กลัวเพิ่มทุนไปซื้อ เทสโก้ โลตัส CPALL BJC ดิ่ง หายหมื่นล้าน / โดย ลงทุนแมน

กระทู้คำถาม
.......................   รู้หรือไม่ว่า เรื่องนี้อาจมีพลิกล็อก ไม่เป็นอย่างที่นักลงทุนกังวล
ต่อเนื่องมาจากข่าวใหญ่จาก Bloomberg สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา..
กิจการ เทสโก้ โลตัส กำลังจะถูกประมูลโดย 3 เครือธุรกิจยักษ์ใหญ่
1.ซีพี ของตระกูลเจียรวนนท์
2.ทีซีซี ของตระกูลสิริวัฒนภักดี
3.เซ็นทรัล ของตระกูลจิราธิวัฒน์
ทั้งๆที่ เรื่องนี้น่าจะเป็นข่าวดีเพราะผู้ที่ ได้เทสโก้ โลตัส ไปจะกลายเป็นผู้ครองตลาดค้าปลีกในประเทศไทย แต่นักลงทุนกลับไม่ได้มองแบบนั้น
หลังปิดตลาดวันนี้..
หุ้นซีพีออลล์ (CPALL) เจ้าของเซเว่นอีเลฟเว่น -3.02%
คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 20,200 ล้านบาท
หุ้นเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เจ้าของบิ๊กซี -2.89%
คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 5,000 ล้านบาท
มูลค่าของทั้ง 2 บริษัทที่มีข่าวเกี่ยวเนื่องกับ การเข้าร่วมประมูลเทสโก้ โลตัส รวมกัน
หายไปกว่า 25,200 ล้านบาท ภายในวันเดียว
แล้วนักลงทุนกังวลอะไร?
จริงๆแล้วมันจะเป็นอย่างที่นักลงทุนกังวลหรือไม่?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เหตุผลหลักๆของเรื่องนี้ก็คือมูลค่ากิจการของ เทสโก้ โลตัส ที่มีแนวโน้มสูงถึง 2-3 แสนล้านบาท
ด้วยมูลค่าขนาดนี้ ถ้าดีลนี้เกิดขึ้นจริง จะทำให้การซื้อขายครั้งนี้เป็นครั้งที่ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ดังนั้นตลาดจึงเกิดความกังวลกันว่า ทางซีพีจะใช้บริษัทลูกนั่นก็คือ CPALL
และทาง ทีซีซีจะใช้บริษัทลูกนั่นก็คือ BJC มาเป็นเครื่องมือในการซื้อ เทสโก้ โลตัส ในครั้งนี้
 
แล้วทั้ง 2 บริษัทนี้ฐานะการเงินเป็นอย่างไร? มาดูกัน..
จากงบการเงินล่าสุดไตรมาสที่ 3 ปี 2562
CPALL มีเงินสดและรายการเทียเท่า 25,607 ล้านบาท
BJC มีเงินสดและรายการเทียบเท่า 3,623 ล้านบาท
ด้วยเงินสดที่มีอยู่คงบอกได้คำเดียวว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่
ผู้เข้าร่วมประมูลจะหาเงินมาซื้อกิจการโดยไม่ต้องกู้เพิ่ม หรือ เพิ่มทุน
และประเด็นมันอยู่ที่
ในอดีตทั้ง 2 บริษัทได้กู้เงินมหาศาล
เพื่อเข้าซื้อกิจการระดับแสนล้านไปแล้วคนละรอบ
6 ปีก่อน CPALL เข้าซื้อกิจการ MAKRO 180,000 ล้านบาท
3 ปีก่อน BJC เข้าซื้อกิจการ BIGC 200,000 ล้านบาท
โดยในตอนนั้นทั้ง 2 บริษัทนี้ก็ไม่ได้ใช้เงินสดซื้อ แต่เป็นการกู้เงินจากธนาคาร และออกหุ้นกู้ในภายหลัง
แล้วตอนนี้ทั้ง 2 บริษัทนี้มีหนี้เท่าไร?
อ้างอิงจากงบการเงิน ไตรมาสที่ 3 ปี 2562
CPALL มีหนี้ที่หักเจ้าหนี้การค้า 192,229 ล้านบาท
BJC มีหนี้ที่หักเจ้าหนี้การค้า 172,778 ล้านบาท
ซึ่งถ้านำหนี้จำนวนนี้ไปคิดเป็นอัตราส่วน
หนี้ต่อทุน หรือ Debt to Equity Ratio (D/E)
CPALL จะมีหนี้ต่อทุน 2.17 เท่า
BJC จะมีหนี้ต่อทุน 1.54 เท่า
วันนี้นักลงทุนจึงกังวลว่าหนี้ต่อทุนจะสูงขึ้นไปอีกถ้าบริษัทกู้เงินมาเพิ่มเติมเพื่อซื้อเทสโก้ โลตัส
 
