JJNY : ซูเปอร์โพลพบลางร้ายรัฐบาล/ชาวสวนยางโอดราคาดิ่งกว่า4โล100/อสังหาซึมยาวข้ามปี/เอกชนหวั่นบาทแข็ง ฉุดศก.ไทยวูบ

สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล สำรวจพบ 'ลางร้ายรัฐบาล' ชี้พลังเงียบดิ่ง การสื่อสารรัฐบาลแพ้ยับ



 
สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล สำรวจพบ ‘ลางร้ายรัฐบาล’ ชี้พลังเงียบดิ่ง การสื่อสารรัฐบาลแพ้ยับ
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลการศึกษา เรื่อง ลางร้ายรัฐบาล กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่าน “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ด้วยระบบ Net Super Poll จำนวน 2,827 ตัวอย่าง และ “เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม” (Traditional Voice) จำนวน 1,131 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1 – 3 มกราคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา พบว่า
 
แนวโน้มของกลุ่มพลังเงียบลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงหลังเลือกตั้งที่เคยอยู่สูงถึงร้อยละ 56.1 ในเดือนเมษายน 2562 ร้อยละ 55.5 ในเดือนกรกฎาคม ร้อยละ 46.0 ในเดือนกันยายน ร้อยละ 43.7 ในเดือนตุลาคม ขยับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 49.0 ในเดือนพฤศจิกายน และตกฮวบลงมาอยู่ที่ร้อยละ 29.4 ในการสำรวจล่าสุดต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้
 
ผศ.ดร.นพดล กล่าวว่า นี่คือลางร้ายของเสถียรภาพทางการเมืองและของรัฐบาล เพราะกลุ่มพลังเงียบที่เสมือนเป็นกลุ่มสร้างความสมดุลในการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองของประชาชน กำลังกระจายตัวไปอยู่ในกลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 36.6 และกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 34.0 ซึ่งมีสัดส่วนไม่แตกต่างกันมากนักอย่างน่าเป็นห่วงในเรื่องของการเผชิญหน้าห่ำหั่นกัน
 
ที่น่าพิจารณาคือ เหตุผลที่ประชาชนสนับสนุนรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่เอาฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลโดยเด็ดขาด และได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาล เช่น ชิมช้อปใช้ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การช่วยให้ราคาพืชผลการเกษตร เช่น ราคาปาล์มเพิ่มสูงขึ้นด้วยนโยบายด้านพลังงาน น้ำมัน B10 และโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจรากหญ้า เป็นต้น
 
แต่ เหตุผลที่ประชาชนไม่สนับสนุนรัฐบาล คือ เบื่อรัฐบาล ไม่รู้ว่ารัฐบาลทำอะไร ไม่เห็นทำอะไรเลย รู้แต่ข่าวว่ารัฐบาลแย่ แก้เศรษฐกิจล้มเหลว เห็นแก่พวกพ้อง กลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม แย่งตำแหน่ง แย่งอำนาจ สืบทอดอำนาจ และประชาชนจำนวนมากมองด้วยว่ามาตรการรัฐบาลไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรมาก ไม่ยั่งยืน แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ วิตกกังวลต่อการเลิกกิจการ รัฐเข้มงวดมาตรการภาษีต่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม และการไม่สนับสนุน ธุรกิจ SME จริงจัง กฎระเบียบของรัฐทำให้ประชาชนทำมาหากินขัดสน
 
นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กล่าวด้วยว่า ผลการสำรวจ “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ผ่านระบบ Net Super Poll พบว่า การสื่อสารของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เช่น นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและกิจกรรมอื่น ๆ เช่น วิ่งไล่ลุง เป็นต้น เข้าถึงคนในโลกโซเชียลมากถึง 7,278,575 คน และมีการพูดถึง กลุ่มเคลื่อนไหว วิ่งไล่ลุง 146,962 คน ในขณะที่ การสื่อสารของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับกิจกรรม วิ่งเพื่อแผ่นดิน เข้าถึงคนในโลกโซเชียลเพียง 589,224 คนและล่าสุดมีคนพูดถึงเพียง 1,410 คน เท่านั้น เส้นกราฟการตอบรับของคนในโลกโซเชียลต่อ กิจกรรมวิ่งไล่ลุง ล่าสุดเริ่มเชิดหัวสูงขึ้น ขณะที่เส้นกราฟกิจกรรม วิ่งเพื่อแผ่นดิน เรี่ย ๆ พื้นเงียบยาวเสมือนเส้นชีพจรที่อ่อนแรง อย่างน่าใจหาย
 
