นี่คือ 15 ดีลสุดคุ้มซึ่งย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
ซลาตัน ฮิบราฮิโมวิช - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
หลังประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ถึง 12 รายการกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ดาวยิงสัญชาติสวีเดนก็ตัดสินใจโยกมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2016
อิบราฮิโมวิช ยิงได้ 28 ประตูรวมทุกถ้วยในฤดูกาลแรก พร้อมพาปีศาจแดงคว้าแชมป์ลีกคัพและยูโรป้าลีก ซึ่งทำให้ได้โควตากลับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกครั้ง แม้จะต้องโชคร้ายบาดเจ็บหนักในช่วงท้ายซีซั่น
เขากลับมาลงเล่นให้ยูไนเต็ดได้อีก 7 เกม พร้อมยิงได้ 1 ประตูในถ้วยลีกคัพ ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ แอลเอ แกแล็คซี ในช่วงเดือนมีนาคมปี 2018\
มิโรสลาฟ โคลเซ - ลาซิโอ
หลังตกเป็นตัวสำรองในฤดูกาลสุดท้ายกับ บาเยิร์น มิวนิค ทำให้เมื่อหมดสัญญาในปี 2011 จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ลาซิโอ
แม้วัยจะล่วงเลยเข้าสู่เลขสาม แต่กองหน้าเจ้าเวหายังทำไปได้ถึง 63 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 171 เกม ทำสถิติเป็นแข้งต่างชาติที่ยิงได้มากสุด
อันดับ 2 ของสโมสรด้วย
นอกจากนี้ โคลเซ ยังเป็นขุนพลสำคัญที่ช่วยพาอินทรีฟ้าขาวผงาดคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลียเมื่อปี 2013 ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 2016
ตีมู ปุกกี้ - นอริช ซิตี้
กองหน้าชาวฟินแลนด์ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับ บรอนด์บี้ ทีมในเดนมาร์ก เพื่อเลือกย้ายมาลงเล่นในระดับอีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพให้กับนกขมิ้นเหลืองอ่อน
เพียงแค่ฤดูกาลแรก ปุกกี้ ก็จัดการระเบิดฟอร์มซัดไปถึง 30 ประตูรวมทุกถ้วย พานอริชเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง แถมยังเป็นในฐานะแชมป์ของอีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพอีกด้วย
เมื่อต้องขึ้นมาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีก ดาวยิงวัย 29 ปี ก็ยังคงทำผลงานได้ดี ด้วยการกดไป 9 ประตูแล้วในฤดูกาลนี้
มาติเยอ ฟลามินี - อาร์เซนอล
มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสเคยอยู่กับอาร์เซนอลรอบแรกช่วงปี 2004-2008 ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับเอซี มิลาน กระทั่งตัดสินใจย้ายกลับมาค้าแข้งในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมอีกครั้งแบบไร้ค่าตัวในปี 2013
ฟลามินี ลงเล่นให้ทัพปืนโตรอบสองไปทั้งหมด 93 เกม และยิงไปได้ 5 ประตู พร้อมคว้าแชมป์เอฟเอคัพสองสมัยติดต่อกันในปี 2014 และ 2015 รวมถึงแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ในปี 2014 อีกด้วย
เขาอยู่กับเดอะ กันเนอร์ส จนถึงปี 2016 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีมร่วมกรุงลอนดอนอย่าง คริสตัล พาเลซ
ซามิ เคดิรา - ยูเวนตุส
หลังหมดสัญญากับเรอัล มาดริดในปี 2015 เคดิรา ก็ตัดสินใจโยกมาค้าแข้งในเซเรีย อากับ ยูเวนตุส
