สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวแรก ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เราเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เราอายุ16ปีค่ะ อาจจะฟังดูอายุน้อยสำหรับการเรียนมหาลัย เราสอบพาสชั้นเรียนขึ้นมาค่ะ
เราอยู่หอนะคะ แต่เป็นหอพักภายในของมหาวิทยาลัย ผู้ชายขึ้นไม่ได้ค่ะ
ยอมรับเลยค่ะว่า เรามีความรู้สึกว่าตัวเองอาจจะถูกชักจูงโดยคนที่ไม่น่าไว้ใจได้ง่าย โดยเฉพาะในสังคมมหาลัยด้วยค่ะ
เราเชื่อว่าตัวเราเอง รวมถึงวัยรุ่นวัยนี้ หลีกเลี่ยงเรื่องเซ็กส์ไม่ได้ค่ะ
ถึงเราอาจจะควบคุมตัวเองให้ป้องกันได้ เช่น กินยาคุมหรือคุมฉุกเฉิน แผ่นแปะยาคุม ฉีดยาคุม แต่ในบางสถานการณ์ เราควบคุมเพศตรงข้ามให้ป้องกันไม่ได้ค่ะ เราเลยต้องการที่จะป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ให้ได้แน่นอน น่าจะเป็นการดีกว่าให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังค่ะ
ในวิธีการคุมกำเนิดทุกวิธี การฝังยาคุม มีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์น้อยที่สุดแล้วนะคะ เราจึงเลือกวิธีนี้ค่ะ
ข้อมูลจากเว็บไซต์นี้เลยนะคะ
https://www.honestdocs.co/comparing-contraception-types
เราเลยจัดการค้นหาข้อมูล ก็พบว่า
" ฝังยาคุม ฟรี ตามพ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 ได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาท้องก่อนวัยอันควร โดยกำหนดให้วัยรุ่นอายุ 10-20 ปี รับบริการ และขอคำปรึกษาได้ฟรีกับโรงพยาบาลทั่วประเทศ "
วัยรุ่นอายุต่ำกว่า20ปี สามารถเข้ารับบริการฝังยาคุมฟรีได้ที่โรงพยาบาลรัฐบาลที่มีบริการรับฝังยาคุมได้ทั่วประเทศ
สามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลได้ที่ลิงค์นี้เลยนะคะ
https://www.lovecarestation.com/wp-content/uploads/2017/03/Choice_for_Woman_Pregnancy.pdf
หลังจากหาข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย เราจัดการหาเบอร์โทรศัพท์ของโรงพยาบาลที่สะดวก แล้วโทรสอบถามรายละเอียดค่ะ
ตอนแรก เราคิดว่าจะทำที่โรงพยาบาลใกล้มหาวิทยาลัยค่ะ แต่เราไม่สะดวกมากๆ เนื่องจากติดเรียน และติดสอบค่ะ ไม่สามารถเข้าพบแพทย์ในเวลาราชการได้เลย
เราจึงรอจนถึงช่วงสอบเสร็จ เป็นช่วงหลังสอบปลายภาค ที่มหาลัยปิดเทอมในช่วงเทสกาลคริสต์มาสและปีใหม่พอดีค่ะ
เราจึงกลับบ้านแล้วลองหาสถานพยาบาลที่ใกล้บ้านเราค่ะ เราลองโทรสอบถามสถานพยาบาลหลายที่ จำนวนมากที่โทรไปแล้วไม่มีคนรับสายค่ะ (ฮาา)
สุดท้าย เราเลยลองโทรไปสอบถามที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าค่ะ
สามารถตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ได้ที่เว็บไซต์ของทางโรงพยาบาลได้เลยนะคะ
https://www.pranangklao.go.th/webpnk60/index.php
