ตอนที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้File 20 : เพชฌฆาตบนถนน [บทเฉลย]
https://ppantip.com/topic/39515195
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
- 1 -
คณะสัตวแพทยศาสตร์
คณะนี้ถือเป็นคณะที่มีจำนวนนักศึกษาน้อยที่สุดในมหาวิทยาลัยนี้ ทั้งยังตั้งอยู่ในพื้นที่ทางส่วนในสุดของมหาวิทยาลัย
ตามปกติที่คณะนี้จะไม่มีเรื่องราววุ่นวายอะไรเท่าไหร่นัก หากจะมีเรื่องก็คงเป็นเรื่องที่นักศึกษานำสัตว์ต่าง ๆ มารักษาและทดลองกัน
แต่วันนี้กลับเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นภายในคณะสัตวแพทยศาสตร์ที่แสนสงบ
เรื่องราวมันเป็นเช่นนี้
เนื่องจากทางคณะได้อนุญาตให้นักศึกษาสามารถใช้ห้องต่าง ๆ ภายในอาคารคณะ เพื่อศึกษาค้นคว้าทดลองและวิจัยได้ตลอดเวลา จึงมีนักศึกษาหลายคนที่ใช้ห้องเหล่านั้นในการทำโปรเจ็ค โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย
อย่างที่รู้กัน ชั้นปีสุดท้ายของคณะสัตวแพทยศาสตร์ย่อมไม่ใช่นักศึกษาชั้นปีที่สี่อย่างเช่นคณะอื่น หากเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หก ซึ่งวันนี้เกิดปัญหาขึ้นกับนักศึกษาชั้นปีที่หกของคณะนี้ ที่เกี่ยวข้องกับห้องที่เขาใช้ทำโปรเจ็คด้วย
ในช่วงเช้า รปภ.ที่มีเวรดูแลภายในอาคารคณะสัตวแพทยศาสตร์ได้เดินตรวจตราตามหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบอย่างเช่นทุกวัน
แต่วันนี้เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นทุกวัน
รปภ.วัยกลางคนเดินดูตรวจเช็คตามห้องต่าง ๆ อย่างแข็งขัน จนเขามาหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่ง
ห้องนี้เป็นห้องที่ใช้ทำโปรเจ็คของนักศึกษาชั้นปีที่หกคนหนึ่ง
เมื่อ รปภ.มองผ่านกระจกที่ประตูเข้าไปข้างในห้อง พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติไปจากเดิม
ปกติแล้วภายในห้องนี้จะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตั้งอยู่สองเครื่อง ซึ่งจะเป็นของมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักศึกษาที่ทำโปรเจ็คในห้องได้ใช้กัน แต่วันนี้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทั้งสองนั้นไม่อยู่แล้ว
ทั้งหมดหายไป
ซึ่งพอ รปภ.พบเห็นเข้าก็รีบควักลูกกุญแจที่มี ปลดล็อกแม่กุญแจที่คล้องอยู่ที่ประตูห้องออก แล้วเข้าไปในห้องทันที
เมื่อเข้าไป รปภ.วัยกลางคนก็พยายามสอดส่อง ค้นหาคอมพิวเตอร์เหล่านั้นอย่างเต็มที่ แต่ทว่าไม่พบเจอ จึงต้องเดินออกจากห้องไป
พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา รปภ.คนนั้นต้องรีบหาคอมพิวเตอร์ให้เจอโดยเร็ว เพราะการที่โน้ตบุ๊คหายนั้นก็อยู่ในส่วนรับผิดชอบของตนเอง
หลังจากเขาใช้เวลาคิดใคร่ครวญสักพักใหญ่ ก็เริ่มรู้ว่าผู้ใดน่าจะเป็นคนขโมยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทั้งสองเครื่องนี้ไป
เขาคิดว่าผู้ขโมยไปเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หกที่ใช้ห้องโปรเจ็คนี้
นักศึกษาผู้นั้นมีชื่อว่า เรวัต เป็นคนที่ใช้ห้องโปรเจ็คนี้แต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้น รปภ.จึงกล่าวหาว่า เรวัตคนนี้แหละที่เป็นผู้ขโมยคอมพิวเตอร์ในห้องนี้ไป เพราะมีเพียงตัวเขาเองและนักศึกษาชั้นปีที่หกคนนี้เท่านั้นที่เปิดห้องนี้ได้
