สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคน วันนี้ผมจะมารีวิว Topas Ecolodge ที่เมืองซาปา ประเทศเวียดนามนั่นเองครับ เนื่องจากช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปพักที่ Topas Ecolodge 3 วัน 2 คืน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีมาก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 5-15 องศาเซลเซียส เลยอยากจะมาถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ที่เจอมาให้กับเพื่อนๆชาวพันทิป เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สนใจอยากจะไปพักที่ Topas Ecolodge กันครับ
Topas Ecolodge เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีห้องพักสไตล์บังกะโลตั้งเรียงรายอยู่บนยอดเขาทั้งหมด 33 หลัง ท่ามกลางทิวเขาสลับซับซ้อนที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติ Hoang Lien ประเทศเวียดนาม ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาไปประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ซิกเนเจอร์ของ Topas Ecolodge คือ วิวธรรมชาติที่สวยอลังการล้านแปด สวยแบบสุดจะบรรยายเป็นคำพูดจริงๆครับ ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวจึงอยากจะมาพักที่นี่กัน พอผมได้มาสัมผัสบรรยากาศที่นี่แล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่าไม่ผิดหวังเลยครับ
สำหรับทริปนี้ผมเดินทางด้วยสารการบินเวียดนามแอร์ไลน์ เที่ยวบิน VN 614 มาถึงสนามบินฮานอยประมาณ 18.00 น. ใช้เวลาบินแค่ 1 ชั่วโมง กับอีก 30 นาทีครับ
หลังจากทานข้าวที่สนามบินฮานอยเรียบร้อย ผมก็นั่งรถแท๊กซี่ต่อไปที่สถานีรถไฟฮานอย เพื่อไปรอขึ้นรถไฟนอนแบบวีไอพี (2 berth) ของ Chapa express train รอบ 22.00 น. โดยจุดหมายปลายทางอยู่สถานีรถไฟลาวไค ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองซาปานั่นเองครับ รถไฟนอนถือว่าโอเคมากเลยครับ เตียงนอน หมอน และผ้าห่มนุ่มดี นอนหลับสบายมาก ส่วนห้องน้ำก็สะอาดสะอ้านครับ นอกจากนี้ยังมีพวกน้ำดื่ม น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว และเซ็ตของใช้ส่วนตัวจัดไว้ให้ฟรีอีกด้วย
ผมมาถึงสถานีรถไฟลาวไคช่วงเช้าตรู่ จากนั้นนั่งรถแท๊กซี่จากสถานีรถไฟลาวไคเข้าไปยังตัวเมืองซาปา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ผมให้แท๊กซี่มาส่งที่หน้าออฟฟิศของ Topas Ecolodge ในตัวเมืองซาปา เพื่อจะมารอขึ้นรถรับส่งของโรงแรมตามรอบที่จองเอาไว้ ด้านหน้าออฟฟิศของ Topas Ecolodge ที่ตัวเมืองซาปาก็ตามรูปด้านล่างเลยครับ
ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองซาปามายังตัวโรงแรม Topas Ecolodge อีกประมาณ 1 ชั่วโมง ขอบอกว่าทางขรุขระมากครับ ได้แต่คิดในใจว่างานนี้ ตับ ไต ไส้ พุง มีเคลื่อนที่แน่นอน เพราะรถพาเด้งดึ๋งตลอดทาง 555 เพื่อนผมถึงขนาดกับต้องดมยาดมตลอดทางเลยครับ พอมาถึงตัวโรงแรม Topas Ecolodge รถรับส่งของโรงแรมจะจอดให้ลงบริเวรล๊อบบี้ด้านหน้าก่อน ขนาดล๊อบบี้ด้านหน้ายังวิวสวยขนาดนี้ ล๊อบบี้ด้านในของโรงแรมจะสวยขนาดไหนลองคิดดูครับ