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ฝ่ายการบริหารจัดการข้อมูลและการสื่อสารของรัฐบาลแพ้มาตลอดจนอยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่า “ไม่ไหวแล้ว” เพราะพลังของรัฐบาลที่ทำงานด้านข้อมูลและการสื่อสารอยู่ในสภาพ เส้นหวายแตกกันเป็นเส้น ๆ กระจายตัวต่างคนต่างทำคล้าย ๆ กับแต่ละคนพยายามโชว์ผลงานของใครของมัน ส่งผลให้ข้อมูลในโลกโซเชียลเกี่ยวกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแต่คำว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดด ๆ มีคำว่า นายกรัฐมนตรี มีคำว่า รมว.กลาโหม ตัวโต ๆ มีแต่เรื่องตำแหน่งและอำนาจ ขาดการเชื่อมโยงกับใจของประชาชน
 
“ตรงกันข้ามเมื่อมาดูข้อมูลในโลโซเชียลของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กิจกรรมวิ่งไล่ลุง พบว่า มีพลังเป็นกลุ่มก้อนไม่โดดเดี่ยว พบคำ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คู่กับ ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช และยังพบคำสำคัญของธนาธร คือ กลัวที่ไหน ไม่ถอยไม่ทน และเมื่อสืบค้นการสื่อสารของ อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร พบคำ รักพ่อที่สุดในโลก คิดถึงแล้ว และเคยพบคำว่า ยังแจ๋วนะจ๊ะ นอกจากนี้ เมื่อสืบค้นการสื่อสารกิจกรรมวิ่งไล่ลุง พบที่น่าสนใจขึ้นไปอีกคือวลีเด่น ๆ ว่า ปรบมือสิ รออะไร เบื่อกันทั้งประเทศแล้ว เบื่อนายก เอาเลยฮะ ไม่ถอยไม่ทน และกลัวที่ไหน
 
การเมืองเป็นเรื่องของการบริหารอารมณ์ (Emotional Management) คือ ถ้าคุมอารมณ์คนได้ก็อยู่ได้ แต่จะเห็นได้ว่า ข้อความสื่อสารของฝ่ายหนึ่งใช้กลยุทธ์ปลุกอารมณ์ปั่นความรู้สึกผลักดันให้เกิดพฤติกรรมหมู่ และมีทีมงานรับทอดขยายผลเป็นหนึ่งเดียวกันสอดคล้องกันในโลกโซเชียล ขณะที่ ฝ่ายนายกรัฐมนตรีกับทีมงานเน้นที่ความเป็นเหตุผล (Rational Focus) เพราะคงคิดว่าเอาหลักตรรกคุณงามความดีเป็นตัวนำ เอาความมุ่งมั่นตั้งใจของนายกรัฐมนตรีเป็นพระเอก แต่ตำราเกี่ยวกับการบริหารอารมณ์สาธารณชนชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ก่อน ส่วนเหตุผลค่อยตามมาสร้างความชอบธรรมทีหลัง” ผศ.ดร.นพดล กล่าว
 
ผศ.ดร.นพดล กล่าวส่งท้ายว่า ยิ่งไปดูที่พลังของทีมงานสื่อสารฝ่ายรัฐบาลแล้วจะพบว่า ต่างคนต่างเล่นคนละบทขาดความเป็นหนึ่ง เหมือนเส้นหวายที่แยกออกเป็นเส้น ๆ ไม่ได้รวบเป็นมัด ๆ ทำให้ฟาดฟันอะไรไม่ได้ผล “ไม่ปัง” เงียบเป็นเป่าสาก เสมือนวันเปิดคือวันปิด ไม่มีทีมงานรองรับขยายผล ไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นต้องใช้หลัก วิเคราะห์จิต พิชิตใจ เข้าถึงและปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ทุกกลุ่มครอบคลุมเป้าหมาย ซึ่งนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะรู้จักเจ้าของหลักการนี้ดีและน่าจะใช้เขาเป็นตัวช่วย ไม่เช่นนั้นลางร้ายรัฐบาลที่ค้นพบครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นนับเวลาถอยหลังของรัฐบาลที่มาเร็วเกินคาดแล้วกระมัง
 

