[CR] kfctherevieWER: A Beautiful Day in the Neighborhood บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะหาคนมาเตือนสติและเป็นมิตรต่อเรา [สปอยล์]

[brief] แม้เราอาจหาคนแบบคุณโรเจอร์ส ที่จะมาเตือนสติและอยู่เคียงข้างเราได้ยากก็ตามทีในปัจจุบัน แต่ A Beautiful Day in the Neighborhood ก็ทำให้เราได้มีโอกาสทบทวนตัวตน ความสัมพันธ์ และความหมายของการให้อภัย ผ่านท่าทีอันอบอุ่นและเป็นมิตรได้ ไม่ต่างจากการมีคุณโรเจอร์สมาเป็นเพื่อนบ้านที่เปิดใจรับฟัง ให้พลังบวก และสร้างวันดี ๆ ให้แก่เรา
.
.
“บางครั้ง ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้อภัยคนที่เรารัก” 
.
เชื่อว่าเด็กเล็กหลายคนที่ได้ยินอาจไม่เข้าใจถึงความหมายของประโยคนี้ หากไม่มีผู้ใหญ่มาค่อย ๆ อธิบายให้กระจ่าง และว่ากันตามตรง ผู้ใหญ่หลายคนเองก็ยังไม่เข้าใจประโยคนี้เลย หากผู้ใหญ่เหล่านั้นมีความบาดหมางบางอย่างกับคนที่ตัวเองรัก แล้วยังไม่พร้อมเปิดใจให้อภัยกัน 
.
แล้วใครกันล่ะที่จะเตือนสติผู้ใหญ่เหล่านั้นได้ 
.
หากใครคนนั้นเป็นพิธีกรรายการเด็กล่ะ นั่นจะเป็นไปได้ไหมที่ผู้ใหญ่เหล่านั้นจะยอมรับฟัง
.
บางที A Beautiful Day in the Neighborhood อาจตอบคำถามข้างบนได้ในช่วงเวลานี้
.
A Beautiful Day in the Neighborhood เล่าเรื่องราวของ Lloyd Vogel (Matthew Rhys) คุณพ่อมือใหม่และนักข่าวสายชนประจำนิตยสาร Esquire เขามีปัญหาบาดหมางกับ Jerry (Chris Cooper) พ่อของเขาที่กลับเข้ามาในครอบครัวอีกครั้ง เมื่อเขาได้รับมอบหมายให้ไปสัมภาษณ์ Fred Rogers (Tom Hanks) พิธีกรรายการเด็กชื่อดัง ลอยด์นั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าความเป็นมิตรและความอบอุ่นในตัวคุณโรเจอร์สนั้น เขาแสร้งทำหรือว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ยิ่ง Lloyd ได้สัมภาษณ์ ได้พูดคุยกับคุณโรเจอร์สมากเท่าไหร่ ความเป็นมิตรและท่าทีอ่อนโยนของคุณโรเจอร์สนั้นยิ่งช่วยให้ลอยด์ได้สำรวจและเยียวบาดแผลในใจมากขึ้นเท่านั้น
.
ตัวละครอย่างลอยด์และคุณโรเจอร์สนั้นเปรียบเสมือนหยินกับหยางสำหรับผม ลอยด์นั้นดูเครียด (แอบ)เอาแต่ใจ และพร้อมชนกับทุกคนตลอดเวลา แต่กระนั้น เขาก็กล้าเขียนบทความบนหลักความจริง (ดังที่เราจะเห็นได้จากคำเตือนของบก.นิตยสาร) แม้ว่านั่นจะเป็นการเปิดโปงเจ้าของเรื่องก็ตาม ตั้งแต่การพบกันครั้งแรก ลอยด์ก็พยายามจับผิดว่าคุณโรเจอร์สนั้นแสร้งทำตัวดีอยู่ตลอด ดังที่เขาทำกับคนที่ไปสัมภาษณ์คนอื่น ๆ แต่พอเวลาผ่านไป คนที่ถูกเปิดใจนั้นกลับเป็นลอยด์เสียเอง การได้พบกับคุณโรเจอร์ส ทำให้เกิดคำถามต่อบทบาท “ความเป็นลูกและความเป็นพ่อ” ของลอยด์ ซึ่งเราเห็นได้เลยว่าเขานั้นก็มีความบกพร่องในหน้าที่ทั้งสองบทบาท แต่ไม่ได้พยายามเปิดใจให้อภัยเจอร์รี่ผู้สำนึกผิด หรือไม่ได้พยายามให้เวลาดูแลลูกน้อย และยกเรื่องงานมาเป็นข้ออ้างให้ Andrea (Susan Kelechi Watson) ภรรยาเป็นคนดูแลลูกเป็นหลักแทน แต่ในช่วง "การค้นพบ" ของหนัง เมื่อคุณโรเจอร์สค่อย ๆ ให้ลอยด์หลับตาแล้วทบทวนตัวตนของตัวเองว่าเขาคือใคร และทบทวนความสัมพันธ์อันร้าวฉานกับพ่ออย่างอ้อม ๆ ซึ่งนำไปสู่การให้อภัยและทำให้ลอยด์ได้อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตเจอร์รี่ ไม่ได้ทำผิดแบบที่เจอร์รี่เคยทิ้งเขาและครอบครัวไปในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตภรรยาเจอร์รี่เอง นอกจากนี้ ลอยด์นั้นก็แบ่งเวลางานแล้วมาทำหน้าที่พ่อของลูกมากขึ้น ใส่ใจขึ้น  ไม่ได้ผลักภาระให้แอนเดรียจัดการเพียงคนเดียวอีกต่อไป
.