เนื่องจากห้องโปรเจ็คนี้จะใช้การล็อกด้วยแม่กุญแจคล้องไว้ที่ประตูห้องที่เป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียว ส่วนหน้าต่างภายในห้องก็ถูกปิดตายไว้ตลอด ลูกกุญแจที่ไขแม่กุญแจนั้นก็มีแค่ดอกเดียว ซึ่งจะอยู่กับ รปภ.วัยกลางคนนี้ โดยเมื่อจะใช้ห้องเรวัตก็จะต้องมาขอเบิกลูกกุญแจนี้ไปเพื่อเปิดห้อง
ทำให้ในความคิดของ รปภ.วัยกลางคนนี้ ดูเหมือนว่าคนที่ขโมยคอมพิวเตอร์ไปนั้นน่าจะเป็นเรวัตมากที่สุด
แต่เรวัตเองกลับมีข้ออ้างว่า
“ผมไม่ได้ขโมยไปจริง ๆ เมื่อวานมันก็ยังอยู่ พี่ รปภ.ก็เห็นด้วยไม่ใช่หรือ ตอนผมปิดห้องแล้วเอากุญแจมาคืนพี่ รปภ. คอมพิวเตอร์ก็ยังอยู่ในห้องเลย ผมจะเอาไปได้ไง”
ซึ่งข้ออ้างที่เรวัตว่ามันก็มีเหตุผล เพราะเมื่อวานตอนเขาปิดห้องโปรเจ็ค คอมพิวเตอร์เหล่านั้นก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน โดยเขาก็เอาลูกกุญแจมาคืนกับ รปภ.ด้วย และถึงเขาจะแอบขโมยภายหลังก็ไม่ได้อีก เพราะห้องโปรเจ็คยังคงถูกล็อก ประตูถูกล็อกด้วยแม่กุญแจ หน้าต่างก็ถูกปิดจากภายใน ไม่มีทางที่จะเข้าไปข้างในแล้วขโมยได้เลย
แต่อย่างไรก็ตาม คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเหล่านั้นก็ถูกขโมยไปแล้ว
ช่วงเวลาที่คอมพิวเตอร์หายไปนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลากลางคืน เพราะเรวัตปิดห้องตั้งแต่สี่โมงเย็น แถมหลังจากนั้นตอนห้าโมงครึ่ง รปภ.ก็ใช้กุญแจเปิดห้องเข้าไปดูอีกครั้ง ก็ยังพบคอมพิวเตอร์อยู่ในห้อง ไม่ได้หายไปไหน
นี่เป็นเหตุให้ยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนเอาไป
แม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะดูค่อนข้างใหญ่ในคณะสัตวแพทยศาสตร์นี้ แต่นักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยก็ไม่มีผู้ใดรับรู้ อาจเป็นเพราะคณะนี้คนน้อยก็เป็นได้ ข่าวจึงไม่รั่วไหลออกไปไหน
ตอนนี้มีเพียงนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ยืนมุงดูการตัดสินใจของตำรวจว่าผลจริง ๆ เป็นเช่นไร ที่บริเวณภายในอาคารที่ห้องเจ้าปัญหาอยู่นั้น
ผู้หมวดตำรวจ ผู้เป็นคนรับผิดชอบคดีนี้พูดซักถามกับเรวัตว่า
“เธอแน่ใจใช่มั้ยว่า เธอไม่ได้เป็นคนขโมยคอมพิวเตอร์ไป?”
“ครับ” เรวัตยืนยัน แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
นายตำรวจหันมองหน้าหนุ่มนักศึกษาคณะสัตวแพทย์พูดขึ้นต่อ “แต่เธอก็เป็นคนใช้ห้องนั่นนี่...”
“ใช่ครับ ผมใช้ห้องนั้น แต่ผมก็ไม่ได้เป็นคนขโมยไป ตอนผมปิดห้อง พี่ รปภ.ก็เห็นว่าคอมพิวเตอร์ก็ยังอยู่ ผมจะเอาไปตอนไหนได้ ...แถมผมก็ไม่มีกุญแจ เพราะคืนให้ รปภ.ไปแล้วด้วย”
“งั้นเหรอ..” นายตำรวจครุ่นคิด “แต่เธอก็สามารถเอากุญแจนั้นไปปั้มก็ได้นี่”
“ไม่ได้หรอกครับ” เรวัตปฏิเสธทันที “ผมจะเอาเวลาไหนไปปั้มกุญแจได้ล่ะ ไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกครับ ต้องทำงานอีกเยอะแยะ แถมถ้าผมออกไปไหน ออกไปข้างนอก ผมก็ต้องฝากกุญแจกับพี่ รปภ. เพราะมันเป็นกฎ ...แล้วผมจะไปปั้มกุญแจได้ไง”
ผู้หมวดตำรวจนิ่ง จ้องตาเขา “อืม... มันก็ถูก แต่ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครล่ะ?”
