ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องยกโรงฉายเกือบทั้งหมดให้กับ Star Wars The Ris of Skywalker ไปเต็มๆ แต่ก็โชคดีที่ยังมีหนังเรื่องนี้เข้าฉายในรอบพิเศษ เลยทำให้มีตัวเลือกเพิ่มเติมขึ้นอีก ซึ่งเรื่องนี้เป็นภาคต่อของภาคแรก Jumanji Welcome to the Jungle ซึ่งทิ้งท้ายไว้แล้วว่ามีภาคต่อแน่ๆ แล้วก็มาด้วยระยะห่างกันไม่ถึงสองปีดี ซึ่งภาคนี้ก็จัดความสนุกมาแบบมาตรฐานไม่ตก พร้อมตัวละครใหม่ที่โผล่มาสร้างสีสัน
ภาคนี้เป็นภาคที่บอกเล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรก เมื่อเหล่าตัวละครเอกต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตที่มีสีสันของตัวเอง และกลับมานัดรวมตัวกัน มีเพียง “สเปนเซอร์” คนเดียวที่คิดว่าชีวิตตัวเองติดอยู่กับความน่าเบื่อ จึงตัดสินใจกลับเข้าไปในเกม Jumanji อีกครั้ง ก่อนที่เพื่อนๆ จะรู้เรื่องและตามเข้าไปช่วย แต่ดันจับพลัดจับผลูลาก “เอ็ดดี้” คุณตาของ “สเปนเซอร์” และเพื่อนซี๊คู่กัดของคุณตา “ไมโล” เข้าไปในเกมด้วย ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องเดา
ว่าด้วยเรื่องของการเล่าเรื่อง หนังเดินเรื่องตามสูตรเดิมเป๊ะๆ หลังจากเข้าสู่เกม จุดที่ขำคือการแนะนำตัวละครว่าใครหลุดเข้ามาเป็นใคร นักแสดงแต่ละคนที่รับบทตัวละครในเกมจะเลียนแบบลักษณะท่าทางของตัวละครนอกเกมได้ค่อนข้างฮา ดูแล้วก็ขำวิธีการล้อเลียนของแต่ละคน แต่มุขตลกช่วงแรกๆ ที่แนะนำความเป็นเกม Jumanji ยังใช้มุขเดิมที่เราเคยเห็นในภาคแรกมาเล่นอยู่ ก็พอขำได้นิดหน่อย แต่คงไม่ได้ฮามากเพราะเราเห็นมาแล้วในภาคแรก
ภาคนี้มีตัวละครนอกเกมเพิ่มเข้ามา ดังนั้นในเกมก็จะต้องมีตัวอื่นเพิ่มด้วย ให้ไปดูเองดีกว่าว่าใครเป็นใคร และตัวละครทั้งหมดจะมีสกิลบางอย่างเพิ่มเข้ามา ทั้งในด้านบวกและด้านลบ แต่หนังกลับไม่ได้เอาด้านลบมาใช้ให้เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่ อุตส่าห์คิดมา แต่กลับลืมมันไปจากเรื่องเลย ด้านฉากก็เปลี่ยนจากป่ามาเป็นทะเลทรายในตอนต้นเรื่อง แล้วค่อยเข้าสู่ป่าและภูเขาน้ำแข็ง แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากฉากแต่ละฉากเช่นกัน เหมือนฉากเป็นแค่ด่านแต่ละด่านให้ตัวละครมาวิ่งผ่านด้วยอุปสรรคเล็กๆ
ภาคนี้เหมือนจะลดความฮาลง แต่กลับไปเน้นทางด้านดราม่าของตัวละครแต่ละคู่แทน ซึ่งบางฉากบางตอนเหมือนหนังจะยัดเยียดดราม่าเข้ามาให้คนดูโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ ทำให้อารมณ์หนังมันติดขัดกุกกักตลอดทาง เช่น ดราม่าระหว่าง ไมโล กับ เอ็ดดี้ หรือระหว่าง สเปนเซอร์ กับ มาร์ธา ซึ่งบางฉากความสนุกมันสะดุดลงด้วยดราม่าที่หนังยัดเข้ามาเนี่ยแหละ
สิ่งที่หนังยังคงมาตรฐานไว้อยู่คือเรื่องของฉาก CG ที่จัดหนักจัดเต็มเหมือนภาคแรก หลายๆ ฉากดูสนุกขึ้นมากเพราะ CG ที่สวยงามและน่าตื่นเต้น ความอลังการของป่า หรือภูเขาหิมะ หรือแม้แต่ในทะเลทราย หนังทำออกมาได้ค่อนข้างยอดเยี่ยมไม่แพ้ภาคแรก ซึ่งหนังใส่มาเยอะมาก เรียกว่าดูฉากสวยๆ อลังการๆ กันอย่างเต็มอิ่มสะใจ ส่วนเรื่องที่เป็นจุดอ่อนก็อาจจะเป็นเรื่องของตัวร้ายล่ะมั๊ง ที่ท่าทางน่าจะโหดมาก แต่กลับไม่มีอะไรให้ลุ้นจากตัวร้ายตัวนี้สักเท่าไหร่
หนังยังคงมาตรฐานความสนุกไว้ได้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นกว่าเดิมเท่าไหร่นัก แถมยังลดความฮา เพิ่มดรม่าเข้าไป คนที่ไม่อินกับดราม่าก็จะไม่ค่อยชอบตรงจุดที่โดนยัดเยียดสักเท่าไหร่ ก็ดูเพลินๆ แหละครับ แต่คงไม่ถึงกับดีมากต้องจดจำเอาไว้ ก็คงไม่ใช่
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[CR] [#Review] Jumanji The Next Level เกมดูดโลก ตะลุยด่านมหัศจรรย์ - รักษามาตรฐานความสนุก แต่ลดความฮาและเพิ่มดราม่า