ในช่วงแรก เราได้โทรสอบถามโรงพยาบาลเอกชนแล้วด้วยนะคะ แต่สำหรับโรงพยาบาลเอกชน จะมีค่าใช้จ่ายในการรับบริการที่ค่อนข้างสูงค่ะ ประมาณ 7,000 - 9,000บาทค่ะ และสำหรับผู้ที่ยังอายุไม่ครบ 18ปีบริบูรณ์ จำเป็นจะต้องมีผู้ปกครองในการเซนต์ยืนยันด้วยค่ะ
วันที่จะไปรับบริการ เราไปถึงโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเวลาประมา 9โมงค่ะ กว่าจะชำระเงินและกลับบ้านได้ เป็นเวลาประมาณ4โมงเย็น นานใช้ได้เลยทีเดียว
เราไปกับเพื่อนแค่ 2คนนะคะ ไม่มีผู้ปกครองไปด้วยค่ะ อันนี้เราไปเองเลย
เมื่อเข้ามา อันดับแรกสำหรับผู้ป่วยใหม่นะคะ ต้องกรอกข้อมูลทำบัตรผู้ป่วยใหม่ค่ะ ที่ช่องเบอร์20 ซึ่งคนมารับบริการเยอะมากกกก รอคิวนานมากด้วยค่ะกว่าจะได้ทำบัตร นี่แค่ขั้นตอนแรกเองนะคะ แถมเจ้าหน้าที่พูดจากับเราไม่ค่อยดีด้วยค่ะ
และก็จะได้บัตรประจำตัวผู้ป่วยของเรามาค่ะ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราไปขึ้นไปที่แผนกสูตินรีเวช
จากนั้นเราก็นำบัตรผู้ป่วยของเราขึ้นไปยื่นที่แผนกสูตินรีได้เลย อ้อ อย่าลืมเก็บบัตรนี้ดีๆนะคะ สำหรับการรับบริการครั้งต่อไป
หลังจากนั้น เราต้องไปชำระค่าผู้ป่วยนอกกับค่าบริการนิดหน่อยค่ะ ประมาณ 120บาท
หลังจากที่เราชำระค่าบริการเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะให้เราไปเก็บปัสสาวะค่ะ โดยเก็บใส่ขวดเล็กๆ ที่มีชื่อเราแปะอยู่ค่ะ
สามารถทำการเก็บได้โดยใช้ห้องน้ำด้านนอกเลยค่ะ
จากนั้นนำขวดมาใส่ตะกร้าที่ห้องตรวจ เป็นห้องเดียวกับห้องเจาะเลือดเลยค่ะ ตอนแรกเรากลัวมาก กลัวว่าจะต้องเจาะเลือด พอรู้ว่าตรวจปัสสาวะอย่างเดียว โล่งเลยค่ะ (ฮาาาาา)
เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าเราไม่ตั้งครรภ์แน่ๆ มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายกับทารกในท้องได้ค่ะ
" ยาฝังคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในทันที หากฝังเอาไว้ในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน แต่หากฝังยาเอาไว้ในวันถัดไปหรือวันอื่น ๆ ของรอบประจำเดือน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลังฝังยาคุมกำเนิด 7 วันขึ้นไป ซึ่งในระหว่างนี้ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ เช่น ใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น "
แต่ฉะนี้ ข้อมูลนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาลด้วยนะคะ แต่สำหรับโรงพยาบาลที่เราไป ไม่ต้องมาทำในวันที่มีประจำเดือนก็ได้ค่ะ
เมื่อเก็บปัสสาวะเสร็จ ต้องรอผลตรวจออกค่ะ ของเรารอประมาณ 2ชั่วโมงค่ะ (นานมากกกกกกกกกกก T-T)
หลังจากนั้น พยาบาลแผนกสูตินรี จะให้เราทำการชั่งน้ำหนัก และวัดความดันค่ะ วัดเองเลยนะคะ สำหรับเครื่องวัดความดัน ให้วางแขนโดยข้อศอกแตะที่เครื่อง ห้ามขยับเลยนะคะ แล้วเครื่องจะแสดงผลออกมา
