'เทพีแห่งความตาย'
'ลุดมีลา ปัฟลีเชนโค' เกิดที่ยูเครนในปี 1916 เธอสมัครเข้าร่วมชมรมยิงปืน ฝีมือของลุดมีลาก้าวกระโดดจนได้เป็นนักกีฬาแม่นปืนประจำชมรม พออายุได้ 16 เธอแต่งงานกับสามีคนแรกและได้นามสกุล ‘ปัฟลิเชนโค’
.
ปี 1941 กองทัพเยอรมันบุกโซเวียต เธอเข้าร่วมกองทัพแดงเมื่ออายุ 24 ปี ได้รับมอบหมายให้เป็นพลแม่นปืน ซึ่ง 75 วันแรกที่ออกปฏิบัติภารกิจ เธอสังหารข้าศึกไปถึง 187 ราย หน่วยของลุดมีลาย้ายไปประจำการที่เซบาสโตโปลที่มีการสู้รบรุนแรง เธอได้รับบาดเจ็บ 4 ครั้ง ภายในปีครึ่งได้สังหารข้าศึกไป รวมทั้งหมด 309 ศพ ซึ่ง 36 ศพในจำนวนนี้คือ มือปืนซุ่มยิงฝ่ายข้าศึก จากนั้นสไนเปอร์สาวได้รับการเลื่อนยศเป็นนายสิบ จ่า ร้อยโท และพันตรี
เคล็ดลับของลุดมีลาคือ ยิงศัตรูให้ล้มก่อนหนึ่งคน เมื่อเพื่อนเข้ามาดูค่อยเด็ดหัวสังหารทีละคน โดยมีอาวุธคู่ใจคือ ปืนไรเฟิลกึ่งอัติโนมัติ Tokarev SVT-40 ติดลำกล้อง บรรจุกระสุน 10 นัด มีอัตรายิงเร็วกว่าปืนไรเฟิลทั่วไป เด็ดหัวศัตรูได้รวดเร็ว
ชื่อของปัฟลีเชนโคเป็นที่เลื่องลือในฐานะมือสังหารหญิงแห่งกองทัพแดง รัฐบาลโซเวียตจึงส่งมือแม่นปืนสาวไปเป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์สงครามให้ประเทศที่สหรัฐอเมริกา สื่ออเมริกันให้ความสนใจกับตัวเธอมาก หลังกลับมาเธอได้เป็นครูฝึกสอนพลซุ่มยิงหญิงของกองทัพ
หลังสงครามยุติ ลุดมีลากลับไปเรียนด้านประวัติศาสตร์ต่อที่กรุงเคียฟ และทำงานด้านวิชาการให้กองทัพเรือแทน ได้รับตำแหน่งเป็นสมาชิกสมัชชาทหารผ่านศึกโซเวียต ก่อนเสียชีวิตในปี 1974 ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก
.
(Cr. imdb.com/)
วีรกรรมของลุดมีลา ปัฟลีเชนโคที่เซบาสโตโปลถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ 'Battle for Sevastopol' และ 'Indestructible'
ขอบคุณที่มา สำนักพิมพ์ ยิปซี
Cr.
https://www.facebook.com/gypsygroup.co.ltd/photos/ลุดมีลา-ปัฟลีเชนโค-เจ้าของฉายา-เทพีแห่งความตาย-lady-death-สไนเปอร์หญิงแห่งกองทัพ/2368616509880574/
‘เจ้าแห่งพลซุ่มยิง’
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อาบู ทาห์ซิน อัล-ซาลี พลซุ่มยิงวัย 63 ปี ซึ่งเข้าร่วมสงครามต่างๆ ในประเทศอิรักมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 รวมทั้งศึกกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอซิส) ในยุคปัจจุบัน และอ้างว่าสามารถดับชีพนักรบไอซิสไปได้ถึง 320 ราย ถูกสังหารแล้วระหว่างปฏิบัติการยึดคืนเมืองฮาวิจา เมื่อวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560
นายอาหมัด อัล-อัสซาดี โฆษกของกลุ่มพันธมิตรนักรบติดอาวุธชีอะห์ ‘ฮาเชด อัล-ชาบี’ ซึ่งเป็นหน่วยที่นายอัล-ซาลี สังกัดอยู่ เปิดเผยในวันเสาร์ว่า เขาถูกสังหารระหว่างที่เขากำลังรุกคืบเข้าไปในเมืองฮาวิจา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิรัก
พิธีศพของนายอัล-ซาลีจัดขึ้นในวันเสาร์ที่เมืองท่า บาสรา ทางใต้ของประเทศ โดยเพื่อนสนิทของเขาเปิดเผยกับสื่อว่า อัล-ซาลีเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหน่วยของเขาในฉายา ‘เจ้าแห่งพลซุ่มยิง’ (sheikh of snipers) และ ‘ตาเหยี่ยว’ มีปืนไรเฟิล ‘ชไตเออร์’ ซึ่งผลิตในประเทศออสเตรียเป็นอาวุธคู่ใจ
ทั้งนี้ นายอัล-ซาลีเคยเล่าว่า อาชีพพลซุ่มยิงของเขาเริ่มต้นขึ้นในปี 2516 เมื่อเขาเข้าร่วมกับกองทัพอิรักต่อสู้กับกองทัพซีเรีย ณ ที่ราบสูงโกลัน นอกจากนี้เขายังเคยร่วมศึกที่กองทัพของ ซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำเผด็จการของอิรัก ทำสงครามกับอิหร่านช่วงปี 2523-2531, การบุกคูเวตในปี 2533 และการต่อสู้กับกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งโค่นล้มซัดดัมในปี 2546 ก่อนจะเข้าร่วมกับกองกำลังมุสลิมชีอะห์ ต่อสู้กับกลุ่มไอซิส ที่บุกยึดครองพื้นที่หลายส่วนของอิรักในปี 2557.
