[Spoil แรง] รีวิวหนังหลังดู The Rise of Skywalker >>จะปิดท้ายมหากาพย์แล้วก็ต้องกาวให้สุด (by Filmaneo)

สมัยเล็กหน่อยเคยดูไตรภาค Episode IV-VI แบบไม่เข้าใจโลกของมันอะไร รู้แค่เป็นหนังเก่า
แต่ด้วยความสนุกหรือเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่าง ก็เหมือนโดนล้างสมองให้ดูซ้ำเรื่อยๆ จนถึงระดับภาคละ 10 รอบ
ซึ่งนี่คงไม่ถือว่ามากหรอก ถ้าเทียบกับคนที่เค้าชอบสตาร์วอร์สจริงๆ ยิ่งกว่าสิ่งใด

พอโตขึ้นมาอีกหน่อยทันช่วงไตรภาค Episode I-III ทยอยเข้าโรงตามลำดับการฉายจริง ก็มีโอกาสตรงดิ่งเข้าโรงภาพยนตร์ดูทั้ง 3 ภาคพร้อมครอบครัว ยอมรับว่ามันน่าเบื่อกว่าเดิมหน่อย
ซึ่งเท่าที่จำได้ก่อน Ep.1 ฉาย รายการโทรทัศน์ช่องนึงเสนอข่าวบันเทิงเชิงกังขา ว่า Star Wars ที่ขายความตื่นตา จะยังประสบความสำเร็จอีกหรือไม่
เพราะในยุคดังกล่าวเทคนิคพิเศษของโลกภาพยนตร์
พัฒนาไปไกลกว่าช่วงไตรภาคของลุค สกายวอล์คเกอร์พอตัว
จนสตาร์วอร์สไม่เหนือล้ำกว่าชาวบ้านแล้ว

ยุคนั้นภาพยนตร์โดนติหลายอย่าง เช่น นักแสดงบางคนแค่บุคลิกเข้ากับบทแต่ขาดฝีมือ, หนังไม่สนุกเท่าชุดเก่า, จอร์จ ลูคัส เมาซีจีเอาแต่ถ่ายทำบนฉากหลังสีเขียว (Green Screen) หรือเจ้าจาร์ จาร์ บิงส์ ที่ถูกยี้เข้าขั้นสุด
แต่ผลลัพธ์คือทั้ง 3 ภาคยังประสบความสำเร็จด้านรายได้อยู่ดี
และเมื่อเวลาผ่านเลยเนิ่นนาน เสียงติฉินนินทา Episode I-III ก็ค่อยๆ จางลงไป


พอถึงคราวรับชม The Force Awakens ผมสนุกกับมัน และหลังออกจากโรงมาพิจารณาย้อนหลังก็มิได้มีสิ่งใดขัดใจ
ภาพยนตร์ขาดความสดใหม่ แต่ข้อเสียนี้ไม่หนักหนาอะไร รอดูภาคหน้าน่า คงมีอะไรใหม่ๆ เยอะขึ้น

ถัดมา The Last Jedi, งานนี้ฉีกแนวเต็มกำลัง เล่นเอาระหว่างรับชมครั้งแรกนี่ดูไปหงุดหงิดไป โดยเฉพาะลุค สกายวอล์คเกอร์ ที่แทบไม่เหลือสภาพวีรบุรุษในตำนาน
แต่พอใช้เวลาตรึกตรองและใคร่ครวญเกี่ยวกับมันดีๆ ทีหลัง เพียงข้ามวันก็เริ่มประทับใจในหลายสิ่งที่ผู้สร้างพยายามนำเสนอ

สำหรับ The Rise of Skywalker ความรู้สึกที่มีต่อมัน กลายเป็นอะไรที่ไม่เคยเจอะเจอมาก่อนในชีวิต
ไม่ว่าจะจากภาพยนตร์เรื่องอื่นของ Star Wars (รวมทั้งภาคแยก)
หรือแม้กระทั่ง 'ภาพยนตร์คนแสดงของฮอลลีวูด' เรื่องอื่นใด ที่เคยยลด้วยสายตาตนเอง
 

เดี๋ยวจะหาว่าปูมาซะเวอร์ ทำนองเกิดมาไม่เคยเจอหนังแบบนี้
นี่คือจะด่าหนังห่วยบรมโลกไม่อยากจำ
หรือชมว่าทำออกมาดีขนาดชีวิตที่เหลือของกระผม คงมิอาจปลาบปลื้มต่อภาพยนตร์เรื่องใดได้มากกว่านี้อีกหรือกระไร ?