 
ชาวสวนยาง โอด ราคาดิ่งกว่า 4 โล 100 อยู่ประหยัด ก็ยังไม่ไหว ถามนักการเมือง หาเสียงไว้ ไม่มาช่วยเหลือ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1863490
 
เมื่อวันที่ 4 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกรชาวสวนยางพาราในจังหวัดสงขลา ทยอยนำน้ำยางสด มาส่งขายยังจุดรับซื้อน้ำยางภายในหมู่บ้าน แม้ราคายางจะปรับลดต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นปี ราคาตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 29-30 บาท จากปีที่ผ่านมาที่ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 35-40 บาท ทำให้เกษตรกรมีความกังวลว่า ราคายางจะปรับตัวลดลงไปกว่านี้อีกหรือไม่ โดยราคาที่ขนาดนี้ ใกล้เข้าสู่ 4 กิโลกรัม 100 บาท สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวสวนยาง เพราะสวนทางกับสภาวะค่าครองชีพ รายจ่ายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้ในแต่ละวันนั้นเพียงพอสำหรับการเลี้ยงชีพเท่านั้น
 
นายนำ เพชรฤทธิ์ เกษตรกรหมู่ 6 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา บอกว่า ทุกวันนี้รายได้หายไปเกินกว่าครึ่ง ชาวสวนยางเดือดร้อนอย่างหนัก รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยนอกจากกรีดยางแล้วก็พยายามที่จะสร้างรายได้อื่นเข้ามาเสริมในครัวเรือน แต่ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจเช่นนี้นั้นไม่ได้คิดจะทำแล้วประสบความสำเร็จเลย จึงอยากให้รัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือ โดยขอให้ช่วยในเรื่องราคา ทำอย่างไรก็ได้ให้ราคายางไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 50 บาท เกษตรกรชาวสวนยางก็พออยู่ได้แล้ว ส่วนการประกันรายได้ ที่ทำอยู่นั้นมองว่าไม่ได้เป็นการช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและระยะยาว
 
นางสิ่ม แก้วมณีโชติ ชาวสวนยาง อ.เมืองสงขลา กล่าวว่า ในขณะนี้รายจ่ายสูงกว่ารายได้ เนื่องราคายางที่ตกต่ำต่อเนื่องมานานหลายปี ชาวสวนยางก็ต้องทนแบกรับปัญหา แม้จะปรับตัวด้วยการประหยัดและหารายได้เสริม แต่ก็ไม่เพียงพอ ซ้ำยังกังวลว่าราคายางอาจจะตกต่ำลงถึงกิโลกรัมละ 18 บาทเหมือนในอดีต หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงจะแย่ อยากให้รัฐบาลช่วยเรื่องราคา ให้อยู่ที่ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 50 บาท ซึ่งหากทำให้ราคาขึ้นมาได้ก็จะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางอย่างทั่วถึง ดีกว่าใช้งบประมาณ นำเงินมาแจกจ่ายให้ชาวสวนยางอย่างที่เป็นอยู่
 
เช่นเดียวกับ นายอุทัย วิจิตร ชาวสวนยางอีกรายหนึ่งในตำบลเขารูปช้าง กล่าวว่า วันนี้กรีดยางเท่าเดิมแต่รายได้ลดลงไปมาก ในขณะที่ภาคการเมืองที่เคยมาหาเสียงเอาไว้ก็ไม่ได้มาให้ความช่วยเหลือ โครงการที่รัฐบาลช่วยในขณะนี้นั้นชาวสวนยางก็ไม่ได้รับอย่างทั่วถึง ดังนั้นคงจะต้องช่วยในเรื่องราคายาง ให้ปรับตัวขึ้นมา เพราะขณะนี้ 4 กิโลกรัม เกือบ 100 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ตกต่ำลงในรอบหลายปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่