เวลคั่มดริ้งเป็นชาร้อนซิกเนเจอร์ของ Topas Ecolodge ถูกเสริ์ฟพร้อมกับผ้าร้อนกลิ่นซิตรัสหอมสดชื่นมาก เข้ากับอากาศอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส ได้ดีเลยทีเดียว ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับเวลคั่มดริ้งและวิวธรรมชาติที่สวยงามนั้น พนักงานก็จะจัดการนำกระเป๋าเดินทางไปส่งให้ถึงห้องพักเลย เราไม่ต้องยกขึ้นเขาลงเขาเอง ส่วนพนักงานที่นี่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และเอาใจใส่ผู้ที่เข้าพักโรงแรมดีมากครับ
พอนั่งพักหายเหนื่อยแล้ว พนักงานก็พาเดินไปเช๊คอินที่ล๊อบบี้ใหญ่ของโรงแรม ซึ่งต้องเดินลงเขาไปอีกนิดหน่อยครับ เดินได้สบาย ไม่เหนื่อยมากครับ
บรรยากาศล๊อบบี้ใหญ่ของ Topas Ecolodge ครับ
ที่พักของผม คือ บังกะโลหมายเลข 208 ซึ่งเป็นบังกะโลหลังท้ายสุด จึงเงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัวมาก แถมพนักงานยังแจกกระบอกน้ำไม่ไผ่ให้ฟรีอีกด้วย สำหรับใช้ใส่น้ำดื่มและเครื่องดื่มต่างๆ แทนการใช้แก้วพลาสติก สตอรี่เรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อมของที่นี่ทำออกมาได้ดีมากครับ
ตัวบังกะโลจะตั้งเรียงรายตามเชิงยอดเขา โดยที่โรงแรม Topas Ecolodge จะมีบังกะโลเพียงแค่ 33 หลังเท่านั้นครับ ลักษณะห้องพักเป็นบังกะโลหินแกรนิตขาว มุงหลังคาด้วยใบของต้นจาก ถือว่าสร้างออกมาได้น่ารักมากเลย
ภายในห้องพักก็จะมีเตียงนอนนุ่มๆ หมอนใบใหญ่ๆ และผ้าห่มหนาๆแบบนี้ นอนหลับสบายดีมาก นี่คือที่มาของเตียงดูดวิญญาณที่แท้จริงครับ
ส่วนมุมทำงาน หรือมุมนั่งอ่านหนังสือ ก็ถูกจัดไว้อย่างเรียบง่าย ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็แฝงไปด้วยสตอรี่ของ Topas Ecolodge เขาแหละ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า ภายในห้องพักไม่มีทีวี ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต เพราะเขาอยากให้ผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างเต็มที่ แต่เสียใจนะจ๊ะ พี่ซื้อแพ๊คเกจโรมมิ่งจากประเทศไทยมาเรียบร้อย!!
อีกมุมหนึ่งของห้องพักจัดไว้เป็นมุมนั่งเล่นเล็กๆ มีส้มลูกเล็กๆที่ปลูกโดยชาวเขาท้องถิ่น จัดวางไว้เป็นคอมพลีเมนต์ทารี่สำหรับผู้ที่เข้าพักครับ
Topas Ecolodge เขายังมีมุมชาและกาแฟไว้ภายในห้องอีกด้วย สำหรับบริการผู้ที่เข้ามาพักครับ
เปิดประตูออกไปจากห้องพัก ก็จะเจอระเบียงที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาสลับซับซ้อน และร่องลอยนาขั้นบันไดแบบพาโนราม่าเลยครับ
หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จเรียบร้อย เป้าหมายต่อไปคือ การถ่ายรูปและเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำแบบ Infinity Pool ซึ่งเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของ Topas Ecolodge เขาเลยแหละ สำหรับใครที่กลัวหนาว ไม่ต้องห่วงนะครับ สระว่ายน้ำของที่นี่เป็นน้ำอุ่น ดังนั้นลงแช่ได้อย่างสบายใจเลย แต่ขึ้นจากน้ำเมื่อไหร่ก็ตัวใครตัวมันนะครับ บอกไว้ก่อน!!!