ไม่ใช่ทั้ง 2 อย่างแหละ และถ้าจะให้สรุปคือ "มันเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นบางเรื่อง"
ซึ่งไม่เคยนึกเคยฝันเลยสักนิด ว่าผู้สร้างภาพยนตร์คนแสดงของฮอลลีวูดจะกล้าทำ
ยังกับเขาคิดว่าจะปิดท้ายตำนานทั้งที งานนี้ทำเหมือนคนดมกาว ปล่อยของตามจินตนาการให้ดูเพ้อเจ้อ
เพื่อจบแบบอลังการดาวล้านดวงหน่อยละกัน จะได้สมศักดิ์ศรีเรื่องราวระดับมหากาพย์

คงไม่ใช่ทุกคนที่ตามดู Star Wars หรือภาพยนตร์ฮอลลีวูดประจำ จะเคยเสพงานบันเทิงฝั่งแดนปลาดิบประจำด้วย
จึงขอชี้แจงว่า สูตรนำเสนอแบบหนึ่งของการ์ตูนต่อสู้ญี่ปุ่นจำนวนนึง ที่เนื้อเรื่องยาวๆ
คือหลังจากตัวเอกผ่านประสบการณ์มากมาย และได้พบกับผู้คนหลากหลายระหว่างการผจญภัย
ในช่วงสุดท้ายตัวร้ายระดับบอสโคตรโหดหิน จนพวกพระเอกไม่มีทางโค่นลงไหวจะโผล่มา
เวลานี้แหละที่เหล่าผู้คนมากหน้าหลายตาทั่วทุกสารทิศ จะนัดรวมพลกันมาช่วยเหลือ
ส่วนตัวเอกก็ปลุกพลังที่สูงล้ำกว่าเดิมแบบก้าวกระโดดมาใช้ ซึ่งเขาได้รับจากผู้คนเหล่านั้น (หรือจากเทือกเถาเหล่ากอบรรพบุรุษอะไรก็ว่าไป) มาใช้ปราบบอสโคตรโหดลง
 
ถ้าพวกพี่ทำเป็นอนิเมชั่น 2D ด้วยลายเส้นแบบนี้ทั้งเรื่อง ผมอาจรู้สึกดีต่อหนังมากกว่านี้


ก่อนจะจิกกัดต่อ ขอย้อนกลับไปชื่นชมบรรดาข้อดีของภาคนี้
เนื้อหาก่อนเข้าศึกสุดท้าย ค่อนข้างได้บรรยากาศหนังสตาร์วอร์สดั้งเดิมมาก
ตัวอย่างเช่น การเปิดเรื่องแบบงงๆ ด้วยการบอกไว้ในตัวอักษรลอยอวกาศโต้งๆ ว่า 'จักรพรรดิกลับมาแล้วนะจ๊ะ'
โดยมิยอมให้เห็นฉากประกาศศักดา ว่าข้ากลับมาละของเขาในหนัง
และเริ่มเข้าเรื่องตรงฉากของไคโล เรน บุกดาวดวงหนึ่งเพื่อหาเข็มทิศนำทางสู่เอ็กเซอกอล (Exegol) ทันที
เหมือนคราว Return of the Jedi บอกตรงตัวอักษรก่อนเริ่มเรื่อง ว่าเดธสตาร์ดวงที่ 2 อยู่ระหว่างก่อสร้าง