แม้จะยังมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนอยู่บ้าง แต่เมื่อมิดฟิลด์ชาวเยอรมันฟิตสมบูรณ์เขาก็คือตัวหลักของสโมสร พร้อมเป็นขุนพลสำคัญที่พาม้าลายคว้าถ้วยสคูเด็ดโต้ 4 สมัยล่าสุด
เคดิรา โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในฤดูกาล 2017-2018 ซึ่งเขายิงไปได้ถึง 9 ประตู ซึ่งเท่ากับจำนวนทั้งหมดที่ทำได้สมัยอยู่กับราชันชุดชาวเลยด้วย
เฆซุส นาบาส - เซบีญา
การกลับมาอยู่กับเซบีญาอีกครั้งในปี 2017 ดูเผิน ๆ ก็เหมือนเป็นการเลือกมาปิดฉากชีวิตค้าแข้งกับทีมรักของตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่า นาบาส สามารถกลับมาเฉิดฉายได้อีกครั้ง
นาบาส ในวัยเข้าเลขสาม ผันตัวเองจากปีกขวา ถอยลงมาเล่นเป็นแบ็คขวา พร้อมได้สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมในถิ่นรามอน ซานเชซ ปิซฆวนอีกด้วย
นอกจากนี้ เขายังก้าวไปติดทีมชาติสเปนอีกครั้งเมื่อเดือนมีนาคมในปี 2019 หลังจากหลุดโผไปนานตั้งแต่ปี 2014
ซานติ กาซอร์ลา - บียาร์เรอัล
กาซอร์ลา บาดเจ็บหนักตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมในปี 2016 ซึ่งถึงนาดต้องตัดก้อนเนื้อบริเวณข้อเท้าขวาที่เสียไป และเฉือนก้อนเนื้อที่แขนซ้าย ซึ่งมีรอยสักชื่อลูกสาวของเขาด้วย มาแปะใส่แทนที่เลยทีเดียว
เขาไม่ได้ลงเล่นให้ทัพปืนโตอีกเลยจนกระทั่งหมดสัญญาในปี 2018 ก็จะตัดสินใจโยกมาอยู่กับบียาร์เรอัลอีกครั้ง
มิดฟิลด์ชาวสเปนโชว์ให้เห็นถึงความเป็นนักสู้ใจแกร่ง กลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีอีกครั้งเหมือนไม่เคยผ่านการบาดเจ็บหนักมาก่อน จนถึงขั้นได้โอกาสกลับไป
ติดทีมชาติอีกครั้งเมื่อเดือนมิถุนายนในปี 2019 หลังหายหน้าไปนานตั้งแต่ปี 2015
ราอูล กอนซาเลซ - ชาลเก้ 04
หลังประสบความสำเร็จมากมายกับต้นสังกัดคู่บุญอย่างเรอัล มาดริด ตำนานกองหน้าชาวสเปนก็ตัดสินใจโยกมาค้าแข้งในบุนเดสลีกากับ ชาลเก้ 04 เมื่อปี 2010
ราอูล ยิงได้ 40 ประตู จากการลงเล่นให้ราชันสีน้ำเงินไปทั้งหมด 98 นัด พร้อมคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล รวมถึงเดเอฟแอล ซูเปอร์คัพไปครองในปี 2011
แม้จะอยู่กับชาลเก้เพียงแค่สองฤดูกาล ก่อนจะย้ายไปอัล ซาดด์ ทีมในกาตาร์เมื่อปี 2012 แต่ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมก็ทำให้สโมสรเคยถึงขั้นยกเลิกเสื้อหมายเลข 7 ไม่ให้ใครใส่เป็นเวลา 1 ปีมาแล้ว กระทั่งกลับมามอบให้ดาวรุ่งเด็กปั้นในเวลานั้นอย่าง มักซ์ เมเยอร์ ได้รับเกียรติสืบทอดเบอร์ 7 ต่อในปี 2013
ดานี อัลเวส - ยูเวนตุส และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
บาร์เซโลนาเลือกที่จะปล่อยตัว ดานี อัลเวส ออกจากสโมสรในปี 2016 แม้ว่านักเตะยังเหลือสัญญากับสโมสรอีก 1 ปีก็ตาม
นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของบาร์ซาอย่างแท้จริง เพราะพวกเขายังไม่สามารถหาตัวแทนที่เหมาะสมได้เลยมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่แบ็คขวาชาวบราซิลโยกไปอยู่กับยูเวนตุสแบบไร้ค่าตัว