ขอบคุณภาพจาก WanaleeHunter
ขอบคุณที่มา:
https://www.ndtv.com/world-news/anti-isis-sheikh-sniper-killed-in-battle-for-iraqs-hawija-1757185
Cr.
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1086150
‘ยมทูตสีขาว’
Simo Häyhä ชาวฟินแลนด์ที่มีความสูงเพียงแค่ 152 เซนติเมตรเท่านั้น เขาเกิดในวันที่ 17 ธันวาคม ปี 1905 และได้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารสำหรับประเทศฟินแลนด์ ที่ในตอนนั้นกำลังสู้รบกับสหภาพโซเวียต ในช่วงระหว่างปี 1939-1940 ในสงครามที่ชื่อว่า ‘สงครามฤดูหนาว’ โดยจำนวนผู้คนที่เขาฆ่าไปทั้งหมดระหว่างสงครามนี้มีถึง 505 คน
ทำให้สหภาพโซเวียตตั้งฉายาให้เขาว่า ‘มัจจุราชสีขาว’ เนื่องจากเขามักจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้หิมะได้อย่างแนบเนียน ทำให้ไม่มีใครสามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนของเขาได้
ก่อนจะมาเป็นพลซุ่มยิง Simo เป็นชาวนา แต่ด้วยความที่เขามีทักษะในการใช้สกีหิมะ การล่าและการยิงที่แม่นยำที่มาจากงานอดิเรกของเขา ทำให้เขาเป็นมือสไนเปอร์ที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งในโลก
ระหว่างที่สงครามกำลังลุกโชน มัจจุราชสีขาวได้ฆ่าทหารรัสเซียหลายคนด้วยความแม่นยำจากการใช้ปืน M/28-30 ยิงในระยะไกลถึง 275 เมตร โดยไม่ใช้สโคปช่วยแต่อย่างใด หลังจาก 98 วันที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในสมรภูมิรบ ก็มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับ Simo โดยเขาถูกยิงเข้าที่ขากรรไกรในวันที่ 6 มีนาคม 1940 การถูกยิงครั้งนั้นทำให้เขาสลบไปถึง 6 วันและต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์
มัจจุราชสีขาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สงครามยุติลงเนื่องจากมีการเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพมอสโก จึงเป็นที่สิ้นสุดของสงครามฤดูหนาวที่ยาวนานถึง 105 วัน และผลจากสนธิสัญญาในครั้งนั้นทำให้ประเทศฟินแลนด์ต้องยกพื้นที่ Karelia ตะวันตกให้แก่ประเทศรัสเซียเพื่อใช้เป็นฐานทัพเรือนั่นเอง
Simo รอดจากการเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ และมีชีวิตที่ยืนยาวถึงในวัย 96 ปี เขาเสียชีวิตในบ้านทหารผ่านศึกในเมือง Hamina ประเทศฟินแลนด์ และนั่นได้ปิดตำนานมัจจุราชสีขาว มือสไนเปอร์ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับชาวรัสเซียลง
ขอบคุณที่มา: ladbible
Cr.