“ไม่รู้สิครับ” เรวัตส่ายหน้า “ผมไม่มีกุญแจ ใครมีกุญแจก็น่าจะเป็นคนนั้นมากกว่า”
“รปภ. หรือ?” คราวนี้ผู้หมวดหันไปถาม รปภ.วัยกลางคนที่อยู่ที่นี่ด้วย “ตกลงใช่คุณหรือเปล่า คุณ รปภ.วิชิต?”
รปภ.วัยกลางคนคนนั้นมีชื่อว่า วิชิต
“ไม่ครับ ผมไม่ได้เอาไปแน่นอน ขืนผมเอาไป ยังไงก็จับได้ เพราะลูกกุญแจอยู่ที่ผมคนเดียว”
“อืม..มันก็ใช่” นายตำรวจจ้องมองหน้า รปภ.ในเครื่องแบบ “แต่ถ้านายเรวัตบอกไม่ได้เอาไป คุณก็บอกว่าไม่ได้เอาไป ตกลงเป็นใครกันแน่ที่เอาไป”
“เรื่องนี้ผมมีคำตอบครับ”
มีเสียงดังขึ้นมาจากกลุ่มนักศึกษาที่มุงดูการทำงานของตำรวจ
ผู้พูดเป็นนักศึกษาหนุ่มผมตั้งคนหนึ่ง
เมื่อมีคนพูดแทรกขึ้นมา นายตำรวจรวมทั้งผู้ต้องสงสัยทั้งสองจึงหันขวับไปทางต้นเสียงนั้นทันที
นักศึกษาคนนั้นพูดขึ้นต่อด้วยสีหน้ามั่นใจ “ผมปลายครับ ผมจะช่วยตำรวจไขคดีนี้เอง”
“ปลายไหน?” นายตำรวจยังสงสัย เพราะไม่รู้จักนักศึกษาผู้นี้
แต่ทว่าก็มีคนรู้จักนั่นคือ นายเรวัต เขาพูดขึ้นว่า “ปลาย... นักศึกษานักสืบที่สืบคดีที่มหา’ลัยบ่อย ๆ ใช่มั้ยล่ะ?”
ที่แท้แล้วเขาก็คือ ปลายนั่นเอง แต่ว่าเขามาที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ทำไมกัน เขาเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรือ?
ในที่นี้ก็ใช่ว่ามีแค่ปลายเท่านั้นที่มีท่าทีสนใจเรื่องที่เกิดขึ้น ยังมีนักศึกษาอีกหลายคนที่สนอกสนใจเหมือนกัน พวกเขายืนมุงดูอยู่ไม่ห่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่หนุ่มสาวนักศึกษาที่ตั้งใจฟังการสอบสวนอย่างละเอียดไม่แพ้ปลายเลยทีเดียว
“อือ.. เธอคือ ปลายที่สารวัตรสรวุทธพูดบ่อย ๆ สินะ เห็นว่ามีฝีมือทีเดียว งั้นก็มาช่วยฉันละกัน” ผู้หมวดพูดขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะพอรู้จักปลายบ้าง เพราะเขาเองก็อยู่สถานีเดียวกับสารวัตรสรวุทธ จึงเคยได้ยินสารวัตรสรวุทธพูดถึงเป็นธรรมดา
“คะ..ครับ” ปลายนิ่ง แล้วพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม
ดังนั้น ปลายจึงเข้ามาร่วมวงสืบสวนครั้งนี้ด้วย ดูท่าคดีนี้จะเป็นอีกคดีที่หนุ่มผมตั้งคลี่คลายได้อีกแน่
“เธอคิดว่ายังไง ใครเป็นคนเอาไป” นายตำรวจถามปลายทันที
ปลายมองหน้าผู้เป็นตำรวจ คลี่ยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้มันก็ง่าย ๆ ครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“อะไร! เธอว่ายังไงนะ!”