ซึ่งการรักษาหนี้ต่อทุนให้เป็นอัตราส่วนเดิม ทั้ง 2 บริษัทนี้อาจต้องเพิ่มทุนเข้าบริษัทควบคู่กันไปด้วย
แต่รู้หรือไม่ว่า จริงๆแล้วอาจไม่ได้เป็นแบบนั้น..
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าให้มูลค่ากิจการเทสโก้ โลตัส 250,000 ล้านบาท
ถ้าจะให้ CPALL มีหนี้ต่อทุน 2.17 เท่า เท่าเดิม CPALL จะต้องใช้ทุนประมาณ 78,900 ล้านบาท และก่อหนี้อีกประมาณ 171,100 ล้านบาท
แต่จริงๆแล้ว การได้เทสโก้ โลตัส มา ก็จะทำให้ CPALL เป็นเจ้าของส่วนของทุนของเทสโก้ โลตัสด้วยโดยอัตโนมัติ
ซึ่งล่าสุด บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (เจ้าของ เทสโก้ โลตัส) มีส่วนทุน (ส่วนของผู้ถือหุ้น) อยู่ 97,579 ล้านบาท นั่นก็แปลว่า CPALL อาจกู้เพิ่มได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน โดยใช้ทุนของ เทสโก้ โลตัส มาช่วย
แล้ว BJC หล่ะ?
ถ้าจะให้ BJC มีหนี้ต่อทุน 1.54 เท่า เท่าเดิม BJC จะต้องใช้ทุนประมาณ 98,400 ล้านบาท และก่อหนี้อีกประมาณ 151,600 ล้านบาท นั่นก็แปลว่า BJC อาจกู้เพิ่มได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน โดยใช้ทุนของ เทสโก้ โลตัส มาช่วย ซึ่งจะขาดอยู่นิดหน่อยซึ่งไม่น่าเป็นประเด็นอะไร
อย่างไรก็ตาม เราต้องไปดูหนี้สินของบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ประกอบด้วยว่ามีเยอะหรือไม่ เพราะการได้ซื้อบริษัท ก็เท่ากับว่าต้องแบกหนี้บริษัทนี้ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อตรวจสอบพบว่า บริษัท เอก-ชัย มีหนี้สินไม่หมุนเวียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งคาดว่าหนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหนี้การค้า
ทั้งนี้การให้กู้เงินของธนาคาร ธนาคารคงไม่ได้ดูแต่อัตราหนี้สินต่อทุนเป็นหลัก แต่ธนาคารจะเน้นดูกระแสเงินสดของบริษัทที่กู้ว่ามีพอจ่ายหรือไม่ ซึ่งเรียกได้ว่า กิจการเทสโก้ โลตัส น่าจะมีกระแสเงินสดเพียงพอ มาจ่ายดอกเบี้ยธนาคาร ในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำขนาดนี้
และ ทีเด็ดก็คือบริษัทอาจไม่จำเป็นต้องไปกู้ธนาคาร แต่ออกหุ้นกู้ กู้กับประชาชนโดยตรงก็ยังได้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ล่าสุดของบริษัทที่มีเครดิตดีอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี ถ้ากู้เงิน 200,000 ล้านบาท จะมีภาระดอกเบี้ยประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งปี 2562 (งบปิดเดือนกุมภาพันธ์) บริษัท เอก-ชัย มีกำไร 7,800 ล้านบาท ก็น่าจะพอเอามาจ่ายดอกเบี้ยได้
สรุปแล้วที่นักลงทุนกังวลวันนี้ อาจจะแบ่งเป็นสองเรื่อง
1.นักลงทุนกังวลว่าบริษัทจะเพิ่มทุน ซึ่งประเด็นนี้จากข้อมูลที่กล่าวมา บริษัทอาจไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน โดยที่ยังรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนไว้ระดับเดิมได้
2.นักลงทุนกังวลหนี้มหาศาลของบริษัท ซึ่งจากตัวอย่างข้างต้น ทั้ง 2 บริษัท จะมีหนี้มากถึง 400,000 ล้านบาท เรียกได้ว่าจะกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มากเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย
 
ซึ่งถ้าดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็คงค่อยๆทยอยใช้เงินต้น หรือ สามารถเลี้ยงหนี้ไปเรื่อยๆได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ดอกเบี้ยขึ้น บริษัทก็อาจเจอปัญหาการ roll over หนี้ ที่ต้องกู้เงินก้อนใหม่ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเดิม
ไม่ว่าผลสุดท้ายใครจะได้ เทสโก้ โลตัส ไป
บอกได้เลยว่าดีลนี้จะเป็นดีลประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
และดีลนี้จะเปลี่ยนภาพของอุตสาหกรรมค้าปลีกของประเทศ
จากผู้เล่นที่รายใหญ่อยู่แล้ว อาจใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จนอาจมีคนร้องเรียนเรื่องกฎหมายการค้า
และจากคู่แข่งที่เคยสูสีกัน ก็อาจด้อยกว่าผู้นำอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คงต้องแลกกับความเสี่ยงเรื่องการก่อหนี้เพิ่มขึ้น
แต่สำหรับโลกทุนนิยมแล้ว
ถ้าอยากเป็นที่หนึ่ง
ก็คงต้องกล้าเสี่ยง
และในครั้งนี้
ก็น่าจะมีคนอยากเสี่ยง อยู่หลายคน..                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                            เครดิต ลงทุนแมน https://www.longtunman.com/20331
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่