ตอนแรกเราทำไม่เป็นด้วยค่ะ ไม่เคยวัดด้วยตัวเอง ขยับแขนตลอด ผลเลยไม่ออกค่ะ แถมรัดแขนเราแน่นมากๆเลยด้วย พี่พยาบาลก็ไม่ได้มาดูค่ะ เราทำไม่เป็นจริงๆ จะถามก็ไม่กล้าค่ะ กลัวโดนดุ จนพี่พยาบาลถามว่าได้รึยัง เราเลยบอกว่าเราวัดไม่เป็นค่ะ (ฮาาาาา)
ส่วนส่วนสูง ไม่ต้องวัดนะคะ พี่พยาบาลจะดูจากบัตรประชาชนของเราค่ะ
จากนั้นก็นั่นรอคิวสักครู่ รอเตรียมรับการฝังได้เลยค่ะ
ตอนเราไป รอคิวไม่นานนะคะ มีคนมาก่อนเราแค่คนเดียวเองค่ะ
ระหว่างรอ พี่พยาบาลจะเรียกเราไปรับใบความรู้เรื่องการฝังยาคุม ว่ามีผลข้างเคียงแบบนี้นะ
ถ้าจะเอาออกต้องยาหมดอายุเท่านั้นนะ
แผลห้ามโดนน้ำนะ
ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7วันหลังการฝังนะ
แล้วเราจะได้ใบนัดวันที่เราต้องมานำยาคุมออกค่ะ
ของเราฝังแบบ 3ปีนะคะ ถ้าจะเอาออก สามารถเอาออกที่โรงพยาบาลอื่นได้เช่นกันค่ะ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
หลังจากนั้น พี่พยาบาลก็จะเรียกชื่อเราเข้าไปในห้องค่ะ แล้วก็เตรียมตัวขึ้นเขียง(ฮ่าาา)
ตอนที่เราทำพี่พยาบาลที่ทำให้เราเป็นแพทย์ฝึกหัดนะคะ และจะมีนักศึกษาแพทย์มาดูด้วยค่ะ ส่วนพี่พยาบาลที่ทำให้เราก็จะทำอธิบายไปด้วย
ขั้นตอนแรกคือการฉีดยาชาค่ะ หลังจากนั้น พยาบาลจะเอาคีมมาคีบเเนื้อเราว่าชาหรือยัง
จากนั้นก็จะเริ่มฝังเลยค่ะ ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่ายาชายังไม่ออกฤทธิ์เลยค่ะ ยังเจ็บอยู่เลย (ฮาาาา)
ตอนฝัง ที่พยาบาลจะนำเครื่องฝังเข็มมาฝังตรงใต้ท้องแขนของเราค่ะ เหมือนตัวเครื่องจะดันเข็มเข้าไปจากนั้นดึงเครื่องออกค่ะ ขั้นตอนนี้เราไม่รู้นะคะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะเราไม่กล้ามองค่ะ กลัวมากจริงๆ T-T
สำหรับตัวยา จะมีลักษณะดังนี้นะคะ ฝังที่ใต้ท้องแขนข้างที่ไม่ถนัดค่ะ
ตอนฉีดยาชาว่าเจ็บแล้ว ตอนฝังเข็มเข้าไป เจ็บมากกว่าอีกค่ะ แต่ไม่ถึงขนาดกับเจ็บจนทนไม่ได้นะคะ เรากลัวเข็มเองด้วย แต่เรารู้สึกว่าเจ็บมาก เจ็บมากจริงๆค่ะ
หลังจากฝังเสร็จ แขนเราชาไปยันนิ้วเลยค่ะ (ฮาาาา) จากนั้นก็รอรับใบรับรองค่ะ จากนั้นนำใบเสร็จไปยื่นที่ห้องเบอร์ 21 ขั้นตอนนี้จะไม่เสียค่าใช้จ่ายแล้วนะคะ
แต่ตอนที่เรานำใบไปยื่น พี่พนักงานบอกว่ามีค่าใช้จ่ายจากตัวยา ให้ไปยื่นที่อีกช่องนึงซึ่งแถวยาวมากกก เราก็ไปต่อค่ะ พอถึงคิว พี่พนักงานบอกให้เราไปขอลายเซ็นแพทย์มาค่ะ เราต้องกลับขึ้นไปแผนกสูติ ขอลายเซนต์มาค่ะ
จากนั้นพี่พยาบาลแผนกสูติ บอกให้เราเอาใบไปยื่นที่ช่องแรกที่เราไปอีกครั้งค่ะ
พี่พยาบอลบอกว่า ไม่มีค่าใช้จ่ายแล้วนะคะ ถ้าเค้าให้จ่าย ไม่ต้องจ่ายนะ
จากนั้นเราก็ทำใบไปยื่น พี่พนักงานบอกว่ามีค่าใช้จ่าย 2,700บาทค่ะ เรางงนิดหน่อยค่ะ เราเลยบอกพี่เค้าค่า ว่าพี่พยาบาลบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่าย
พี่เค้าเลยโทรหาแผนกอื่นกันให้วุ่นเลยค่ะ สุดท้ายพี่เค้าให้เราเอาใบรับรองนั้นไปคืนที่แผนกสูติค่ะ
เสร็จเรียบร้อย ไม่มีค่าใช้จ่ายแล้ว กลับบ้านได้ค่ะ!!