หลังจากเล่นน้ำไปเกือบชั่วโมง ผมแวะไปนั่งจิบชาร้อน ชมวิวธรรมชาติที่โซนนั่งเล่นเอาท์ดอร์ ซึ่งทาง Topas Ecolodge เขาจัดไว้สำหรับบริการผู้ที่เข้ามาพักที่นี่ ถึงจะเป็นจุดนั่งชมวิวเล็กๆ แต่บรรยากาศและวิวธรรมชาติไม่เล็กเลยนะครับ ที่สุดของความอลังการเลยขอบอก นั่งจิบชาร้อนท่ามกลางอุณหภูมิ 5-10 องศาเซลเซียส ที่รายร้อมด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน ลองนึกภาพตามดูครับ ว่ามันจะสุดยอดขนาดไหน
ถึงเวลาเดินสำรวจ Topas Ecolodge กันแล้วครับ ตรงใจกลางเนินของ Topas Ecolodge จะมีศาลาไม้สำหรับนั่งพักผ่อนและชมวิว เสียดายนั่งได้ไม่นาน เพราะอากาศหนาวมาก และลมก็ค่อนข้างแรง ถ้ามาหน้าร้อนคงจะดีกว่านี้แน่นอน
บรรยากาศยามเย็นช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดินที่ Topas Ecolodge ก็สวยไปอีกแบบ อาจจะไม่เห็นพระอาทิตย์สีแดงกลมโต เพราะหมอกกำลังเริ่มลง แต่ก็พอเห็นแสงจางๆตรงเส้นขอบฟ้า ให้ความรู้สึกอบอุ่นดี ยิ่งใครมากันเป็นคู่รับรองบรรยากาศจะดีเพิ่มขึ้นอีก 1000 เปอร์เซ็นต์เลยครับ
ช่วงกลางคืนที่ Topas Ecolodge นี่มืดสนิทมากและเงียบมากด้วย แทบจะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลยครับ โชคดีที่ซื้อโรมมิ่งอินเตอร์เน็ตมา ไม่งั้นคงเหงาแน่เลยครับ
ลืมบอกไปว่าที่ Topas Ecolodge เขามีมินิบาร์ด้วยนะครับ บรรยากาศน่านั่งดีเลยทีเดียว มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิด แต่ผมไม่ได้ลองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของที่นี่นะครับ เพราะปกติผมไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว ส่วนกาแฟของที่นี่รสชาติดีเลยแหละ กาแฟหอมและนุ่มละมุนมาก ผมกับเพื่อนชอบกาแฟที่นี่ทั้งคู่เลยครับ
ตัดภาพมาที่ห้องอาหารเช้าของ Topas Ecolodge กันบ้าง ห้องอาหารจะอยู่ด้านบนของล๊อบบี้เช๊คอิน ภายในตกแต่งด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ตัวผนังห้องอาหารจะเป็นกระจกใส สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้อย่างชัดเจน หรือจะเป็นที่นั่งแบบเอาท์ดอตรงระเบียงด้านนอกก็มีนะครับ แต่ผมคงขอบายก่อนแล้วกัน เพราะด้านนอกอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส บอกเลยว่าผมไม่ไหววววว!!!