เสร็จละไคโล เรนก็รี่ตรงดิ่งไปเจอซีเดียสที่เคลมว่า 'ปัจฉิมภาคี' (Final Order) ของข้ายิ่งใหญ่กว่าปฐมภาคีนัก, สโนคน่ะแค่ร่างสังเคราะห์ คือตัวร้ายระดับรองๆ
ฉะนั้นเอ็งลองคิดดูดีๆ ก่อนจะแหยม และมาอยู่ใต้อาณัติข้าซะ
เฮ้ย! จักรพรรดิอวดโอ่ได้อารมณ์บอสใหญ่มาก แถมอธิบายเรื่องสโนคสั้นๆ แต่ได้ใจความ ไม่ขัดกับ The Last Jedi เกินงามด้วย

ฉากโพพามิลเลนเนียมฟัลคอนโดดข้ามมิติไฮเปอร์สเปซอย่างบ้าคลั่งถือว่าได้ใจ
ทว่าส่วนแรกที่ขัดใจระหว่างดูสำหรับภาคนี้ คือฉากเรย์ฝึกภายใต้การชี้แนะของเลอา
ปัดโธ่คุณพี่ครับ, ไม่ใช่ทุกคนตามจักรวาลขยายเลยรู้นะ ว่าเลอาเคยฝึกฝนวิถีเจไดกะลุคด้วย
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียอย่างที่คาดตอนกำลังรับชม เพราะเขาปล่อยฉากฝึกให้ยลอีกที ตอนที่ลุค สกายวอล์คเกอร์รำลึกความหลังกะเรย์

ภาพยนตร์ภาคนี้มีโอกาสเห็น 3 สหายฟินน์, โพ, เรย์ ผจญภัยร่วมกัน สมดังใจหมายสักที
ความสมเหตุสมผลเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ภายในท้องเรื่องไม่ต้องใส่ใจ, หนัง Star Wars แบบดั้งเดิมอารมณ์นี้อยู่แล้ว

The Rise of Skywalker ผลักโรสไปเป็นตัวประกอบไม่มีปัญหา
เพราะดูแล้วยังเด่นกว่าตัวประกอบอื่นๆ อีกหลายคน
ไหนจะบทพูดกับกิ๊กเก่าของโพ ที่อธิบายว่าทำไมคนทั้งกาแล็คซี่ไม่ยอมช่วยฝ่ายต่อต้านยามคับขันสุดขีด
และการเฉลยว่าเรย์เกี่ยวข้องกับพัลพาทีน ไม่ใช่สายตระกูลมาจากคนธรรมดาเฉยๆ
ก็ไม่ขัดใจสำหรับผม เพราะบท The Last Jedi มันเปิดช่องให้แถเพิ่มตรงนี้ไหว


คนอื่นว่าไง ตามใจไม่เสียหาย, แต่ตัวผมเองมองว่าโครงเรื่องทั้งของ The Last Jedi และของ The Rise of Skywalker ถูกวางไว้ลักษณะนี้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงขนาดบทดั้งเดิมเป็นหนังคนละเรื่องกับที่เราได้ดูกัน

อย่างไรก็ตาม The Last Jedi น่าจะเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับโรส และเปลี่ยนองค์ประกอบปลีกย่อยอีกหลายอย่าง (เช่น ภาพลักษณ์ลุค, ฉากขับยานชนยานด้วยความเร็วแสง หรือฉากไคลแมกซ์ที่ความจริงควรมีกำลังเสริมมาช่วยฝ่ายต่อต้าน)
เหมือนผู้กำกับไรอัน จอห์นสัน เล็งว่าจะ 'ตีความ' สตาร์วอร์สใหม่ยังไง แล้วดึงทิศทางของหนังให้เปลี่ยนตามวิสัยทัศน์ของเขา ภายใต้ความเห็นชอบ (หรือบงการ ?) ของบอสใหญ่อย่างอาเจ๊แคธลีน เคนเนดี้
เนื่องจากบทของ The Rise of Skywalker แถให้เหตุการณ์ใน Last Jedi กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องยาวได้หมด
(ต่อให้เจ.เจ.อับรามส์ทำเองครบไตรภาค ผมว่าสโนคน่าจะตายดื้อๆ มึนๆ คือกัน
แค่เรื่องเรย์เป็นลูกหลานใคร จะเฉลยในช่วงก่อนจบของ The Last Jedi แทน)

---ยังครับ ยังไม่จบ ขอไปต่อในคห.นะ---
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่