รู้สึกหมดพลังชีวิตมากค่ะ ขั้นตอนที่นาน จะเป็นการรอคิวมากกว่าค่ะ คนเยอะมากกกกกก ส่วนการฝัง ไม่ถึง 5นาทีเลยค่ะ
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เราเสียไป 120บาทค่ะ เป็นค่าผู้ป่วยนอก กับค่าอุปกรณ์นิดหน่อยค่ะ
ซึ่งโดยปกติถ้าฝังยาคุมกำเนิดในโรงพยาบาลของรัฐจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 2,500-4,000 บาท แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนหรือตามคลินิกค่าบริการจะเพิ่มขึ้นมาพอสมควร อยู่ที่ประมาณ 5,000-7,000 บาทค่ะ
ต่อไปเราจะอัพเดทสภาพแผลนะคะ ภาพอาจใหญ่ไปสักนิด ขออภัยด้วยค่า
นี่คือวันแรก หลังฝังทันทีเลยนะคะ ยอมรับเลยค่ะว่าปวดมากกกก เหมือนแขนพิการไปข้างนึงเลย
ภาพนี้วันที่2 แกะผ้าที่พันออกแล้วค่ะ
วันที่3 ค่ะ
วันที่4 ค่ะ
วันที่5 ค่ะ
วันที่6 ค่ะ
วันที่7 ค่ะ
วันที่8 ค่ะ
วันที่10 ค่ะ วันที่9 ลืมถ่าย แหะๆ
ปัจจุบันคือวันที่12 นะคะ วันที่11 ลืมถ่ายอีกแล้ว แฮะะ
ตอนนี้คือไม่เจ็บใดๆแล้วค่ะ แต่เราว่ากว่าจะหายเจ็บแบบจริงๆ คือประมาณหลัง7 วันเลยนะคะ
จบแล้วค่าา สำหรับประสบการณ์ของเรา
เราหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ ^^
[Review] ฝังยาคุมกำเนิดฟรีสำหรับวัยรุ่นอายุ 16 ปี
เราเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เราอายุ16ปีค่ะ อาจจะฟังดูอายุน้อยสำหรับการเรียนมหาลัย เราสอบพาสชั้นเรียนขึ้นมาค่ะ
เราอยู่หอนะคะ แต่เป็นหอพักภายในของมหาวิทยาลัย ผู้ชายขึ้นไม่ได้ค่ะ
ยอมรับเลยค่ะว่า เรามีความรู้สึกว่าตัวเองอาจจะถูกชักจูงโดยคนที่ไม่น่าไว้ใจได้ง่าย โดยเฉพาะในสังคมมหาลัยด้วยค่ะ
เราเชื่อว่าตัวเราเอง รวมถึงวัยรุ่นวัยนี้ หลีกเลี่ยงเรื่องเซ็กส์ไม่ได้ค่ะ
ถึงเราอาจจะควบคุมตัวเองให้ป้องกันได้ เช่น กินยาคุมหรือคุมฉุกเฉิน แผ่นแปะยาคุม ฉีดยาคุม แต่ในบางสถานการณ์ เราควบคุมเพศตรงข้ามให้ป้องกันไม่ได้ค่ะ เราเลยต้องการที่จะป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ให้ได้แน่นอน น่าจะเป็นการดีกว่าให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังค่ะ
ในวิธีการคุมกำเนิดทุกวิธี การฝังยาคุม มีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์น้อยที่สุดแล้วนะคะ เราจึงเลือกวิธีนี้ค่ะ
ข้อมูลจากเว็บไซต์นี้เลยนะคะ
https://www.honestdocs.co/comparing-contraception-types
เราเลยจัดการค้นหาข้อมูล ก็พบว่า
" ฝังยาคุม ฟรี ตามพ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 ได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาท้องก่อนวัยอันควร โดยกำหนดให้วัยรุ่นอายุ 10-20 ปี รับบริการ และขอคำปรึกษาได้ฟรีกับโรงพยาบาลทั่วประเทศ "