https://www.catdumb.com/deadliest-sniper-in-history/
“ปีศาจแห่งป่าไทก้า”
เซเมี่ยน ดานิโลวิช โนโมโคนอฟ (Semyon Danilovich Nomokonov) เกิดวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1900 ในหมู่บ้านเดลยูน (Delyun Village) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขต สเตรเทนสกี้ (Sretensky) ภูมิภาค ทรานส์-ไบคาล (Trans-Baikal)
เขาคือลูกหลานของชนเผ่า เอเวงค์ (Evenk) หรือ เอเวงกิ (Ewenki) เป็นหนึ่งในชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตุงกูซิก (Tungusic) อันเป็นภาษาที่ใช้พูดในไซบีเรียตะวันออกและแมนจูเรีย เขาเติบโตขึ้นมาและเรียนรู้วิถีแห่งนักล่าของชนเผ่าพื้นเมือง เขาติดตามพ่อออกไปล่าสัตว์และเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตในป่าจนกระทั่งเขาอายุ 7 ขวบ พ่อจึงสอนวิธียิงปืนให้แก่เขา
เขาแสดงฝีมือการยิงปืน โดยทุกนัดที่ยิงออกไปเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ โดยไร้ซึ่งกล้องเล็งหรือเครื่องช่วยในการเล็งเป้าใด ๆ จนทุกคนพร้อมใจกันตั้งฉายาให้เขาว่า “เจ้าตาเหยี่ยว”
สงครามครั้งแรกในชีวิตของโนโมโคนอฟคือ สงครามโซเวียต-ญี่ปุ่น (สงครามความคัดแย้งปัญหาพรมแดน เมื่อ ค.ศ. 1932-1939) เขาถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบในการรบบริเวณพรมแดนโซเวียต-ญี่ปุ่น เขาสำแดงฝีมือการยิงปืนให้เพื่อนทหารได้เห็นเป็นขวัญตา ทุกนัดที่เขายิงออกไปจะต้องปลิดชีพข้าศึกหนึ่งคนเสมอ กระสุนทุกนัดในตับกระสุนปืนแบบโมซิน นากองท์ (Mosin Nagant Rifle) ปืนเล็กยาวประจำกาย
มีครั้งหนึ่งที่เขาจำต้องซุ่มยิงที่ระยะ 1,000 เมตร เขาพรางตนเองด้วยการสวมชุดล่าสัตว์พื้นเมืองคล้ายกับชุดกิลลี่ที่พรานและพลซุ่มยิงสวมใส่ในยุคปัจจุบัน เขาสวมรองเท้าที่ทำจากผมม้าซึ่งมันช่วยให้เขาเหยียบย่ำลงไปบนผืนดินหรือในภูมิประเทศต่าง ๆ โดยแทบจะไร้เสียง และอีกหนึ่งสิ่งที่แปลกมากในวิธีการซุ่มยิงของโนโมโคนอฟก็คือ เขาจะพกพากระจกและใช้มันเพื่อสะท้อนแสง
นี่อาจจะเป็นวิธีที่สวนทางกับการซุ่มยิงทั้งหมดทั้งมวล เพราะพลซุ่มยิงมักจะหลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่มีพื้นผิวโลหะหรือสิ่งที่สามารถสะท้อนแสงได้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่ว่าแสงสะท้อนจะทำให้เผยตำแหน่งที่ซ่อนของตนเองได้ แต่สำหรับโนโมโคนอฟ เขาสามารถฉกฉวยจังหวะที่ข้าศึกคิดว่ามองเห็นเขาแล้วและกำลังจะเล็งยิงใส่ โนโมโคนอฟใช้วินาทีอันน้อยนิดนี้ในการหลอกล่อให้ข้าศึกเผยตำแหน่งตนเองและยิงใส่ข้าศึกก่อนที่ข้าศึกจะมีโอกาสลั่นไก
ฝีมือการยิงปืนของเขายังช่วยชีวิตเพื่อนทหารในหน่วยเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง เขาได้เลื่อนยศเป็นจ่าและทำหน้าที่เป็นครูฝึกพลซุ่มยิงอีกด้วย ชื่อเสียงของจ่าโนโมโคนอฟเลื่องลือในหมู่ทหารโซเวียต หนังสือพิมพ์ของกองทัพแดงตีพิมพ์ภาพของเขากับปืนซุ่มยิงคู่ใจ โดยฝ่ายเยอรมันเรียกเขาว่า “ไทก้า ชามาน” (Taiga Shaman) หมายถึง “ปีศาจแห่งป่าไทก้า”
เขาได้รับเหรียญกล้าหาญมากมายรวมทั้งเหรียญอิสริยาภรณ์เลนิน (Order of Lenin) อันเป็นเหรียญกล้าหาญสูงสุดของทหารโซเวียต โนโมโคนอฟลาโลกนี้ไปอย่างสงบในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1973 ด้วยวัย 73 ปี
ขอบคุณที่มา สงครามโลก ฉบับแฟนพันธุ์แท้ / War History with Teacher Panyanat
Cr.