มาดูหน้าตาอาหารเช้ากันบ้างครับ ห้องอาหารของ Topas Ecolodge จัดอาหารเช้าไว้หลายรายการอยู่เหมือนกัน มีทั้งพวกไลน์อาหารนานาชาติ อาหารเวียดนาม เบเกอรี่ พิชซ่า ผลไม้ และเครื่องดื่ม ส่วนรสชาติอาหารก็ถือว่าโอเคครับ แต่เมนูที่ผมชอบมากที่สุดคือ ออมเล็ต และน้ำดื่มแบบ sparkle ที่เป็นเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของที่นี่ ใครมาที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ
หลังทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย ผมกับเพื่อนไปยืมจักรยานของโรงแรมไปปั่นเล่น ปั่นข้ามเขา 3-4 ลูก ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เพื่อจะไปดูวิวโรงแรม Topas Ecolodge จากมุมด้านไกล ตอนปั่นลงเนินก็สบายแหละครับ แต่ตอนปั่นขึ้นเนินนี่สิ เหนื่อยแทบขาลากกันเลยทีเดียว บางช่วงผมถึงกับต้องเข็นจักรยาน เพราะปั่นไม่ไหว รวมแล้วปั่นจักรยานทั้งไป-กลับ เกือบ 3 ชั่วโมง เพื่อมาดูวิวตามภาพด้านล่างครับ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ขอไม่ปั่นจักรยานดีกว่า
พอกลับมาถึงที่โรงแรม ผมก็อ่านหนังสือและนั่งทำงานต่อซักพัก ก่อนจะลงไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรมรสชาติอาหารถือว่าโอเคนะครับ ผมไม่ได้ถ่ายภาพอาหารมา มีแต่ภาพบรรยากาศห้องอาหารมื้อเย็นมาให้ดู ส่วนราคาอาหารก็ตามมาตรฐานของโรงแรมครับ
ส่วนกิจกรรมของวันถัดไปก็คล้ายๆเดิมครับ แต่ผมก็มีแอบไปขึ้น cable car เพื่อไปยอดเขาฟานซิปังมาเหมือนกันครับ ข้างบนวิวสวยมาก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง และอากาศดี แต่ลมแรงไปหน่อย ใครเบื่อที่จะนั่งๆนอนๆอยู่โรงแรมก็ลองไปยอดเขาฟานซิปังดู ก็ไม่เสียหาย ตามรอยได้ไม่ว่ากันครับ
[CR] รีวิวโรงแรม Topas Ecolodge เมืองซาปา ประเทศเวียดนาม
สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคน วันนี้ผมจะมารีวิว Topas Ecolodge ที่เมืองซาปา ประเทศเวียดนามนั่นเองครับ เนื่องจากช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปพักที่ Topas Ecolodge 3 วัน 2 คืน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีมาก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 5-15 องศาเซลเซียส เลยอยากจะมาถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ที่เจอมาให้กับเพื่อนๆชาวพันทิป เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สนใจอยากจะไปพักที่ Topas Ecolodge กันครับ
Topas Ecolodge เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีห้องพักสไตล์บังกะโลตั้งเรียงรายอยู่บนยอดเขาทั้งหมด 33 หลัง ท่ามกลางทิวเขาสลับซับซ้อนที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติ Hoang Lien ประเทศเวียดนาม ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาไปประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ซิกเนเจอร์ของ Topas Ecolodge คือ วิวธรรมชาติที่สวยอลังการล้านแปด สวยแบบสุดจะบรรยายเป็นคำพูดจริงๆครับ ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวจึงอยากจะมาพักที่นี่กัน พอผมได้มาสัมผัสบรรยากาศที่นี่แล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่าไม่ผิดหวังเลยครับ
สำหรับทริปนี้ผมเดินทางด้วยสารการบินเวียดนามแอร์ไลน์ เที่ยวบิน VN 614 มาถึงสนามบินฮานอยประมาณ 18.00 น. ใช้เวลาบินแค่ 1 ชั่วโมง กับอีก 30 นาทีครับ