“ก็คดีนี้ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่ครับ เรื่องมันตรง ๆ เลย” ปลายพูดตอบหน้าตาย
“งั้นเหรอ...” นายตำรวจทำหน้าสงสัย
“ครับ” ปลายพยักหน้ารับ “แต่..ผมว่าให้อธิบายตรงนี้มันคงจะอธิบายได้ไม่ดีแน่ เราไปดูห้องโปรเจ็คนั้นเลยดีกว่าครับ”
“อืม.. ก็ดี” นายตำรวจก็ผงกศีรษะรับ ท่าทางจะเห็นด้วย
ปลายจึงเดินนำผู้หมวดตำรวจไปที่หน้าห้องโปรเจ็ค ซึ่ง รปภ.วิชิตและนายเรวัตก็ถูกคุมตัวมาอยู่ที่นี่เช่นกัน
แต่ไม่เพียงเท่านั้น หนุ่มสาวนักศึกษาคู่นั้นรวมทั้งนักศึกษาคนอื่นก็เดินตามมาด้วย เพราะทางตำรวจก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร
ตอนนี้ทั้งหมดจึงยืนรวมที่หน้าห้องโปรเจ็ค เพื่อรอดูการไขคดีของปลาย
ปลายสูดหายใจเข้าเล็กน้อย หันมองหน้านายเรวัตและ รปภ.วิชิต แล้วค่อยพูดขึ้นมา
“เรื่องนี้ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คุณตำรวจจะเห็นได้ว่าห้องโปรเจ็คนี้ไม่มีทางเข้าออกทางไหนเลย หน้าต่างก็ถูกปิดไว้ตลอด ดังนั้น ทางที่จะเข้าไปข้างในได้จึงมีเพียงประตูห้องนี้เท่านั้น”
หนุ่มผมตั้งชี้ไปยังประตูห้องนั้น ซึ่งตอนนี้ถูกล็อกด้วยแม่กุญแจใหญ่ ทำให้เข้าไปข้างในไม่ได้
“เมื่อมีทางเข้าออกเพียงแค่ประตูอย่างเดียว ก็แสดงว่าหัวขโมยต้องผ่านเข้าออกทางประตูนี้เท่านั้น ซึ่งพอมาดูประตูจะเห็นได้ว่าถูกล็อกด้วยแม่กุญแจ ผู้ต้องสงสัยจึงน่าจะเป็นคนที่มีลูกกุญแจที่ไขแม่กุญแจนี้”
พอปลายว่าแล้วเขาก็ขอลูกกุญแจนั้นจาก รปภ.วิชิต ยกชูให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ดู
แน่นอนว่าทุกคนย่อมเห็นลูกกุญแจนี้ ซึ่งลูกกุญแจนี้มีลักษณะเป็นเช่นลูกกุญแจปกติ เพียงแต่มีเมจิกเขียนหมายเลขห้องอยู่ที่ตัวลูกกุญแจเท่านั้น
ปลายหันมองนายเรวัตและ รปภ.วิชิต แล้วพูดขึ้นต่อ “ผู้ใช้ลูกกุญแจนี้ก็มีแต่เรวัตกับ รปภ.วิชิตเท่านั้น เมื่อลองคิดดู เรวัตไม่มีทางทำได้หรอกครับ เพราะคอมพ์หายไปตอนกลางคืน เขาไม่มีกุญแจ เนื่องจากคืน รปภ.วิชิตไปแล้ว ดังนั้นผู้ต้องสงสัยที่สุดก็คือ รปภ.วิชิต เท่านั้น!”
สิ้นคำทุกคนหันขวับไปมองที่ รปภ.วิชิตเป็นตาเดียว
“ไม่ใช่นะครับ! ผมไม่ได้ขโมยไป!” รปภ.วิชิตปฏิเสธขึ้นทันที
“ไม่หรอกครับ มันต้องเป็นคุณเท่านั้น” ปลายยังยืนยันคำเดิม แล้วหันไปบอกนายตำรวจว่า “คุณตำรวจครับ จับ รปภ.วิชิตไปเลย ยังไงคดีนี้ไม่มีทางเป็นใครไปได้หรอก ผู้มีโอกาสมีแต่เขาเท่านั้น”
“อืม...” นายตำรวจผู้หมวดพยักหน้า แล้วหันไปสั่งลูกน้องเข้ากุมตัว รปภ.วิชิตทันที
“ไม่นะ! ไม่ใช่ผม! ผมไม่ได้ขโมยไปจริง ๆ” รปภ.วิชิตยังคงปฏิเสธไม่เลิก แต่ถึงเขาจะปฏิเสธปานใด ตำรวจก็ยังจับกุมอย่างไม่สนใจ
ดูเหมือนว่าคดีคอมพิวเตอร์หายที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ใกล้จะจบลงแล้ว ผู้ขโมยคงเป็น รปภ.วัยกลางคนผู้นี้แน่
(อ่านต่อ "บทเฉลย"ครับ)
ปลาย นักสืบจำเป็น - File 21 : ของหายที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ [บทปัญหา]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คณะสัตวแพทยศาสตร์