https://zh-cn.facebook.com/WorldWarFanPanTae/posts/2302500506498501
"White Feather"
จ่าเอก คาร์ลอส แฮธค็อกซ์ (Carlos Hatchcock) เป็นพลซุ่มยิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเวียดนาม ปี 1965 ได้รับการขนานนามว่า "ลองจาง" แปลว่า "ขนนกขาว" และทหารอเมริกันก็เรียกเขาว่า "White Feather"
เขาสังหารเวียดกงที่ยืนยันแล้ว 92 ศพ (การสังหารที่ได้รับการยืนยัน จะต้องมีนายทหาร รวมถึงทหารชั้นประทวนรับรอง 2 คนขึ้นไป และต้องพิสูจน์ศพที่ถูกยิงนั้นแล้ว หมายความว่า ถ้าคุณยิงเวียดกงตายในฝั่งตรงข้าม 1 คน คุณต้องพานายทหารไปเพื่อไปดูศพและยืนยัน โดยหวังว่าเวียดกงอีกกว่า 200 คนไม่ได้อยู่ตรงนั้น)
คาร์ลอส แฮธค๊อกซ์ อาจจะนับได้ว่าเป็นสไนเปอร์คนแรกของโลกที่ใช้ปืนที่มีกระสุนขนาด .50 นิ้ว จากปืนกลหนัก Browning M2 Machine Gun ติดกล้องเล็งซึ่งสามารถสังหารทหารเวียดนามเหนือได้ถึง 2 คน จากระยะการยิง 2,500 หลา ในปี 1967
ก่อนจะถูกทำลายสถิติลงในปี 2002 โดยพลซุ่มยิงชาวแคนาดา สิบโท แอรอน เพอร์รี่ ที่ทำการยิงในอัฟกานิสถาน ซึ่งหลังจากสงครามเวียดนามจบลงความนิยมในการใช้ปืนกลหนัก M2 ติดกล้องเล็งก็น้อยลง จนกระทั่งปี 1980 จึงมีการพัฒนาปืนไรเฟิลซุ่มยิงที่ใช้กระสุนขนาด .50 นิ้ว ออกแบบโดนรอนนี่ แบเร็ต คือปืนรุ่น Barrett M82
ภารกิจที่ทำให้ชายผู้ยิงปืนแม่นคนนี้ก้าวเข้าสู่ความเป็นพลซุ่มยิงที่ไม่มี ใครเทียมอย่างเต็มภาคภูมิก็คือ ภารกิจที่เหล่าบรรดากองร้อยสไนเปอร์ของเวียดกงและเวียดนามเหนือ ต่างออกไล่ล่าเขาตามประกาศค่าหัว "ถ้าใครสามารถเด็ดขนนกสีขาวลงจากหัวของเขาได้ คนๆ นั้นจะได้รับเงินค่าหัว 30,000 ดอลลาร์"
วันหนึ่ง รถสายพานที่เขานั่งเหยียบกับระเบิดจนไฟลุก คาร์ลอสวิ่งเข้าไปช่วยเหลือทหารซึ่งติดอยู่ด้านในเปลวเพลิงได้ถึง7คน และเขาบาดเจ็บสาหัส
จากความกล้าหาญครั้งนี้ เขาได้รับเหรียญกล้าหาญ "ซิลเวอร์สตาร์" คาร์ลอสเสียชีวิตในปี 1999 ด้วยอาการเส้นโลหิตตีบตัน
ก่อนหน้านั้น คาร์ลอสได้ผันตัวเองไปเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนพลแม่นปืนของนาวิกโยธิน และเป็นผู้ปรับปรุงหลักสูตรพลแม่นปืนของหน่วยนาวิกโยธินอเมริกันให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้นอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน จากคุณความดีต่างๆที่ "คาร์ลอส" อุทิศให้กับหน่วยแม่นปืน จึงทำให้มีการตั้งชื่อปืนไรเฟิลซุ่มยิงรุ่น "M-25" ที่พัฒนาขึ้นมาในยุค 80 สำหรับหน่วยรบพิเศษและเนวีซีลว่า "White Feather" โดยชื่อนี้มีที่มาจากการที่เขาชอบเอาขนนกสีขาวมาติดที่หมวก นั่นเอง
ขอบคุณที่มา โดย Unknown
Cr.
http://thaisubdocumentary.blogspot.com/2015/05/blog-post_24.html
ฉายาตำนานพลซุ่มยิงในสงคราม
'ลุดมีลา ปัฟลีเชนโค' เกิดที่ยูเครนในปี 1916 เธอสมัครเข้าร่วมชมรมยิงปืน ฝีมือของลุดมีลาก้าวกระโดดจนได้เป็นนักกีฬาแม่นปืนประจำชมรม พออายุได้ 16 เธอแต่งงานกับสามีคนแรกและได้นามสกุล ‘ปัฟลิเชนโค’
.