หลังจากทานข้าวที่สนามบินฮานอยเรียบร้อย ผมก็นั่งรถแท๊กซี่ต่อไปที่สถานีรถไฟฮานอย เพื่อไปรอขึ้นรถไฟนอนแบบวีไอพี (2 berth) ของ Chapa express train รอบ 22.00 น. โดยจุดหมายปลายทางอยู่สถานีรถไฟลาวไค ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองซาปานั่นเองครับ รถไฟนอนถือว่าโอเคมากเลยครับ เตียงนอน หมอน และผ้าห่มนุ่มดี นอนหลับสบายมาก ส่วนห้องน้ำก็สะอาดสะอ้านครับ นอกจากนี้ยังมีพวกน้ำดื่ม น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว และเซ็ตของใช้ส่วนตัวจัดไว้ให้ฟรีอีกด้วย
ผมมาถึงสถานีรถไฟลาวไคช่วงเช้าตรู่ จากนั้นนั่งรถแท๊กซี่จากสถานีรถไฟลาวไคเข้าไปยังตัวเมืองซาปา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ผมให้แท๊กซี่มาส่งที่หน้าออฟฟิศของ Topas Ecolodge ในตัวเมืองซาปา เพื่อจะมารอขึ้นรถรับส่งของโรงแรมตามรอบที่จองเอาไว้ ด้านหน้าออฟฟิศของ Topas Ecolodge ที่ตัวเมืองซาปาก็ตามรูปด้านล่างเลยครับ
ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองซาปามายังตัวโรงแรม Topas Ecolodge อีกประมาณ 1 ชั่วโมง ขอบอกว่าทางขรุขระมากครับ ได้แต่คิดในใจว่างานนี้ ตับ ไต ไส้ พุง มีเคลื่อนที่แน่นอน เพราะรถพาเด้งดึ๋งตลอดทาง 555 เพื่อนผมถึงขนาดกับต้องดมยาดมตลอดทางเลยครับ พอมาถึงตัวโรงแรม Topas Ecolodge รถรับส่งของโรงแรมจะจอดให้ลงบริเวรล๊อบบี้ด้านหน้าก่อน ขนาดล๊อบบี้ด้านหน้ายังวิวสวยขนาดนี้ ล๊อบบี้ด้านในของโรงแรมจะสวยขนาดไหนลองคิดดูครับ
เวลคั่มดริ้งเป็นชาร้อนซิกเนเจอร์ของ Topas Ecolodge ถูกเสริ์ฟพร้อมกับผ้าร้อนกลิ่นซิตรัสหอมสดชื่นมาก เข้ากับอากาศอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส ได้ดีเลยทีเดียว ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับเวลคั่มดริ้งและวิวธรรมชาติที่สวยงามนั้น พนักงานก็จะจัดการนำกระเป๋าเดินทางไปส่งให้ถึงห้องพักเลย เราไม่ต้องยกขึ้นเขาลงเขาเอง ส่วนพนักงานที่นี่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และเอาใจใส่ผู้ที่เข้าพักโรงแรมดีมากครับ
พอนั่งพักหายเหนื่อยแล้ว พนักงานก็พาเดินไปเช๊คอินที่ล๊อบบี้ใหญ่ของโรงแรม ซึ่งต้องเดินลงเขาไปอีกนิดหน่อยครับ เดินได้สบาย ไม่เหนื่อยมากครับ
บรรยากาศล๊อบบี้ใหญ่ของ Topas Ecolodge ครับ
ที่พักของผม คือ บังกะโลหมายเลข 208 ซึ่งเป็นบังกะโลหลังท้ายสุด จึงเงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัวมาก แถมพนักงานยังแจกกระบอกน้ำไม่ไผ่ให้ฟรีอีกด้วย สำหรับใช้ใส่น้ำดื่มและเครื่องดื่มต่างๆ แทนการใช้แก้วพลาสติก สตอรี่เรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อมของที่นี่ทำออกมาได้ดีมากครับ
ตัวบังกะโลจะตั้งเรียงรายตามเชิงยอดเขา โดยที่โรงแรม Topas Ecolodge จะมีบังกะโลเพียงแค่ 33 หลังเท่านั้นครับ ลักษณะห้องพักเป็นบังกะโลหินแกรนิตขาว มุงหลังคาด้วยใบของต้นจาก ถือว่าสร้างออกมาได้น่ารักมากเลย
ภายในห้องพักก็จะมีเตียงนอนนุ่มๆ หมอนใบใหญ่ๆ และผ้าห่มหนาๆแบบนี้ นอนหลับสบายดีมาก นี่คือที่มาของเตียงดูดวิญญาณที่แท้จริงครับ
ส่วนมุมทำงาน หรือมุมนั่งอ่านหนังสือ ก็ถูกจัดไว้อย่างเรียบง่าย ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็แฝงไปด้วยสตอรี่ของ Topas Ecolodge เขาแหละ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า ภายในห้องพักไม่มีทีวี ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต เพราะเขาอยากให้ผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างเต็มที่ แต่เสียใจนะจ๊ะ พี่ซื้อแพ๊คเกจโรมมิ่งจากประเทศไทยมาเรียบร้อย!!