คณะนี้ถือเป็นคณะที่มีจำนวนนักศึกษาน้อยที่สุดในมหาวิทยาลัยนี้ ทั้งยังตั้งอยู่ในพื้นที่ทางส่วนในสุดของมหาวิทยาลัย
ตามปกติที่คณะนี้จะไม่มีเรื่องราววุ่นวายอะไรเท่าไหร่นัก หากจะมีเรื่องก็คงเป็นเรื่องที่นักศึกษานำสัตว์ต่าง ๆ มารักษาและทดลองกัน
แต่วันนี้กลับเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นภายในคณะสัตวแพทยศาสตร์ที่แสนสงบ
เรื่องราวมันเป็นเช่นนี้
เนื่องจากทางคณะได้อนุญาตให้นักศึกษาสามารถใช้ห้องต่าง ๆ ภายในอาคารคณะ เพื่อศึกษาค้นคว้าทดลองและวิจัยได้ตลอดเวลา จึงมีนักศึกษาหลายคนที่ใช้ห้องเหล่านั้นในการทำโปรเจ็ค โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย
อย่างที่รู้กัน ชั้นปีสุดท้ายของคณะสัตวแพทยศาสตร์ย่อมไม่ใช่นักศึกษาชั้นปีที่สี่อย่างเช่นคณะอื่น หากเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หก ซึ่งวันนี้เกิดปัญหาขึ้นกับนักศึกษาชั้นปีที่หกของคณะนี้ ที่เกี่ยวข้องกับห้องที่เขาใช้ทำโปรเจ็คด้วย
ในช่วงเช้า รปภ.ที่มีเวรดูแลภายในอาคารคณะสัตวแพทยศาสตร์ได้เดินตรวจตราตามหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบอย่างเช่นทุกวัน
แต่วันนี้เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นทุกวัน
รปภ.วัยกลางคนเดินดูตรวจเช็คตามห้องต่าง ๆ อย่างแข็งขัน จนเขามาหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่ง
ห้องนี้เป็นห้องที่ใช้ทำโปรเจ็คของนักศึกษาชั้นปีที่หกคนหนึ่ง
เมื่อ รปภ.มองผ่านกระจกที่ประตูเข้าไปข้างในห้อง พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติไปจากเดิม
ปกติแล้วภายในห้องนี้จะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตั้งอยู่สองเครื่อง ซึ่งจะเป็นของมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักศึกษาที่ทำโปรเจ็คในห้องได้ใช้กัน แต่วันนี้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทั้งสองนั้นไม่อยู่แล้ว
ทั้งหมดหายไป
ซึ่งพอ รปภ.พบเห็นเข้าก็รีบควักลูกกุญแจที่มี ปลดล็อกแม่กุญแจที่คล้องอยู่ที่ประตูห้องออก แล้วเข้าไปในห้องทันที
เมื่อเข้าไป รปภ.วัยกลางคนก็พยายามสอดส่อง ค้นหาคอมพิวเตอร์เหล่านั้นอย่างเต็มที่ แต่ทว่าไม่พบเจอ จึงต้องเดินออกจากห้องไป
พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา รปภ.คนนั้นต้องรีบหาคอมพิวเตอร์ให้เจอโดยเร็ว เพราะการที่โน้ตบุ๊คหายนั้นก็อยู่ในส่วนรับผิดชอบของตนเอง
หลังจากเขาใช้เวลาคิดใคร่ครวญสักพักใหญ่ ก็เริ่มรู้ว่าผู้ใดน่าจะเป็นคนขโมยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทั้งสองเครื่องนี้ไป
เขาคิดว่าผู้ขโมยไปเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หกที่ใช้ห้องโปรเจ็คนี้
นักศึกษาผู้นั้นมีชื่อว่า เรวัต เป็นคนที่ใช้ห้องโปรเจ็คนี้แต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้น รปภ.จึงกล่าวหาว่า เรวัตคนนี้แหละที่เป็นผู้ขโมยคอมพิวเตอร์ในห้องนี้ไป เพราะมีเพียงตัวเขาเองและนักศึกษาชั้นปีที่หกคนนี้เท่านั้นที่เปิดห้องนี้ได้
