครั้ง หลังจากเพิ่งเกือบตายจาก 25 กิโลเมตรที่ผ่านมา
 
      เป็น 100 กิโลเมตร ที่ยาวนานและตึงเครียดมาก ผมเฝ้าดูหลักกิโลเมตร ค่อยๆผ่านไปเสาแล้วเสาเล่า สายตาก็ช่วยสอดส่องคนขับเป็นตาที่สี่ให้ ในใจก็คิดว่าจะเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่พิษณุโลกไหมวะ 555 เพราะถ้าล่วงไปในความเร็วเกือบ 100 แบบไม่มีหมวกกันน็อค คิดแล้วเสียวไส้

      รถขับไปด้วยความเร็วสูงตลอดถนนสี่เลน ข้างทางมีธรรมชาติที่สวยงามมาก ทั้งลำธาร ภูเขา แต่ผมไม่มีอารมณ์สุนทรีชื่นชมมัน และพี่รุ่งก็แวะปั้มเติมน้ำมันกลางทาง
 
     หลังเติมน้ำมันเสร็จ เหมือนเครื่องยนต์จะดีด พี่รุ่งแกขับรถเร็วขึ้น จากเลนส์ซ้าย ขยับมาเลนส์กลาง จบด้วยเลนส์ขวา  ในใจก็คิด ถ้าคันหลังขับมาเร็วๆ แล้วบีบแตร แกจะเห็นไหมวะ  แต่ก็ยอมรับว่าพี่รุ่งขับรถแข็งมาก เพราะคนซ้อนนั่งหลังแข็งเสียวสันหลังวาบๆตลอดเวลา  
 
     ผมคือผู้มีชีวิตรอด พี่รุ่งพาผมมาส่งที่สถานีขนส่งจังหวัด แถมยังจะพาไปกินข้าวต่ออีก ผมบอกปฏิเสธแก และขอบคุณจริงๆครับ ที่มีน้ำใจอย่างมาก ให้คนแปลกหน้าคนนี้ ไว้โอกาสเราคงได้พบกันอีกครับพี่



     ที่ขนส่งกว่ารถจะออกก็นู้น ห้าโมงเย็น ผมจึงใช้โอกาสนี้เขียนเรื่องราวขึ้นมา ในสภาพที่ร่างกายเหมือนอัพพาต แค่ลุกยังลำบาก มันช่างเป็นทริปที่ใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงจริงๆ ผมค่อยๆพาสังขารที่แบตหมด เดินทางจากพิษณุโลกกับมาถึง กทม. ตอนห้าทุ่ม ตอนนี้ขาสองข้างเริ่มไม่สั่งการแล้ว ผมตัดสินใจเรียกแท็กซี่ กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ และตื่นมาตอนสายของวันจันทร์ ลุกขึ้นมาพิมพ์บทความนี้ใต้ผ้าห่มต่อ วันทีเหล่านักวิ่งต่างรู้ดีว่า เป็นวันที่ทรมานที่สุดหลังการแข่งขัน……..Runner Backpacker ทำสิ่งที่เรารักให้มันเป็นสิ่งเดียวกัน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่