สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้กลับมาเจอกับมินอีกแล้วนะคะ ครั้งนี้เราอยากจะมาเล่าประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์ปากครั้งแรกให้เพื่อนๆกันค่ะ
สำหรับใครที่กำลังสนใจหรือต้องการหาข้อมูลจะได้ตัดสินใจง่ายขึ้นค่ะ
ส่วนตัวแล้วเราสนใจอยากจะฉีดฟิลเลอร์มาสักพักนึงแล้วเพราะเห็นว่าบล็อกเกอร์คนดังๆหลายคนทำกันแล้วสวยดี
เราก็เลยค้นหาข้อมูลแล้วก็ดูรีวิวหลายๆที่เพื่อตัดสินใจ ส่วนมากเราก็จะดูว่าแต่ละคนถนัดแนวไหน สายฝอ สายเกา
เพราะคุณหมอแต่ละคนจะปั้นปากไม่เหมือนกันค่ะ ถนัดไม่เหมือนกัน
การฉีดฟิลเลอร์เนี่ย ขึ้นกับฝีมือคุณหมอ 70% เลยค่ะ
แล้วในบรรดาคลินิกทั้งหมด ส่วนตัวเราชอบ Classy Clinic ที่สุด
เพราะอย่างที่เห็นคือเราเป็นคนปากมีทรงกระจับอยู่แล้ว แต่ว่าปากเราค่อนข้างเล็กมาก
แล้วเรามีความฝันอยากได้ปากที่อวบอิ่มสไตล์เกาหลี มุมปากยิ้มนิดนึง
ที่นี่คุณหมอจูนเค้าดังในเรื่องของปากยิ้มอยู่แล้ว ตรงกับความชอบของเรา
แล้วเลยตัดสินใจไปทำที่นี่ ถึงจะราคาสูงกว่าเจ้าอื่นๆนิดหน่อย แต่เราก็ยอม
เพราะฟิลเลอร์ปากจะอยู่กับเราไป 1-2 ปี อยากสวยต้องลงทุน เพราะมันคุ้มค่าาาา
ส่วนตัวแล้วเราเป็นคนปากมีรูปกระจับอยู่แล้ว
แต่ปากค่อนข้างเล็กค่ะทำให้เวลาแต่งหน้าต้องทาลิปเกินขอบปากนิดนึง
ตอนเข้ามามินก็คุยกับพี่ที่เค้าท์เตอร์ก่อน ปรึกษาเกี่ยวกับทรงปาก
อย่างที่บอกไปมินชอบรูปปากตัวเองอยู่แล้ว แต่อยากให้ปากบนหนาขึ้นนิดนึง
มุมปากยกขึ้น แล้วชอบให้ปากล่างหน้ากว่าปากบนค่ะ
คลินิกหน้าตาสวยงาม มีที่จอดรถ และร้านกาแฟให้คุณผู้ชายที่พาแฟนมานั่งค่ะ
สามารถค้นหาวิธีการเดินทางจาก Google Map ได้เลย
เราก็คุยถามรายละเอียดเกี่ยวกับฟิลเลอร์แต่ละตัว
ซึ่งจริงๆแล้วฟิลเลอร์ที่ฉีดในวันนี้จะเป็นของอเมริกาชื่อ Juvederm ที่หลายๆคนคุ้นกันดี
เพราะมีประสิทธิภาพสูงสุดและดีสุดในตอนนี้ค่ะ มีหลายแบบให้เลือกขึ้นอยู่กับว่าปัญหาของแต่ละคนเป็นยังไง
เช่น เน้นรูปทรงปาก เน้นอวบอิ่ม แล้วก็มีฟิลเลอร์อื่นๆอีกหลายตัว เช่น Neuramis ฟิลเลอร์เกาหลี
แต่ตัว Neuramis ที่ผ่านอย.ในไทยยังไม่มีตัวที่ผสมยาชา ถ้าฉีดปาก รับรองเจ็บแน่ๆ
(ปากเป็นบริเวณที่เจ็บที่สุดในหน้าเลยค่ะ หลายๆคนบอกมา) แต่ตัวของ Juvederm เนี่ยจะมีส่วนผสมของ Lidocane ซึ่งเป็นยาชา
ทำให้โอกาสเจ็บน้อยกว่ามากๆ
ที่สำคัญฟิลเลอค์ที่ทาง Classy Clinicนำมาใช้ เป็นฟิลเลอร์แท้ ผ่านอย. สามารถตรวจสอบที่บริษัทนำเข้าได้เลยค่ะ มั่นใจหายห่วง
จากนั้นเค้าก็จะพาไปถ่ายรูปเก็บประวัติ