อัลเวส เป็นกำลังที่ช่วยพาม้าลายคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในอิตาลีอย่างเซเรีย อา กับโคปปา อิตาเลีย รวมถึงได้รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2016-2017
เบียงโคเนรี ตัดสินใจผิดพลาดเหมือนกับอาซูลกรานา ที่เลือกจะปล่อยให้ อัลเวส ย้ายไปปารีส แซงต์ แชร์กแมงในปี 2017 แบบฟรี ๆ ทั้งที่ยังเหลือในถิ่นอัลลิอันซ์ สเตเดี้ยมอีก 1 ปี
เขายังโชว์เห็นว่าตัวเองเป็นแบ็คขวาระดับท็อปตลอดสองฤดูกาลที่อยู่กับเปแอสเช กระทั่งในปี 2019 ก็ตัดสินใจกลับไปค้าแข้งในบราซิลกับเซา เปาโล
อ็องเดร ปิแอร์ ชีญัค - ติเกรส
ชีญัค สร้างความประหลาดใจด้วยการเลือกปัดข้อเสนอของหลายทีมในยุโรป เพื่อย้ายไปค้าแข้งกับทีมในเม็กซิโกอย่าง ติเกรส หลังหมดสัญญากับโอลิมปิก มาร์กเซย เมื่อปี 2015
กระนั้น ดาวยิงชาวฝรั่งเศสกลับสามารถระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาได้ในแดนจังโก้ เมื่อผงาดขึ้นไปรั้งตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ด้วยผลงานการซัดไปถึง 116 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 208 เกม
นอกจากนี้ ดาวยิงวัย 34 ปี ยังคว้าแชมป์ลีกเม็กซิโกไปแล้วถึง 4 สมัย, แชมป์ซูเปอร์คัพของเม็กซิโก 3 สมัย รวมถึงแชมป์แคมป์โอเนส คัพ (แชมป์ลีกเม็กซิโกเจอกับแชมป์เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์) เมื่อปี 2018 อีกด้วย
เชา มิรานด้า - แอตเลติโก มาดริด
กองหลังชาวบราซิล เป็นหนึ่งในขุนพลสำคัญที่นำพา แอตเลติโก มาดริด ในยุคของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน ยกระดับขึ้นมาเป็นหนึ่งในยอดทีมของยุโรป
มิรานด้า ย้ายมาจากเซา เปาโลแบบไม่มีค่าตัวเมื่อปี 2011 ก่อนจะกลายเป็นคู่ขาในแนวรับที่สุดแข็งแกร่งร่วมกับ ดีเอโก้ โกดิน ในชุดประวัติศาสตร์ที่พาตราหมีคว้าแชมป์ลาลีกาในปี 2014
ในปีเดียวกัน เขายังพาทีมคว้ารองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้อีกด้วย ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับอินเตอร์ มิลาน ในปี 2015\
ปอล ป็อกบา - ยูเวนตุส
หลังไม่ได้รับโอกาสในทีมชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่าที่ควร ป็อกบา จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญาและเลือกย้ายไปอยู่กับยูเวนตุสแบบฟรี ๆ ในปี 2012
กองกลางชาวฝรั่งเศสพัฒนาตัวเองจนก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับเวิลด์คลาส ด้วยการเป็นขุนพลสำคัญที่พาม้าลายคว้าแชมป์เซเรีย อา 4 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 3 สมัย รวมถึงซูเปร์โคปปา อิตาเลีย 2 สมัย
และเมื่อเขาถูกดึงกลับไปอยู่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดอีกครั้งในปี 2016 ปีศาจแดงก็ถึงกับต้องทุ่มเงินค่าตัวเป็นสถิติโลกในเวลานั้น 89 ล้านปอนด์ เพื่อกระชากมาจากอ้อมอกของเบียงโคเนรี
อันเดรีย ปีร์โล
นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ เอซี มิลาน ที่ตัดสินใจปล่อยให้ อันเดรีย ปีร์โล ย้ายไปอยู่กับยูเวนตุสแบบฟรี ๆ ในปี 2011
แม้ว่าวัยจะล่วงเลยเข้าสู่เลขสาม แต่กองกลางจอมคลาสสิคยังคงเป็นรักษาฟอร์มระดับท็อปไว้ได้ตลอดช่วงเวลาที่อยู่กับม้าลาย