เนื่องจากห้องโปรเจ็คนี้จะใช้การล็อกด้วยแม่กุญแจคล้องไว้ที่ประตูห้องที่เป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียว ส่วนหน้าต่างภายในห้องก็ถูกปิดตายไว้ตลอด ลูกกุญแจที่ไขแม่กุญแจนั้นก็มีแค่ดอกเดียว ซึ่งจะอยู่กับ รปภ.วัยกลางคนนี้ โดยเมื่อจะใช้ห้องเรวัตก็จะต้องมาขอเบิกลูกกุญแจนี้ไปเพื่อเปิดห้อง
ทำให้ในความคิดของ รปภ.วัยกลางคนนี้ ดูเหมือนว่าคนที่ขโมยคอมพิวเตอร์ไปนั้นน่าจะเป็นเรวัตมากที่สุด
แต่เรวัตเองกลับมีข้ออ้างว่า
“ผมไม่ได้ขโมยไปจริง ๆ เมื่อวานมันก็ยังอยู่ พี่ รปภ.ก็เห็นด้วยไม่ใช่หรือ ตอนผมปิดห้องแล้วเอากุญแจมาคืนพี่ รปภ. คอมพิวเตอร์ก็ยังอยู่ในห้องเลย ผมจะเอาไปได้ไง”
ซึ่งข้ออ้างที่เรวัตว่ามันก็มีเหตุผล เพราะเมื่อวานตอนเขาปิดห้องโปรเจ็ค คอมพิวเตอร์เหล่านั้นก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน โดยเขาก็เอาลูกกุญแจมาคืนกับ รปภ.ด้วย และถึงเขาจะแอบขโมยภายหลังก็ไม่ได้อีก เพราะห้องโปรเจ็คยังคงถูกล็อก ประตูถูกล็อกด้วยแม่กุญแจ หน้าต่างก็ถูกปิดจากภายใน ไม่มีทางที่จะเข้าไปข้างในแล้วขโมยได้เลย
แต่อย่างไรก็ตาม คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเหล่านั้นก็ถูกขโมยไปแล้ว
ช่วงเวลาที่คอมพิวเตอร์หายไปนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลากลางคืน เพราะเรวัตปิดห้องตั้งแต่สี่โมงเย็น แถมหลังจากนั้นตอนห้าโมงครึ่ง รปภ.ก็ใช้กุญแจเปิดห้องเข้าไปดูอีกครั้ง ก็ยังพบคอมพิวเตอร์อยู่ในห้อง ไม่ได้หายไปไหน
นี่เป็นเหตุให้ยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนเอาไป
แม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะดูค่อนข้างใหญ่ในคณะสัตวแพทยศาสตร์นี้ แต่นักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยก็ไม่มีผู้ใดรับรู้ อาจเป็นเพราะคณะนี้คนน้อยก็เป็นได้ ข่าวจึงไม่รั่วไหลออกไปไหน
ตอนนี้มีเพียงนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ยืนมุงดูการตัดสินใจของตำรวจว่าผลจริง ๆ เป็นเช่นไร ที่บริเวณภายในอาคารที่ห้องเจ้าปัญหาอยู่นั้น
ผู้หมวดตำรวจ ผู้เป็นคนรับผิดชอบคดีนี้พูดซักถามกับเรวัตว่า
“เธอแน่ใจใช่มั้ยว่า เธอไม่ได้เป็นคนขโมยคอมพิวเตอร์ไป?”
“ครับ” เรวัตยืนยัน แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
นายตำรวจหันมองหน้าหนุ่มนักศึกษาคณะสัตวแพทย์พูดขึ้นต่อ “แต่เธอก็เป็นคนใช้ห้องนั่นนี่...”
“ใช่ครับ ผมใช้ห้องนั้น แต่ผมก็ไม่ได้เป็นคนขโมยไป ตอนผมปิดห้อง พี่ รปภ.ก็เห็นว่าคอมพิวเตอร์ก็ยังอยู่ ผมจะเอาไปตอนไหนได้ ...แถมผมก็ไม่มีกุญแจ เพราะคืนให้ รปภ.ไปแล้วด้วย”
“งั้นเหรอ..” นายตำรวจครุ่นคิด “แต่เธอก็สามารถเอากุญแจนั้นไปปั้มก็ได้นี่”
“ไม่ได้หรอกครับ” เรวัตปฏิเสธทันที “ผมจะเอาเวลาไหนไปปั้มกุญแจได้ล่ะ ไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกครับ ต้องทำงานอีกเยอะแยะ แถมถ้าผมออกไปไหน ออกไปข้างนอก ผมก็ต้องฝากกุญแจกับพี่ รปภ. เพราะมันเป็นกฎ ...แล้วผมจะไปปั้มกุญแจได้ไง”
ผู้หมวดตำรวจนิ่ง จ้องตาเขา “อืม... มันก็ถูก แต่ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครล่ะ?”