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องยกโรงฉายเกือบทั้งหมดให้กับ Star Wars The Ris of Skywalker ไปเต็มๆ แต่ก็โชคดีที่ยังมีหนังเรื่องนี้เข้าฉายในรอบพิเศษ เลยทำให้มีตัวเลือกเพิ่มเติมขึ้นอีก ซึ่งเรื่องนี้เป็นภาคต่อของภาคแรก Jumanji Welcome to the Jungle ซึ่งทิ้งท้ายไว้แล้วว่ามีภาคต่อแน่ๆ แล้วก็มาด้วยระยะห่างกันไม่ถึงสองปีดี ซึ่งภาคนี้ก็จัดความสนุกมาแบบมาตรฐานไม่ตก พร้อมตัวละครใหม่ที่โผล่มาสร้างสีสัน
ภาคนี้เป็นภาคที่บอกเล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรก เมื่อเหล่าตัวละครเอกต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตที่มีสีสันของตัวเอง และกลับมานัดรวมตัวกัน มีเพียง “สเปนเซอร์” คนเดียวที่คิดว่าชีวิตตัวเองติดอยู่กับความน่าเบื่อ จึงตัดสินใจกลับเข้าไปในเกม Jumanji อีกครั้ง ก่อนที่เพื่อนๆ จะรู้เรื่องและตามเข้าไปช่วย แต่ดันจับพลัดจับผลูลาก “เอ็ดดี้” คุณตาของ “สเปนเซอร์” และเพื่อนซี๊คู่กัดของคุณตา “ไมโล” เข้าไปในเกมด้วย ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องเดา
ว่าด้วยเรื่องของการเล่าเรื่อง หนังเดินเรื่องตามสูตรเดิมเป๊ะๆ หลังจากเข้าสู่เกม จุดที่ขำคือการแนะนำตัวละครว่าใครหลุดเข้ามาเป็นใคร นักแสดงแต่ละคนที่รับบทตัวละครในเกมจะเลียนแบบลักษณะท่าทางของตัวละครนอกเกมได้ค่อนข้างฮา ดูแล้วก็ขำวิธีการล้อเลียนของแต่ละคน แต่มุขตลกช่วงแรกๆ ที่แนะนำความเป็นเกม Jumanji ยังใช้มุขเดิมที่เราเคยเห็นในภาคแรกมาเล่นอยู่ ก็พอขำได้นิดหน่อย แต่คงไม่ได้ฮามากเพราะเราเห็นมาแล้วในภาคแรก
ภาคนี้มีตัวละครนอกเกมเพิ่มเข้ามา ดังนั้นในเกมก็จะต้องมีตัวอื่นเพิ่มด้วย ให้ไปดูเองดีกว่าว่าใครเป็นใคร และตัวละครทั้งหมดจะมีสกิลบางอย่างเพิ่มเข้ามา ทั้งในด้านบวกและด้านลบ แต่หนังกลับไม่ได้เอาด้านลบมาใช้ให้เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่ อุตส่าห์คิดมา แต่กลับลืมมันไปจากเรื่องเลย ด้านฉากก็เปลี่ยนจากป่ามาเป็นทะเลทรายในตอนต้นเรื่อง แล้วค่อยเข้าสู่ป่าและภูเขาน้ำแข็ง แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากฉากแต่ละฉากเช่นกัน เหมือนฉากเป็นแค่ด่านแต่ละด่านให้ตัวละครมาวิ่งผ่านด้วยอุปสรรคเล็กๆ
ภาคนี้เหมือนจะลดความฮาลง แต่กลับไปเน้นทางด้านดราม่าของตัวละครแต่ละคู่แทน ซึ่งบางฉากบางตอนเหมือนหนังจะยัดเยียดดราม่าเข้ามาให้คนดูโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ ทำให้อารมณ์หนังมันติดขัดกุกกักตลอดทาง เช่น ดราม่าระหว่าง ไมโล กับ เอ็ดดี้ หรือระหว่าง สเปนเซอร์ กับ มาร์ธา ซึ่งบางฉากความสนุกมันสะดุดลงด้วยดราม่าที่หนังยัดเข้ามาเนี่ยแหละ
สิ่งที่หนังยังคงมาตรฐานไว้อยู่คือเรื่องของฉาก CG ที่จัดหนักจัดเต็มเหมือนภาคแรก หลายๆ ฉากดูสนุกขึ้นมากเพราะ CG ที่สวยงามและน่าตื่นเต้น ความอลังการของป่า หรือภูเขาหิมะ หรือแม้แต่ในทะเลทราย หนังทำออกมาได้ค่อนข้างยอดเยี่ยมไม่แพ้ภาคแรก ซึ่งหนังใส่มาเยอะมาก เรียกว่าดูฉากสวยๆ อลังการๆ กันอย่างเต็มอิ่มสะใจ ส่วนเรื่องที่เป็นจุดอ่อนก็อาจจะเป็นเรื่องของตัวร้ายล่ะมั๊ง ที่ท่าทางน่าจะโหดมาก แต่กลับไม่มีอะไรให้ลุ้นจากตัวร้ายตัวนี้สักเท่าไหร่
หนังยังคงมาตรฐานความสนุกไว้ได้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นกว่าเดิมเท่าไหร่นัก แถมยังลดความฮา เพิ่มดรม่าเข้าไป คนที่ไม่อินกับดราม่าก็จะไม่ค่อยชอบตรงจุดที่โดนยัดเยียดสักเท่าไหร่ ก็ดูเพลินๆ แหละครับ แต่คงไม่ถึงกับดีมากต้องจดจำเอาไว้ ก็คงไม่ใช่
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้