วัยรุ่นอายุต่ำกว่า20ปี สามารถเข้ารับบริการฝังยาคุมฟรีได้ที่โรงพยาบาลรัฐบาลที่มีบริการรับฝังยาคุมได้ทั่วประเทศ
สามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลได้ที่ลิงค์นี้เลยนะคะ
https://www.lovecarestation.com/wp-content/uploads/2017/03/Choice_for_Woman_Pregnancy.pdf
หลังจากหาข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย เราจัดการหาเบอร์โทรศัพท์ของโรงพยาบาลที่สะดวก แล้วโทรสอบถามรายละเอียดค่ะ
ตอนแรก เราคิดว่าจะทำที่โรงพยาบาลใกล้มหาวิทยาลัยค่ะ แต่เราไม่สะดวกมากๆ เนื่องจากติดเรียน และติดสอบค่ะ ไม่สามารถเข้าพบแพทย์ในเวลาราชการได้เลย
เราจึงรอจนถึงช่วงสอบเสร็จ เป็นช่วงหลังสอบปลายภาค ที่มหาลัยปิดเทอมในช่วงเทสกาลคริสต์มาสและปีใหม่พอดีค่ะ
เราจึงกลับบ้านแล้วลองหาสถานพยาบาลที่ใกล้บ้านเราค่ะ เราลองโทรสอบถามสถานพยาบาลหลายที่ จำนวนมากที่โทรไปแล้วไม่มีคนรับสายค่ะ (ฮาา)
สุดท้าย เราเลยลองโทรไปสอบถามที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าค่ะ
สามารถตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ได้ที่เว็บไซต์ของทางโรงพยาบาลได้เลยนะคะ
https://www.pranangklao.go.th/webpnk60/index.php
ในช่วงแรก เราได้โทรสอบถามโรงพยาบาลเอกชนแล้วด้วยนะคะ แต่สำหรับโรงพยาบาลเอกชน จะมีค่าใช้จ่ายในการรับบริการที่ค่อนข้างสูงค่ะ ประมาณ 7,000 - 9,000บาทค่ะ และสำหรับผู้ที่ยังอายุไม่ครบ 18ปีบริบูรณ์ จำเป็นจะต้องมีผู้ปกครองในการเซนต์ยืนยันด้วยค่ะ
วันที่จะไปรับบริการ เราไปถึงโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเวลาประมา 9โมงค่ะ กว่าจะชำระเงินและกลับบ้านได้ เป็นเวลาประมาณ4โมงเย็น นานใช้ได้เลยทีเดียว
เราไปกับเพื่อนแค่ 2คนนะคะ ไม่มีผู้ปกครองไปด้วยค่ะ อันนี้เราไปเองเลย
เมื่อเข้ามา อันดับแรกสำหรับผู้ป่วยใหม่นะคะ ต้องกรอกข้อมูลทำบัตรผู้ป่วยใหม่ค่ะ ที่ช่องเบอร์20 ซึ่งคนมารับบริการเยอะมากกกก รอคิวนานมากด้วยค่ะกว่าจะได้ทำบัตร นี่แค่ขั้นตอนแรกเองนะคะ แถมเจ้าหน้าที่พูดจากับเราไม่ค่อยดีด้วยค่ะ
และก็จะได้บัตรประจำตัวผู้ป่วยของเรามาค่ะ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราไปขึ้นไปที่แผนกสูตินรีเวช
จากนั้นเราก็นำบัตรผู้ป่วยของเราขึ้นไปยื่นที่แผนกสูตินรีได้เลย อ้อ อย่าลืมเก็บบัตรนี้ดีๆนะคะ สำหรับการรับบริการครั้งต่อไป
หลังจากนั้น เราต้องไปชำระค่าผู้ป่วยนอกกับค่าบริการนิดหน่อยค่ะ ประมาณ 120บาท
หลังจากที่เราชำระค่าบริการเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะให้เราไปเก็บปัสสาวะค่ะ โดยเก็บใส่ขวดเล็กๆ ที่มีชื่อเราแปะอยู่ค่ะ
สามารถทำการเก็บได้โดยใช้ห้องน้ำด้านนอกเลยค่ะ