เขาคว้าแชมป์เซเรีย อาเพิ่มได้อีก 4 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย และซูเปร์โคปปา อิตาเลีย 2 สมัย ก่อนจะโบกมือลาหลังพาทีมคว้ารองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2015
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ - บาเยิร์น มิวนิค
เลวานดอฟสกี้ ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และเลือกย้ายไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิค ในปี 2014
ดาวเตะชาวโปแลนด์ ยังคงเป็นกองหน้าระดับท็อปของบุนเดสลีกา รวมถึงในโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน ด้วยการถล่มประตูให้เสือใต้ไปแล้วถึง 221 ลูก จากการลงเล่นทั้งหมด 267 นัด
นอกจากนี้ เขายังคว้าแชมป์บุนเดสลีกาไปแล้วถึง 5 สมัยติดต่อกัน รวมทั้งแชมป์เดเอฟเบ โพคาล 2 สมัย และเดเอฟแอล ซูเปอร์คัพอีก 3 สมัย
เจมส์ มิลเนอร์ - ลิเวอร์พูล
มิลเนอร์ ตัดสินใจโยกมาอยู่กับลิเวอร์พูลในปี 2015 หลังหมดสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
เขาถือเป็นกำลังสำคัญในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ อย่างแท้จริง ด้วยความขยันทุ่มเท รวมถึงความฟิตอันสุดยอดวิ่งไม่มีหมดแรง และยังเล่นได้ทุกตำแหน่งแบบไม่เคยปริปากบ่น
ปัจจุบันในวัย 33 ปี ก็ยังคงยืนหยัดเล่นได้ระดับท็อปได้อย่างยอดเยี่ยม และมีบทบาทเป็นรองกัปตันทีมต่อจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อีกด้วย
cr : www.goal.com/th
RANK IT UP ของดีไม่มีค่าตัว! 15 ดีลย้ายฟรีแห่งทศวรรษ
นี่คือ 15 ดีลสุดคุ้มซึ่งย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
ซลาตัน ฮิบราฮิโมวิช - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
หลังประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ถึง 12 รายการกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ดาวยิงสัญชาติสวีเดนก็ตัดสินใจโยกมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2016
อิบราฮิโมวิช ยิงได้ 28 ประตูรวมทุกถ้วยในฤดูกาลแรก พร้อมพาปีศาจแดงคว้าแชมป์ลีกคัพและยูโรป้าลีก ซึ่งทำให้ได้โควตากลับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกครั้ง แม้จะต้องโชคร้ายบาดเจ็บหนักในช่วงท้ายซีซั่น
เขากลับมาลงเล่นให้ยูไนเต็ดได้อีก 7 เกม พร้อมยิงได้ 1 ประตูในถ้วยลีกคัพ ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ แอลเอ แกแล็คซี ในช่วงเดือนมีนาคมปี 2018\
มิโรสลาฟ โคลเซ - ลาซิโอ
หลังตกเป็นตัวสำรองในฤดูกาลสุดท้ายกับ บาเยิร์น มิวนิค ทำให้เมื่อหมดสัญญาในปี 2011 จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ลาซิโอ
แม้วัยจะล่วงเลยเข้าสู่เลขสาม แต่กองหน้าเจ้าเวหายังทำไปได้ถึง 63 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 171 เกม ทำสถิติเป็นแข้งต่างชาติที่ยิงได้มากสุด
อันดับ 2 ของสโมสรด้วย
นอกจากนี้ โคลเซ ยังเป็นขุนพลสำคัญที่ช่วยพาอินทรีฟ้าขาวผงาดคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลียเมื่อปี 2013 ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 2016