อีกมุมหนึ่งของห้องพักจัดไว้เป็นมุมนั่งเล่นเล็กๆ มีส้มลูกเล็กๆที่ปลูกโดยชาวเขาท้องถิ่น จัดวางไว้เป็นคอมพลีเมนต์ทารี่สำหรับผู้ที่เข้าพักครับ
Topas Ecolodge เขายังมีมุมชาและกาแฟไว้ภายในห้องอีกด้วย สำหรับบริการผู้ที่เข้ามาพักครับ
เปิดประตูออกไปจากห้องพัก ก็จะเจอระเบียงที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาสลับซับซ้อน และร่องลอยนาขั้นบันไดแบบพาโนราม่าเลยครับ
หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จเรียบร้อย เป้าหมายต่อไปคือ การถ่ายรูปและเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำแบบ Infinity Pool ซึ่งเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของ Topas Ecolodge เขาเลยแหละ สำหรับใครที่กลัวหนาว ไม่ต้องห่วงนะครับ สระว่ายน้ำของที่นี่เป็นน้ำอุ่น ดังนั้นลงแช่ได้อย่างสบายใจเลย แต่ขึ้นจากน้ำเมื่อไหร่ก็ตัวใครตัวมันนะครับ บอกไว้ก่อน!!!
หลังจากเล่นน้ำไปเกือบชั่วโมง ผมแวะไปนั่งจิบชาร้อน ชมวิวธรรมชาติที่โซนนั่งเล่นเอาท์ดอร์ ซึ่งทาง Topas Ecolodge เขาจัดไว้สำหรับบริการผู้ที่เข้ามาพักที่นี่ ถึงจะเป็นจุดนั่งชมวิวเล็กๆ แต่บรรยากาศและวิวธรรมชาติไม่เล็กเลยนะครับ ที่สุดของความอลังการเลยขอบอก นั่งจิบชาร้อนท่ามกลางอุณหภูมิ 5-10 องศาเซลเซียส ที่รายร้อมด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน ลองนึกภาพตามดูครับ ว่ามันจะสุดยอดขนาดไหน
ถึงเวลาเดินสำรวจ Topas Ecolodge กันแล้วครับ ตรงใจกลางเนินของ Topas Ecolodge จะมีศาลาไม้สำหรับนั่งพักผ่อนและชมวิว เสียดายนั่งได้ไม่นาน เพราะอากาศหนาวมาก และลมก็ค่อนข้างแรง ถ้ามาหน้าร้อนคงจะดีกว่านี้แน่นอน
บรรยากาศยามเย็นช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดินที่ Topas Ecolodge ก็สวยไปอีกแบบ อาจจะไม่เห็นพระอาทิตย์สีแดงกลมโต เพราะหมอกกำลังเริ่มลง แต่ก็พอเห็นแสงจางๆตรงเส้นขอบฟ้า ให้ความรู้สึกอบอุ่นดี ยิ่งใครมากันเป็นคู่รับรองบรรยากาศจะดีเพิ่มขึ้นอีก 1000 เปอร์เซ็นต์เลยครับ
ช่วงกลางคืนที่ Topas Ecolodge นี่มืดสนิทมากและเงียบมากด้วย แทบจะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลยครับ โชคดีที่ซื้อโรมมิ่งอินเตอร์เน็ตมา ไม่งั้นคงเหงาแน่เลยครับ
ลืมบอกไปว่าที่ Topas Ecolodge เขามีมินิบาร์ด้วยนะครับ บรรยากาศน่านั่งดีเลยทีเดียว มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิด แต่ผมไม่ได้ลองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของที่นี่นะครับ เพราะปกติผมไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว ส่วนกาแฟของที่นี่รสชาติดีเลยแหละ กาแฟหอมและนุ่มละมุนมาก ผมกับเพื่อนชอบกาแฟที่นี่ทั้งคู่เลยครับ