ปี 1941 กองทัพเยอรมันบุกโซเวียต เธอเข้าร่วมกองทัพแดงเมื่ออายุ 24 ปี ได้รับมอบหมายให้เป็นพลแม่นปืน ซึ่ง 75 วันแรกที่ออกปฏิบัติภารกิจ เธอสังหารข้าศึกไปถึง 187 ราย หน่วยของลุดมีลาย้ายไปประจำการที่เซบาสโตโปลที่มีการสู้รบรุนแรง เธอได้รับบาดเจ็บ 4 ครั้ง ภายในปีครึ่งได้สังหารข้าศึกไป รวมทั้งหมด 309 ศพ ซึ่ง 36 ศพในจำนวนนี้คือ มือปืนซุ่มยิงฝ่ายข้าศึก จากนั้นสไนเปอร์สาวได้รับการเลื่อนยศเป็นนายสิบ จ่า ร้อยโท และพันตรี
เคล็ดลับของลุดมีลาคือ ยิงศัตรูให้ล้มก่อนหนึ่งคน เมื่อเพื่อนเข้ามาดูค่อยเด็ดหัวสังหารทีละคน โดยมีอาวุธคู่ใจคือ ปืนไรเฟิลกึ่งอัติโนมัติ Tokarev SVT-40 ติดลำกล้อง บรรจุกระสุน 10 นัด มีอัตรายิงเร็วกว่าปืนไรเฟิลทั่วไป เด็ดหัวศัตรูได้รวดเร็ว
ชื่อของปัฟลีเชนโคเป็นที่เลื่องลือในฐานะมือสังหารหญิงแห่งกองทัพแดง รัฐบาลโซเวียตจึงส่งมือแม่นปืนสาวไปเป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์สงครามให้ประเทศที่สหรัฐอเมริกา สื่ออเมริกันให้ความสนใจกับตัวเธอมาก หลังกลับมาเธอได้เป็นครูฝึกสอนพลซุ่มยิงหญิงของกองทัพ
หลังสงครามยุติ ลุดมีลากลับไปเรียนด้านประวัติศาสตร์ต่อที่กรุงเคียฟ และทำงานด้านวิชาการให้กองทัพเรือแทน ได้รับตำแหน่งเป็นสมาชิกสมัชชาทหารผ่านศึกโซเวียต ก่อนเสียชีวิตในปี 1974 ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก
.
(Cr. imdb.com/)
วีรกรรมของลุดมีลา ปัฟลีเชนโคที่เซบาสโตโปลถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ 'Battle for Sevastopol' และ 'Indestructible'
ขอบคุณที่มา สำนักพิมพ์ ยิปซี
Cr.https://www.facebook.com/gypsygroup.co.ltd/photos/ลุดมีลา-ปัฟลีเชนโค-เจ้าของฉายา-เทพีแห่งความตาย-lady-death-สไนเปอร์หญิงแห่งกองทัพ/2368616509880574/
‘เจ้าแห่งพลซุ่มยิง’
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อาบู ทาห์ซิน อัล-ซาลี พลซุ่มยิงวัย 63 ปี ซึ่งเข้าร่วมสงครามต่างๆ ในประเทศอิรักมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 รวมทั้งศึกกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอซิส) ในยุคปัจจุบัน และอ้างว่าสามารถดับชีพนักรบไอซิสไปได้ถึง 320 ราย ถูกสังหารแล้วระหว่างปฏิบัติการยึดคืนเมืองฮาวิจา เมื่อวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560
นายอาหมัด อัล-อัสซาดี โฆษกของกลุ่มพันธมิตรนักรบติดอาวุธชีอะห์ ‘ฮาเชด อัล-ชาบี’ ซึ่งเป็นหน่วยที่นายอัล-ซาลี สังกัดอยู่ เปิดเผยในวันเสาร์ว่า เขาถูกสังหารระหว่างที่เขากำลังรุกคืบเข้าไปในเมืองฮาวิจา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิรัก
พิธีศพของนายอัล-ซาลีจัดขึ้นในวันเสาร์ที่เมืองท่า บาสรา ทางใต้ของประเทศ โดยเพื่อนสนิทของเขาเปิดเผยกับสื่อว่า อัล-ซาลีเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหน่วยของเขาในฉายา ‘เจ้าแห่งพลซุ่มยิง’ (sheikh of snipers) และ ‘ตาเหยี่ยว’ มีปืนไรเฟิล ‘ชไตเออร์’ ซึ่งผลิตในประเทศออสเตรียเป็นอาวุธคู่ใจ
ทั้งนี้ นายอัล-ซาลีเคยเล่าว่า อาชีพพลซุ่มยิงของเขาเริ่มต้นขึ้นในปี 2516 เมื่อเขาเข้าร่วมกับกองทัพอิรักต่อสู้กับกองทัพซีเรีย ณ ที่ราบสูงโกลัน นอกจากนี้เขายังเคยร่วมศึกที่กองทัพของ ซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำเผด็จการของอิรัก ทำสงครามกับอิหร่านช่วงปี 2523-2531, การบุกคูเวตในปี 2533 และการต่อสู้กับกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งโค่นล้มซัดดัมในปี 2546 ก่อนจะเข้าร่วมกับกองกำลังมุสลิมชีอะห์ ต่อสู้กับกลุ่มไอซิส ที่บุกยึดครองพื้นที่หลายส่วนของอิรักในปี 2557.