ตีมู ปุกกี้ - นอริช ซิตี้
กองหน้าชาวฟินแลนด์ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับ บรอนด์บี้ ทีมในเดนมาร์ก เพื่อเลือกย้ายมาลงเล่นในระดับอีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพให้กับนกขมิ้นเหลืองอ่อน
เพียงแค่ฤดูกาลแรก ปุกกี้ ก็จัดการระเบิดฟอร์มซัดไปถึง 30 ประตูรวมทุกถ้วย พานอริชเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง แถมยังเป็นในฐานะแชมป์ของอีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพอีกด้วย
เมื่อต้องขึ้นมาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีก ดาวยิงวัย 29 ปี ก็ยังคงทำผลงานได้ดี ด้วยการกดไป 9 ประตูแล้วในฤดูกาลนี้
มาติเยอ ฟลามินี - อาร์เซนอล
มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสเคยอยู่กับอาร์เซนอลรอบแรกช่วงปี 2004-2008 ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับเอซี มิลาน กระทั่งตัดสินใจย้ายกลับมาค้าแข้งในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมอีกครั้งแบบไร้ค่าตัวในปี 2013
ฟลามินี ลงเล่นให้ทัพปืนโตรอบสองไปทั้งหมด 93 เกม และยิงไปได้ 5 ประตู พร้อมคว้าแชมป์เอฟเอคัพสองสมัยติดต่อกันในปี 2014 และ 2015 รวมถึงแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ในปี 2014 อีกด้วย
เขาอยู่กับเดอะ กันเนอร์ส จนถึงปี 2016 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีมร่วมกรุงลอนดอนอย่าง คริสตัล พาเลซ
ซามิ เคดิรา - ยูเวนตุส
หลังหมดสัญญากับเรอัล มาดริดในปี 2015 เคดิรา ก็ตัดสินใจโยกมาค้าแข้งในเซเรีย อากับ ยูเวนตุส
แม้จะยังมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนอยู่บ้าง แต่เมื่อมิดฟิลด์ชาวเยอรมันฟิตสมบูรณ์เขาก็คือตัวหลักของสโมสร พร้อมเป็นขุนพลสำคัญที่พาม้าลายคว้าถ้วยสคูเด็ดโต้ 4 สมัยล่าสุด
เคดิรา โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในฤดูกาล 2017-2018 ซึ่งเขายิงไปได้ถึง 9 ประตู ซึ่งเท่ากับจำนวนทั้งหมดที่ทำได้สมัยอยู่กับราชันชุดชาวเลยด้วย
เฆซุส นาบาส - เซบีญา
การกลับมาอยู่กับเซบีญาอีกครั้งในปี 2017 ดูเผิน ๆ ก็เหมือนเป็นการเลือกมาปิดฉากชีวิตค้าแข้งกับทีมรักของตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่า นาบาส สามารถกลับมาเฉิดฉายได้อีกครั้ง
นาบาส ในวัยเข้าเลขสาม ผันตัวเองจากปีกขวา ถอยลงมาเล่นเป็นแบ็คขวา พร้อมได้สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมในถิ่นรามอน ซานเชซ ปิซฆวนอีกด้วย
นอกจากนี้ เขายังก้าวไปติดทีมชาติสเปนอีกครั้งเมื่อเดือนมีนาคมในปี 2019 หลังจากหลุดโผไปนานตั้งแต่ปี 2014
ซานติ กาซอร์ลา - บียาร์เรอัล
กาซอร์ลา บาดเจ็บหนักตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมในปี 2016 ซึ่งถึงนาดต้องตัดก้อนเนื้อบริเวณข้อเท้าขวาที่เสียไป และเฉือนก้อนเนื้อที่แขนซ้าย ซึ่งมีรอยสักชื่อลูกสาวของเขาด้วย มาแปะใส่แทนที่เลยทีเดียว
เขาไม่ได้ลงเล่นให้ทัพปืนโตอีกเลยจนกระทั่งหมดสัญญาในปี 2018 ก็จะตัดสินใจโยกมาอยู่กับบียาร์เรอัลอีกครั้ง