จากนั้นนำขวดมาใส่ตะกร้าที่ห้องตรวจ เป็นห้องเดียวกับห้องเจาะเลือดเลยค่ะ ตอนแรกเรากลัวมาก กลัวว่าจะต้องเจาะเลือด พอรู้ว่าตรวจปัสสาวะอย่างเดียว โล่งเลยค่ะ (ฮาาาาา)
เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าเราไม่ตั้งครรภ์แน่ๆ มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายกับทารกในท้องได้ค่ะ
" ยาฝังคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในทันที หากฝังเอาไว้ในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน แต่หากฝังยาเอาไว้ในวันถัดไปหรือวันอื่น ๆ ของรอบประจำเดือน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลังฝังยาคุมกำเนิด 7 วันขึ้นไป ซึ่งในระหว่างนี้ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ เช่น ใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น "
แต่ฉะนี้ ข้อมูลนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาลด้วยนะคะ แต่สำหรับโรงพยาบาลที่เราไป ไม่ต้องมาทำในวันที่มีประจำเดือนก็ได้ค่ะ
เมื่อเก็บปัสสาวะเสร็จ ต้องรอผลตรวจออกค่ะ ของเรารอประมาณ 2ชั่วโมงค่ะ (นานมากกกกกกกกกกก T-T)
หลังจากนั้น พยาบาลแผนกสูตินรี จะให้เราทำการชั่งน้ำหนัก และวัดความดันค่ะ วัดเองเลยนะคะ สำหรับเครื่องวัดความดัน ให้วางแขนโดยข้อศอกแตะที่เครื่อง ห้ามขยับเลยนะคะ แล้วเครื่องจะแสดงผลออกมา
ตอนแรกเราทำไม่เป็นด้วยค่ะ ไม่เคยวัดด้วยตัวเอง ขยับแขนตลอด ผลเลยไม่ออกค่ะ แถมรัดแขนเราแน่นมากๆเลยด้วย พี่พยาบาลก็ไม่ได้มาดูค่ะ เราทำไม่เป็นจริงๆ จะถามก็ไม่กล้าค่ะ กลัวโดนดุ จนพี่พยาบาลถามว่าได้รึยัง เราเลยบอกว่าเราวัดไม่เป็นค่ะ (ฮาาาาา)
ส่วนส่วนสูง ไม่ต้องวัดนะคะ พี่พยาบาลจะดูจากบัตรประชาชนของเราค่ะ
จากนั้นก็นั่นรอคิวสักครู่ รอเตรียมรับการฝังได้เลยค่ะ
ตอนเราไป รอคิวไม่นานนะคะ มีคนมาก่อนเราแค่คนเดียวเองค่ะ
ระหว่างรอ พี่พยาบาลจะเรียกเราไปรับใบความรู้เรื่องการฝังยาคุม ว่ามีผลข้างเคียงแบบนี้นะ
ถ้าจะเอาออกต้องยาหมดอายุเท่านั้นนะ
แผลห้ามโดนน้ำนะ
ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7วันหลังการฝังนะ
แล้วเราจะได้ใบนัดวันที่เราต้องมานำยาคุมออกค่ะ
ของเราฝังแบบ 3ปีนะคะ ถ้าจะเอาออก สามารถเอาออกที่โรงพยาบาลอื่นได้เช่นกันค่ะ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
หลังจากนั้น พี่พยาบาลก็จะเรียกชื่อเราเข้าไปในห้องค่ะ แล้วก็เตรียมตัวขึ้นเขียง(ฮ่าาา)
ตอนที่เราทำพี่พยาบาลที่ทำให้เราเป็นแพทย์ฝึกหัดนะคะ และจะมีนักศึกษาแพทย์มาดูด้วยค่ะ ส่วนพี่พยาบาลที่ทำให้เราก็จะทำอธิบายไปด้วย
ขั้นตอนแรกคือการฉีดยาชาค่ะ หลังจากนั้น พยาบาลจะเอาคีมมาคีบเเนื้อเราว่าชาหรือยัง
จากนั้นก็จะเริ่มฝังเลยค่ะ ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่ายาชายังไม่ออกฤทธิ์เลยค่ะ ยังเจ็บอยู่เลย (ฮาาาา)