ขอบคุณภาพจาก WanaleeHunter
ขอบคุณที่มา: https://www.ndtv.com/world-news/anti-isis-sheikh-sniper-killed-in-battle-for-iraqs-hawija-1757185
Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1086150
‘ยมทูตสีขาว’
Simo Häyhä ชาวฟินแลนด์ที่มีความสูงเพียงแค่ 152 เซนติเมตรเท่านั้น เขาเกิดในวันที่ 17 ธันวาคม ปี 1905 และได้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารสำหรับประเทศฟินแลนด์ ที่ในตอนนั้นกำลังสู้รบกับสหภาพโซเวียต ในช่วงระหว่างปี 1939-1940 ในสงครามที่ชื่อว่า ‘สงครามฤดูหนาว’ โดยจำนวนผู้คนที่เขาฆ่าไปทั้งหมดระหว่างสงครามนี้มีถึง 505 คน
ทำให้สหภาพโซเวียตตั้งฉายาให้เขาว่า ‘มัจจุราชสีขาว’ เนื่องจากเขามักจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้หิมะได้อย่างแนบเนียน ทำให้ไม่มีใครสามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนของเขาได้
ก่อนจะมาเป็นพลซุ่มยิง Simo เป็นชาวนา แต่ด้วยความที่เขามีทักษะในการใช้สกีหิมะ การล่าและการยิงที่แม่นยำที่มาจากงานอดิเรกของเขา ทำให้เขาเป็นมือสไนเปอร์ที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งในโลก
ระหว่างที่สงครามกำลังลุกโชน มัจจุราชสีขาวได้ฆ่าทหารรัสเซียหลายคนด้วยความแม่นยำจากการใช้ปืน M/28-30 ยิงในระยะไกลถึง 275 เมตร โดยไม่ใช้สโคปช่วยแต่อย่างใด หลังจาก 98 วันที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในสมรภูมิรบ ก็มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับ Simo โดยเขาถูกยิงเข้าที่ขากรรไกรในวันที่ 6 มีนาคม 1940 การถูกยิงครั้งนั้นทำให้เขาสลบไปถึง 6 วันและต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์
มัจจุราชสีขาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สงครามยุติลงเนื่องจากมีการเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพมอสโก จึงเป็นที่สิ้นสุดของสงครามฤดูหนาวที่ยาวนานถึง 105 วัน และผลจากสนธิสัญญาในครั้งนั้นทำให้ประเทศฟินแลนด์ต้องยกพื้นที่ Karelia ตะวันตกให้แก่ประเทศรัสเซียเพื่อใช้เป็นฐานทัพเรือนั่นเอง
Simo รอดจากการเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ และมีชีวิตที่ยืนยาวถึงในวัย 96 ปี เขาเสียชีวิตในบ้านทหารผ่านศึกในเมือง Hamina ประเทศฟินแลนด์ และนั่นได้ปิดตำนานมัจจุราชสีขาว มือสไนเปอร์ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับชาวรัสเซียลง
ขอบคุณที่มา: ladbible
Cr.https://www.catdumb.com/deadliest-sniper-in-history/
“ปีศาจแห่งป่าไทก้า”
เซเมี่ยน ดานิโลวิช โนโมโคนอฟ (Semyon Danilovich Nomokonov) เกิดวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1900 ในหมู่บ้านเดลยูน (Delyun Village) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขต สเตรเทนสกี้ (Sretensky) ภูมิภาค ทรานส์-ไบคาล (Trans-Baikal)