แล้วทางพยาบาลก็จะพาไปทายาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ 30 นาทีค่ะ
ความรู้สึกระหว่างฉีดฟิลเลอร์::
ตอนที่ฉีดปากกับคุณหมอจูนจะมีพยาบาลมาประคบน้ำแข็งให้ค่ะ คุณหมอก็จะค่อยๆฉีดฟิลเลอร์เข้ากับรูปปากของเรา
ระหว่างฉีดเราก็หลับตาไม่กล้ามอง แต่จากความรู้สึกตอนฉีด ส่วนตัวเราคิดว่ามันจะเจ็บกว่านี้
แต่สำหรับเราคือ มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นนะ ส่วนตัวมองว่าทนได้
มันจะมีแค่ตอนที่ฉีดตรงกระจับปากที่เจ็บที่สุด น้ำตาเกือบไหล มันจะเจ็บลึกๆ เหมือนกดสิวเฉยๆ
โดยรวมคือถือว่าเจ็บไว้น้อยกว่าที่คิดค่ะ
พอฉีดทันทีเป็นแบบนี้ค่ะ มันจะมีความบวมอยู่นะแต่รูปปากคือสวยขึ้นอิ่มขึ้นทันทีเลย แฮปปี้มาก
มีความจุ๊บุสุดๆ ><
ทางคลินิกก็จะมียาแก้อักเสบ กับ วิธีปฏิบัติตัวให้อ่านค่ะ
วิธีการใช้ชีวิตในช่วง 2 สัปดาห์แรกคือ งดของร้อน งดแอลกอฮอลล์ งดนวดหน้า งดเจอความร้อน
และพยายามดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์อิ่มฟูนะคะ
ในวันแรกเรารู้สึกปวดกระบมที่ปากหลังฤทธิ์ยาชาหาย เลยกินยาพาราแก้ปวดไปเม็ดนึงค่ะ แต่วันถัดมาก็เริ่มใช้ชีวิตได้ปกติ
วันที่ 2-3 ปากจะบวมกว่าวันแรก ทำให้กินอะไรลำบากนิดนึงนะคะ และจะยังไม่ชินปากตัวเองเท่าไหร่
ส่วนเรื่องรอยช้ำจะอยู่ราวๆ 4-5 วันหลังฉีดนะคะ ประมาณวันที่ 7 ปากจะเริ่มหายบวมแล้วก็รอยช้ำจางลงค่ะ
และเราจะรู้สึกว่าปากที่ฉีดเป็นปากของเรามากขึ้น ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
แล้วฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่เต็มที่ในวันที่ 14 เป็นต้นไปค่ะ
ซ้าย-ขวา: ก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์กับคุณหมอจูน (ไม่ทาลิป)
ซ้าย-ขวา: ก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์กับคุณหมอจูน (ทาลิปสติก)
ซ้าย-ขวา: ก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์กับคุณหมอจูน (หน้าเต็มๆ)
โดยรวมคือปลื้มมากๆเลยค่ะ ญาติๆลุงๆที่เจอ แซวว่าไปทำอะไรมา ทำไมดูหน้าเด็กขึ้นนะ 5555
แล้วเวลาสวอชทาลิปสติก คือปากสวยมากกๆๆๆๆ ปากอิ่ม ดูยิ้ม ดูอารมณ์ดีตลอดเวลา ชอบมากค่ะ
สำหรับใครที่สนใจคือลองเข้าไปปรึกษาคุณหมอดูก่อนก็ได้ค่ะ
แนะนำว่าอาจจะเอารูป ref. ไปให้คุณหมอช่วยดูด้วยว่าเราทำได้มั้ย
วันนี้ขอลาไปก่อนนะคะ บ๊ายบายยยย
[CR] รีวิวฉีดฟิลเลอร์ปากสายเกาหลี ฉบับรีวิวละเอียด มีรูปอัพเดตตั้งแต่ฉีดยันหายบวม! ที่ Classy Clinic
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้