ตอนฝัง ที่พยาบาลจะนำเครื่องฝังเข็มมาฝังตรงใต้ท้องแขนของเราค่ะ เหมือนตัวเครื่องจะดันเข็มเข้าไปจากนั้นดึงเครื่องออกค่ะ ขั้นตอนนี้เราไม่รู้นะคะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะเราไม่กล้ามองค่ะ กลัวมากจริงๆ T-T
สำหรับตัวยา จะมีลักษณะดังนี้นะคะ ฝังที่ใต้ท้องแขนข้างที่ไม่ถนัดค่ะ
ตอนฉีดยาชาว่าเจ็บแล้ว ตอนฝังเข็มเข้าไป เจ็บมากกว่าอีกค่ะ แต่ไม่ถึงขนาดกับเจ็บจนทนไม่ได้นะคะ เรากลัวเข็มเองด้วย แต่เรารู้สึกว่าเจ็บมาก เจ็บมากจริงๆค่ะ
หลังจากฝังเสร็จ แขนเราชาไปยันนิ้วเลยค่ะ (ฮาาาา) จากนั้นก็รอรับใบรับรองค่ะ จากนั้นนำใบเสร็จไปยื่นที่ห้องเบอร์ 21 ขั้นตอนนี้จะไม่เสียค่าใช้จ่ายแล้วนะคะ
แต่ตอนที่เรานำใบไปยื่น พี่พนักงานบอกว่ามีค่าใช้จ่ายจากตัวยา ให้ไปยื่นที่อีกช่องนึงซึ่งแถวยาวมากกก เราก็ไปต่อค่ะ พอถึงคิว พี่พนักงานบอกให้เราไปขอลายเซ็นแพทย์มาค่ะ เราต้องกลับขึ้นไปแผนกสูติ ขอลายเซนต์มาค่ะ
จากนั้นพี่พยาบาลแผนกสูติ บอกให้เราเอาใบไปยื่นที่ช่องแรกที่เราไปอีกครั้งค่ะ
พี่พยาบอลบอกว่า ไม่มีค่าใช้จ่ายแล้วนะคะ ถ้าเค้าให้จ่าย ไม่ต้องจ่ายนะ
จากนั้นเราก็ทำใบไปยื่น พี่พนักงานบอกว่ามีค่าใช้จ่าย 2,700บาทค่ะ เรางงนิดหน่อยค่ะ เราเลยบอกพี่เค้าค่า ว่าพี่พยาบาลบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่าย
พี่เค้าเลยโทรหาแผนกอื่นกันให้วุ่นเลยค่ะ สุดท้ายพี่เค้าให้เราเอาใบรับรองนั้นไปคืนที่แผนกสูติค่ะ
เสร็จเรียบร้อย ไม่มีค่าใช้จ่ายแล้ว กลับบ้านได้ค่ะ!!
รู้สึกหมดพลังชีวิตมากค่ะ ขั้นตอนที่นาน จะเป็นการรอคิวมากกว่าค่ะ คนเยอะมากกกกกก ส่วนการฝัง ไม่ถึง 5นาทีเลยค่ะ
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เราเสียไป 120บาทค่ะ เป็นค่าผู้ป่วยนอก กับค่าอุปกรณ์นิดหน่อยค่ะ
ซึ่งโดยปกติถ้าฝังยาคุมกำเนิดในโรงพยาบาลของรัฐจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 2,500-4,000 บาท แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนหรือตามคลินิกค่าบริการจะเพิ่มขึ้นมาพอสมควร อยู่ที่ประมาณ 5,000-7,000 บาทค่ะ
ต่อไปเราจะอัพเดทสภาพแผลนะคะ ภาพอาจใหญ่ไปสักนิด ขออภัยด้วยค่า
นี่คือวันแรก หลังฝังทันทีเลยนะคะ ยอมรับเลยค่ะว่าปวดมากกกก เหมือนแขนพิการไปข้างนึงเลย
ภาพนี้วันที่2 แกะผ้าที่พันออกแล้วค่ะ
วันที่3 ค่ะ
วันที่4 ค่ะ
วันที่5 ค่ะ
วันที่6 ค่ะ
วันที่7 ค่ะ
วันที่8 ค่ะ
วันที่10 ค่ะ วันที่9 ลืมถ่าย แหะๆ
ปัจจุบันคือวันที่12 นะคะ วันที่11 ลืมถ่ายอีกแล้ว แฮะะ
ตอนนี้คือไม่เจ็บใดๆแล้วค่ะ แต่เราว่ากว่าจะหายเจ็บแบบจริงๆ คือประมาณหลัง7 วันเลยนะคะ
จบแล้วค่าา สำหรับประสบการณ์ของเรา
เราหวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ ^^