เขาคือลูกหลานของชนเผ่า เอเวงค์ (Evenk) หรือ เอเวงกิ (Ewenki) เป็นหนึ่งในชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตุงกูซิก (Tungusic) อันเป็นภาษาที่ใช้พูดในไซบีเรียตะวันออกและแมนจูเรีย เขาเติบโตขึ้นมาและเรียนรู้วิถีแห่งนักล่าของชนเผ่าพื้นเมือง เขาติดตามพ่อออกไปล่าสัตว์และเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตในป่าจนกระทั่งเขาอายุ 7 ขวบ พ่อจึงสอนวิธียิงปืนให้แก่เขา
เขาแสดงฝีมือการยิงปืน โดยทุกนัดที่ยิงออกไปเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ โดยไร้ซึ่งกล้องเล็งหรือเครื่องช่วยในการเล็งเป้าใด ๆ จนทุกคนพร้อมใจกันตั้งฉายาให้เขาว่า “เจ้าตาเหยี่ยว”
สงครามครั้งแรกในชีวิตของโนโมโคนอฟคือ สงครามโซเวียต-ญี่ปุ่น (สงครามความคัดแย้งปัญหาพรมแดน เมื่อ ค.ศ. 1932-1939) เขาถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบในการรบบริเวณพรมแดนโซเวียต-ญี่ปุ่น เขาสำแดงฝีมือการยิงปืนให้เพื่อนทหารได้เห็นเป็นขวัญตา ทุกนัดที่เขายิงออกไปจะต้องปลิดชีพข้าศึกหนึ่งคนเสมอ กระสุนทุกนัดในตับกระสุนปืนแบบโมซิน นากองท์ (Mosin Nagant Rifle) ปืนเล็กยาวประจำกาย
มีครั้งหนึ่งที่เขาจำต้องซุ่มยิงที่ระยะ 1,000 เมตร เขาพรางตนเองด้วยการสวมชุดล่าสัตว์พื้นเมืองคล้ายกับชุดกิลลี่ที่พรานและพลซุ่มยิงสวมใส่ในยุคปัจจุบัน เขาสวมรองเท้าที่ทำจากผมม้าซึ่งมันช่วยให้เขาเหยียบย่ำลงไปบนผืนดินหรือในภูมิประเทศต่าง ๆ โดยแทบจะไร้เสียง และอีกหนึ่งสิ่งที่แปลกมากในวิธีการซุ่มยิงของโนโมโคนอฟก็คือ เขาจะพกพากระจกและใช้มันเพื่อสะท้อนแสง
นี่อาจจะเป็นวิธีที่สวนทางกับการซุ่มยิงทั้งหมดทั้งมวล เพราะพลซุ่มยิงมักจะหลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่มีพื้นผิวโลหะหรือสิ่งที่สามารถสะท้อนแสงได้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่ว่าแสงสะท้อนจะทำให้เผยตำแหน่งที่ซ่อนของตนเองได้ แต่สำหรับโนโมโคนอฟ เขาสามารถฉกฉวยจังหวะที่ข้าศึกคิดว่ามองเห็นเขาแล้วและกำลังจะเล็งยิงใส่ โนโมโคนอฟใช้วินาทีอันน้อยนิดนี้ในการหลอกล่อให้ข้าศึกเผยตำแหน่งตนเองและยิงใส่ข้าศึกก่อนที่ข้าศึกจะมีโอกาสลั่นไก
ฝีมือการยิงปืนของเขายังช่วยชีวิตเพื่อนทหารในหน่วยเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง เขาได้เลื่อนยศเป็นจ่าและทำหน้าที่เป็นครูฝึกพลซุ่มยิงอีกด้วย ชื่อเสียงของจ่าโนโมโคนอฟเลื่องลือในหมู่ทหารโซเวียต หนังสือพิมพ์ของกองทัพแดงตีพิมพ์ภาพของเขากับปืนซุ่มยิงคู่ใจ โดยฝ่ายเยอรมันเรียกเขาว่า “ไทก้า ชามาน” (Taiga Shaman) หมายถึง “ปีศาจแห่งป่าไทก้า”
เขาได้รับเหรียญกล้าหาญมากมายรวมทั้งเหรียญอิสริยาภรณ์เลนิน (Order of Lenin) อันเป็นเหรียญกล้าหาญสูงสุดของทหารโซเวียต โนโมโคนอฟลาโลกนี้ไปอย่างสงบในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1973 ด้วยวัย 73 ปี