มิดฟิลด์ชาวสเปนโชว์ให้เห็นถึงความเป็นนักสู้ใจแกร่ง กลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีอีกครั้งเหมือนไม่เคยผ่านการบาดเจ็บหนักมาก่อน จนถึงขั้นได้โอกาสกลับไป
ติดทีมชาติอีกครั้งเมื่อเดือนมิถุนายนในปี 2019 หลังหายหน้าไปนานตั้งแต่ปี 2015
ราอูล กอนซาเลซ - ชาลเก้ 04
หลังประสบความสำเร็จมากมายกับต้นสังกัดคู่บุญอย่างเรอัล มาดริด ตำนานกองหน้าชาวสเปนก็ตัดสินใจโยกมาค้าแข้งในบุนเดสลีกากับ ชาลเก้ 04 เมื่อปี 2010
ราอูล ยิงได้ 40 ประตู จากการลงเล่นให้ราชันสีน้ำเงินไปทั้งหมด 98 นัด พร้อมคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล รวมถึงเดเอฟแอล ซูเปอร์คัพไปครองในปี 2011
แม้จะอยู่กับชาลเก้เพียงแค่สองฤดูกาล ก่อนจะย้ายไปอัล ซาดด์ ทีมในกาตาร์เมื่อปี 2012 แต่ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมก็ทำให้สโมสรเคยถึงขั้นยกเลิกเสื้อหมายเลข 7 ไม่ให้ใครใส่เป็นเวลา 1 ปีมาแล้ว กระทั่งกลับมามอบให้ดาวรุ่งเด็กปั้นในเวลานั้นอย่าง มักซ์ เมเยอร์ ได้รับเกียรติสืบทอดเบอร์ 7 ต่อในปี 2013
ดานี อัลเวส - ยูเวนตุส และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
บาร์เซโลนาเลือกที่จะปล่อยตัว ดานี อัลเวส ออกจากสโมสรในปี 2016 แม้ว่านักเตะยังเหลือสัญญากับสโมสรอีก 1 ปีก็ตาม
นับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของบาร์ซาอย่างแท้จริง เพราะพวกเขายังไม่สามารถหาตัวแทนที่เหมาะสมได้เลยมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่แบ็คขวาชาวบราซิลโยกไปอยู่กับยูเวนตุสแบบไร้ค่าตัว
อัลเวส เป็นกำลังที่ช่วยพาม้าลายคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในอิตาลีอย่างเซเรีย อา กับโคปปา อิตาเลีย รวมถึงได้รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2016-2017
เบียงโคเนรี ตัดสินใจผิดพลาดเหมือนกับอาซูลกรานา ที่เลือกจะปล่อยให้ อัลเวส ย้ายไปปารีส แซงต์ แชร์กแมงในปี 2017 แบบฟรี ๆ ทั้งที่ยังเหลือในถิ่นอัลลิอันซ์ สเตเดี้ยมอีก 1 ปี
เขายังโชว์เห็นว่าตัวเองเป็นแบ็คขวาระดับท็อปตลอดสองฤดูกาลที่อยู่กับเปแอสเช กระทั่งในปี 2019 ก็ตัดสินใจกลับไปค้าแข้งในบราซิลกับเซา เปาโล
อ็องเดร ปิแอร์ ชีญัค - ติเกรส
ชีญัค สร้างความประหลาดใจด้วยการเลือกปัดข้อเสนอของหลายทีมในยุโรป เพื่อย้ายไปค้าแข้งกับทีมในเม็กซิโกอย่าง ติเกรส หลังหมดสัญญากับโอลิมปิก มาร์กเซย เมื่อปี 2015
กระนั้น ดาวยิงชาวฝรั่งเศสกลับสามารถระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาได้ในแดนจังโก้ เมื่อผงาดขึ้นไปรั้งตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ด้วยผลงานการซัดไปถึง 116 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 208 เกม
นอกจากนี้ ดาวยิงวัย 34 ปี ยังคว้าแชมป์ลีกเม็กซิโกไปแล้วถึง 4 สมัย, แชมป์ซูเปอร์คัพของเม็กซิโก 3 สมัย รวมถึงแชมป์แคมป์โอเนส คัพ (แชมป์ลีกเม็กซิโกเจอกับแชมป์เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์) เมื่อปี 2018 อีกด้วย
เชา มิรานด้า - แอตเลติโก มาดริด