“ไม่รู้สิครับ” เรวัตส่ายหน้า “ผมไม่มีกุญแจ ใครมีกุญแจก็น่าจะเป็นคนนั้นมากกว่า”
“รปภ. หรือ?” คราวนี้ผู้หมวดหันไปถาม รปภ.วัยกลางคนที่อยู่ที่นี่ด้วย “ตกลงใช่คุณหรือเปล่า คุณ รปภ.วิชิต?”
รปภ.วัยกลางคนคนนั้นมีชื่อว่า วิชิต
“ไม่ครับ ผมไม่ได้เอาไปแน่นอน ขืนผมเอาไป ยังไงก็จับได้ เพราะลูกกุญแจอยู่ที่ผมคนเดียว”
“อืม..มันก็ใช่” นายตำรวจจ้องมองหน้า รปภ.ในเครื่องแบบ “แต่ถ้านายเรวัตบอกไม่ได้เอาไป คุณก็บอกว่าไม่ได้เอาไป ตกลงเป็นใครกันแน่ที่เอาไป”
“เรื่องนี้ผมมีคำตอบครับ”
มีเสียงดังขึ้นมาจากกลุ่มนักศึกษาที่มุงดูการทำงานของตำรวจ
ผู้พูดเป็นนักศึกษาหนุ่มผมตั้งคนหนึ่ง
เมื่อมีคนพูดแทรกขึ้นมา นายตำรวจรวมทั้งผู้ต้องสงสัยทั้งสองจึงหันขวับไปทางต้นเสียงนั้นทันที
นักศึกษาคนนั้นพูดขึ้นต่อด้วยสีหน้ามั่นใจ “ผมปลายครับ ผมจะช่วยตำรวจไขคดีนี้เอง”
“ปลายไหน?” นายตำรวจยังสงสัย เพราะไม่รู้จักนักศึกษาผู้นี้
แต่ทว่าก็มีคนรู้จักนั่นคือ นายเรวัต เขาพูดขึ้นว่า “ปลาย... นักศึกษานักสืบที่สืบคดีที่มหา’ลัยบ่อย ๆ ใช่มั้ยล่ะ?”
ที่แท้แล้วเขาก็คือ ปลายนั่นเอง แต่ว่าเขามาที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ทำไมกัน เขาเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรือ?
ในที่นี้ก็ใช่ว่ามีแค่ปลายเท่านั้นที่มีท่าทีสนใจเรื่องที่เกิดขึ้น ยังมีนักศึกษาอีกหลายคนที่สนอกสนใจเหมือนกัน พวกเขายืนมุงดูอยู่ไม่ห่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่หนุ่มสาวนักศึกษาที่ตั้งใจฟังการสอบสวนอย่างละเอียดไม่แพ้ปลายเลยทีเดียว
“อือ.. เธอคือ ปลายที่สารวัตรสรวุทธพูดบ่อย ๆ สินะ เห็นว่ามีฝีมือทีเดียว งั้นก็มาช่วยฉันละกัน” ผู้หมวดพูดขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะพอรู้จักปลายบ้าง เพราะเขาเองก็อยู่สถานีเดียวกับสารวัตรสรวุทธ จึงเคยได้ยินสารวัตรสรวุทธพูดถึงเป็นธรรมดา
“คะ..ครับ” ปลายนิ่ง แล้วพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม
ดังนั้น ปลายจึงเข้ามาร่วมวงสืบสวนครั้งนี้ด้วย ดูท่าคดีนี้จะเป็นอีกคดีที่หนุ่มผมตั้งคลี่คลายได้อีกแน่
“เธอคิดว่ายังไง ใครเป็นคนเอาไป” นายตำรวจถามปลายทันที
ปลายมองหน้าผู้เป็นตำรวจ คลี่ยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้มันก็ง่าย ๆ ครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“อะไร! เธอว่ายังไงนะ!”