ขอบคุณที่มา สงครามโลก ฉบับแฟนพันธุ์แท้ / War History with Teacher Panyanat
Cr.https://zh-cn.facebook.com/WorldWarFanPanTae/posts/2302500506498501
"White Feather"
จ่าเอก คาร์ลอส แฮธค็อกซ์ (Carlos Hatchcock) เป็นพลซุ่มยิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเวียดนาม ปี 1965 ได้รับการขนานนามว่า "ลองจาง" แปลว่า "ขนนกขาว" และทหารอเมริกันก็เรียกเขาว่า "White Feather"
เขาสังหารเวียดกงที่ยืนยันแล้ว 92 ศพ (การสังหารที่ได้รับการยืนยัน จะต้องมีนายทหาร รวมถึงทหารชั้นประทวนรับรอง 2 คนขึ้นไป และต้องพิสูจน์ศพที่ถูกยิงนั้นแล้ว หมายความว่า ถ้าคุณยิงเวียดกงตายในฝั่งตรงข้าม 1 คน คุณต้องพานายทหารไปเพื่อไปดูศพและยืนยัน โดยหวังว่าเวียดกงอีกกว่า 200 คนไม่ได้อยู่ตรงนั้น)
คาร์ลอส แฮธค๊อกซ์ อาจจะนับได้ว่าเป็นสไนเปอร์คนแรกของโลกที่ใช้ปืนที่มีกระสุนขนาด .50 นิ้ว จากปืนกลหนัก Browning M2 Machine Gun ติดกล้องเล็งซึ่งสามารถสังหารทหารเวียดนามเหนือได้ถึง 2 คน จากระยะการยิง 2,500 หลา ในปี 1967
ก่อนจะถูกทำลายสถิติลงในปี 2002 โดยพลซุ่มยิงชาวแคนาดา สิบโท แอรอน เพอร์รี่ ที่ทำการยิงในอัฟกานิสถาน ซึ่งหลังจากสงครามเวียดนามจบลงความนิยมในการใช้ปืนกลหนัก M2 ติดกล้องเล็งก็น้อยลง จนกระทั่งปี 1980 จึงมีการพัฒนาปืนไรเฟิลซุ่มยิงที่ใช้กระสุนขนาด .50 นิ้ว ออกแบบโดนรอนนี่ แบเร็ต คือปืนรุ่น Barrett M82
ภารกิจที่ทำให้ชายผู้ยิงปืนแม่นคนนี้ก้าวเข้าสู่ความเป็นพลซุ่มยิงที่ไม่มี ใครเทียมอย่างเต็มภาคภูมิก็คือ ภารกิจที่เหล่าบรรดากองร้อยสไนเปอร์ของเวียดกงและเวียดนามเหนือ ต่างออกไล่ล่าเขาตามประกาศค่าหัว "ถ้าใครสามารถเด็ดขนนกสีขาวลงจากหัวของเขาได้ คนๆ นั้นจะได้รับเงินค่าหัว 30,000 ดอลลาร์"
วันหนึ่ง รถสายพานที่เขานั่งเหยียบกับระเบิดจนไฟลุก คาร์ลอสวิ่งเข้าไปช่วยเหลือทหารซึ่งติดอยู่ด้านในเปลวเพลิงได้ถึง7คน และเขาบาดเจ็บสาหัส
จากความกล้าหาญครั้งนี้ เขาได้รับเหรียญกล้าหาญ "ซิลเวอร์สตาร์" คาร์ลอสเสียชีวิตในปี 1999 ด้วยอาการเส้นโลหิตตีบตัน
ก่อนหน้านั้น คาร์ลอสได้ผันตัวเองไปเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนพลแม่นปืนของนาวิกโยธิน และเป็นผู้ปรับปรุงหลักสูตรพลแม่นปืนของหน่วยนาวิกโยธินอเมริกันให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้นอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน จากคุณความดีต่างๆที่ "คาร์ลอส" อุทิศให้กับหน่วยแม่นปืน จึงทำให้มีการตั้งชื่อปืนไรเฟิลซุ่มยิงรุ่น "M-25" ที่พัฒนาขึ้นมาในยุค 80 สำหรับหน่วยรบพิเศษและเนวีซีลว่า "White Feather" โดยชื่อนี้มีที่มาจากการที่เขาชอบเอาขนนกสีขาวมาติดที่หมวก นั่นเอง
ขอบคุณที่มา โดย Unknown
Cr.http://thaisubdocumentary.blogspot.com/2015/05/blog-post_24.html