กองหลังชาวบราซิล เป็นหนึ่งในขุนพลสำคัญที่นำพา แอตเลติโก มาดริด ในยุคของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน ยกระดับขึ้นมาเป็นหนึ่งในยอดทีมของยุโรป
มิรานด้า ย้ายมาจากเซา เปาโลแบบไม่มีค่าตัวเมื่อปี 2011 ก่อนจะกลายเป็นคู่ขาในแนวรับที่สุดแข็งแกร่งร่วมกับ ดีเอโก้ โกดิน ในชุดประวัติศาสตร์ที่พาตราหมีคว้าแชมป์ลาลีกาในปี 2014
ในปีเดียวกัน เขายังพาทีมคว้ารองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้อีกด้วย ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับอินเตอร์ มิลาน ในปี 2015\
ปอล ป็อกบา - ยูเวนตุส
หลังไม่ได้รับโอกาสในทีมชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่าที่ควร ป็อกบา จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญาและเลือกย้ายไปอยู่กับยูเวนตุสแบบฟรี ๆ ในปี 2012
กองกลางชาวฝรั่งเศสพัฒนาตัวเองจนก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับเวิลด์คลาส ด้วยการเป็นขุนพลสำคัญที่พาม้าลายคว้าแชมป์เซเรีย อา 4 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 3 สมัย รวมถึงซูเปร์โคปปา อิตาเลีย 2 สมัย
และเมื่อเขาถูกดึงกลับไปอยู่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดอีกครั้งในปี 2016 ปีศาจแดงก็ถึงกับต้องทุ่มเงินค่าตัวเป็นสถิติโลกในเวลานั้น 89 ล้านปอนด์ เพื่อกระชากมาจากอ้อมอกของเบียงโคเนรี
อันเดรีย ปีร์โล
นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ เอซี มิลาน ที่ตัดสินใจปล่อยให้ อันเดรีย ปีร์โล ย้ายไปอยู่กับยูเวนตุสแบบฟรี ๆ ในปี 2011
แม้ว่าวัยจะล่วงเลยเข้าสู่เลขสาม แต่กองกลางจอมคลาสสิคยังคงเป็นรักษาฟอร์มระดับท็อปไว้ได้ตลอดช่วงเวลาที่อยู่กับม้าลาย
เขาคว้าแชมป์เซเรีย อาเพิ่มได้อีก 4 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย และซูเปร์โคปปา อิตาเลีย 2 สมัย ก่อนจะโบกมือลาหลังพาทีมคว้ารองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2015
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ - บาเยิร์น มิวนิค
เลวานดอฟสกี้ ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และเลือกย้ายไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิค ในปี 2014
ดาวเตะชาวโปแลนด์ ยังคงเป็นกองหน้าระดับท็อปของบุนเดสลีกา รวมถึงในโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน ด้วยการถล่มประตูให้เสือใต้ไปแล้วถึง 221 ลูก จากการลงเล่นทั้งหมด 267 นัด
นอกจากนี้ เขายังคว้าแชมป์บุนเดสลีกาไปแล้วถึง 5 สมัยติดต่อกัน รวมทั้งแชมป์เดเอฟเบ โพคาล 2 สมัย และเดเอฟแอล ซูเปอร์คัพอีก 3 สมัย
เจมส์ มิลเนอร์ - ลิเวอร์พูล
มิลเนอร์ ตัดสินใจโยกมาอยู่กับลิเวอร์พูลในปี 2015 หลังหมดสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
เขาถือเป็นกำลังสำคัญในยุคของ เยอร์เก้น คล็อปป์ อย่างแท้จริง ด้วยความขยันทุ่มเท รวมถึงความฟิตอันสุดยอดวิ่งไม่มีหมดแรง และยังเล่นได้ทุกตำแหน่งแบบไม่เคยปริปากบ่น
ปัจจุบันในวัย 33 ปี ก็ยังคงยืนหยัดเล่นได้ระดับท็อปได้อย่างยอดเยี่ยม และมีบทบาทเป็นรองกัปตันทีมต่อจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อีกด้วย
cr : www.goal.com/th