ตัดภาพมาที่ห้องอาหารเช้าของ Topas Ecolodge กันบ้าง ห้องอาหารจะอยู่ด้านบนของล๊อบบี้เช๊คอิน ภายในตกแต่งด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ตัวผนังห้องอาหารจะเป็นกระจกใส สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้อย่างชัดเจน หรือจะเป็นที่นั่งแบบเอาท์ดอตรงระเบียงด้านนอกก็มีนะครับ แต่ผมคงขอบายก่อนแล้วกัน เพราะด้านนอกอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส บอกเลยว่าผมไม่ไหววววว!!!
มาดูหน้าตาอาหารเช้ากันบ้างครับ ห้องอาหารของ Topas Ecolodge จัดอาหารเช้าไว้หลายรายการอยู่เหมือนกัน มีทั้งพวกไลน์อาหารนานาชาติ อาหารเวียดนาม เบเกอรี่ พิชซ่า ผลไม้ และเครื่องดื่ม ส่วนรสชาติอาหารก็ถือว่าโอเคครับ แต่เมนูที่ผมชอบมากที่สุดคือ ออมเล็ต และน้ำดื่มแบบ sparkle ที่เป็นเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของที่นี่ ใครมาที่นี่ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ
หลังทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย ผมกับเพื่อนไปยืมจักรยานของโรงแรมไปปั่นเล่น ปั่นข้ามเขา 3-4 ลูก ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เพื่อจะไปดูวิวโรงแรม Topas Ecolodge จากมุมด้านไกล ตอนปั่นลงเนินก็สบายแหละครับ แต่ตอนปั่นขึ้นเนินนี่สิ เหนื่อยแทบขาลากกันเลยทีเดียว บางช่วงผมถึงกับต้องเข็นจักรยาน เพราะปั่นไม่ไหว รวมแล้วปั่นจักรยานทั้งไป-กลับ เกือบ 3 ชั่วโมง เพื่อมาดูวิวตามภาพด้านล่างครับ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ขอไม่ปั่นจักรยานดีกว่า
พอกลับมาถึงที่โรงแรม ผมก็อ่านหนังสือและนั่งทำงานต่อซักพัก ก่อนจะลงไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรมรสชาติอาหารถือว่าโอเคนะครับ ผมไม่ได้ถ่ายภาพอาหารมา มีแต่ภาพบรรยากาศห้องอาหารมื้อเย็นมาให้ดู ส่วนราคาอาหารก็ตามมาตรฐานของโรงแรมครับ
ส่วนกิจกรรมของวันถัดไปก็คล้ายๆเดิมครับ แต่ผมก็มีแอบไปขึ้น cable car เพื่อไปยอดเขาฟานซิปังมาเหมือนกันครับ ข้างบนวิวสวยมาก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง และอากาศดี แต่ลมแรงไปหน่อย ใครเบื่อที่จะนั่งๆนอนๆอยู่โรงแรมก็ลองไปยอดเขาฟานซิปังดู ก็ไม่เสียหาย ตามรอยได้ไม่ว่ากันครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้