“ก็คดีนี้ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่ครับ เรื่องมันตรง ๆ เลย” ปลายพูดตอบหน้าตาย
“งั้นเหรอ...” นายตำรวจทำหน้าสงสัย
“ครับ” ปลายพยักหน้ารับ “แต่..ผมว่าให้อธิบายตรงนี้มันคงจะอธิบายได้ไม่ดีแน่ เราไปดูห้องโปรเจ็คนั้นเลยดีกว่าครับ”
“อืม.. ก็ดี” นายตำรวจก็ผงกศีรษะรับ ท่าทางจะเห็นด้วย
ปลายจึงเดินนำผู้หมวดตำรวจไปที่หน้าห้องโปรเจ็ค ซึ่ง รปภ.วิชิตและนายเรวัตก็ถูกคุมตัวมาอยู่ที่นี่เช่นกัน
แต่ไม่เพียงเท่านั้น หนุ่มสาวนักศึกษาคู่นั้นรวมทั้งนักศึกษาคนอื่นก็เดินตามมาด้วย เพราะทางตำรวจก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร
ตอนนี้ทั้งหมดจึงยืนรวมที่หน้าห้องโปรเจ็ค เพื่อรอดูการไขคดีของปลาย
ปลายสูดหายใจเข้าเล็กน้อย หันมองหน้านายเรวัตและ รปภ.วิชิต แล้วค่อยพูดขึ้นมา
“เรื่องนี้ไม่มีอะไรมากหรอกครับ คุณตำรวจจะเห็นได้ว่าห้องโปรเจ็คนี้ไม่มีทางเข้าออกทางไหนเลย หน้าต่างก็ถูกปิดไว้ตลอด ดังนั้น ทางที่จะเข้าไปข้างในได้จึงมีเพียงประตูห้องนี้เท่านั้น”
หนุ่มผมตั้งชี้ไปยังประตูห้องนั้น ซึ่งตอนนี้ถูกล็อกด้วยแม่กุญแจใหญ่ ทำให้เข้าไปข้างในไม่ได้
“เมื่อมีทางเข้าออกเพียงแค่ประตูอย่างเดียว ก็แสดงว่าหัวขโมยต้องผ่านเข้าออกทางประตูนี้เท่านั้น ซึ่งพอมาดูประตูจะเห็นได้ว่าถูกล็อกด้วยแม่กุญแจ ผู้ต้องสงสัยจึงน่าจะเป็นคนที่มีลูกกุญแจที่ไขแม่กุญแจนี้”
พอปลายว่าแล้วเขาก็ขอลูกกุญแจนั้นจาก รปภ.วิชิต ยกชูให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ดู
แน่นอนว่าทุกคนย่อมเห็นลูกกุญแจนี้ ซึ่งลูกกุญแจนี้มีลักษณะเป็นเช่นลูกกุญแจปกติ เพียงแต่มีเมจิกเขียนหมายเลขห้องอยู่ที่ตัวลูกกุญแจเท่านั้น
ปลายหันมองนายเรวัตและ รปภ.วิชิต แล้วพูดขึ้นต่อ “ผู้ใช้ลูกกุญแจนี้ก็มีแต่เรวัตกับ รปภ.วิชิตเท่านั้น เมื่อลองคิดดู เรวัตไม่มีทางทำได้หรอกครับ เพราะคอมพ์หายไปตอนกลางคืน เขาไม่มีกุญแจ เนื่องจากคืน รปภ.วิชิตไปแล้ว ดังนั้นผู้ต้องสงสัยที่สุดก็คือ รปภ.วิชิต เท่านั้น!”
สิ้นคำทุกคนหันขวับไปมองที่ รปภ.วิชิตเป็นตาเดียว
“ไม่ใช่นะครับ! ผมไม่ได้ขโมยไป!” รปภ.วิชิตปฏิเสธขึ้นทันที
“ไม่หรอกครับ มันต้องเป็นคุณเท่านั้น” ปลายยังยืนยันคำเดิม แล้วหันไปบอกนายตำรวจว่า “คุณตำรวจครับ จับ รปภ.วิชิตไปเลย ยังไงคดีนี้ไม่มีทางเป็นใครไปได้หรอก ผู้มีโอกาสมีแต่เขาเท่านั้น”
“อืม...” นายตำรวจผู้หมวดพยักหน้า แล้วหันไปสั่งลูกน้องเข้ากุมตัว รปภ.วิชิตทันที
“ไม่นะ! ไม่ใช่ผม! ผมไม่ได้ขโมยไปจริง ๆ” รปภ.วิชิตยังคงปฏิเสธไม่เลิก แต่ถึงเขาจะปฏิเสธปานใด ตำรวจก็ยังจับกุมอย่างไม่สนใจ
ดูเหมือนว่าคดีคอมพิวเตอร์หายที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ใกล้จะจบลงแล้ว ผู้ขโมยคงเป็น รปภ.วัยกลางคนผู้นี้แน่
(อ่านต่อ "บทเฉลย"ครับ)