อุปนิสัย ท่าทีอันเป็นมิตร รวมไปถึงคำพูดของคุณโรเจอร์ส ทั้งประโยคอย่าง “บางครั้ง ก็เป็นการยากที่จะให้อภัยคนที่เรารัก” “การเป็นพ่อแม่ก็ทำให้เราได้เติบโตอีกครั้ง” “อะไรที่พูดถึงได้ก็จัดการได้” นั้น ล้วนมาจากการพยายามเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต และการเปิดใจกว้างรับฟังคนอื่นของคุณโรเจอร์ส ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทำให้ลอยด์ (และพวกเราด้วย) เห็นว่าเขากลายเป็นพ่อพระ แต่คุณโรเจอร์สนั้นบอกว่าเขาเองไม่ได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ เขายอมรับว่าเขาเองก็ต้องฝึกควบคุมสติและความใจเย็นอยู่ตลอด หลังจากที่เคยหยุดจัดรายการไปสักระยะและเคยมีปัญหากับลูก ๆ  คุณโรเจอร์สจึงรู้ว่ายังมีเรื่องราวมากมายให้เด็กทั่วอเมริกาได้เรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ ชีวิต และความเป็นจริงทั้งดีและร้ายบนโลกใบนี้ นั่นทำให้เขากลับมาเป็น “เพื่อนบ้าน” อันแสนอบอุ่นของเด็ก ๆ และอเมริกันชนผ่านหน้าจอทีวีอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ การเลือกลอยด์มาเป็นคนสัมภาษณ์เขา เนื่องจากเขาเห็นว่าลอยด์ก็เพิ่งมีลูกและเห็นตัวตนบางอย่างในบทความของลอยด์ ทำให้คุณโรเจอร์สได้มีส่วนร่วมประสานรอยร้าว และสร้าง “วันดี ๆ” ให้แก่ครอบครัวของลอยด์ได้ในตอนท้าย กระนั้นก็ดี คุณโรเจอร์สก็มีความอึดอัดใจจากการรับฟังและเห็นเรื่องราวหนัก ๆ  ของคนอื่นเช่นกัน และสิ่งที่เขาทำเพื่อระบายความหนักใจ ไม่ใช่การโวยวายหรือแสดงความเกลียดชัง แต่เป็นการกระทุ้งแป้นเปียโนดัง ๆ แล้วค่อย ๆ บรรเลงเพลง ดังจะเห็นได้ในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งเน้นย้ำว่าเขานั้นก็คือปุถุชนคนหนึ่ง ที่ยังต้องพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆ และควบคุมตัวเองในทุก ๆ วัน
.
ผมชอบที่หนังเล่าเรื่องราวของลอยด์ผ่านรายการเด็กของคุณโรเจอร์ส มีการใช้เมืองย่อส่วนเป็น transition บอกถึงสถานที่/ช่วงเวลาในแต่ละฉาก (ซึ่งเห็นแล้วก็น่ารักและชวนถวิลหาอดีตมาก ๆ) เรา-ผู้เป็นคนดู-นั้นก็เหมือนเด็ก ๆ ที่กำลังชมรายการคุณโรเจอร์สอยู่ แม้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวของลอยด์จะหนักและซับซ้อนเกินกว่าที่เด็ก (ในบางครั้งรวมไปถึงผู้ใหญ่ด้วย) จะเข้าใจ แต่คุณโรเจอร์ก็ค่อย ๆ ใช้ความอ่อนโยน พาเราไปสำรวจความเจ็บปวด และการก้าวข้ามผ่านความหมองมัวในใจของลอยด์ องค์ประกอบของหนัง ทั้งการกำกับ บท การแสดง (โดยเฉพาะตัวละครหลักของ Hanks และ Rhys) การออกแบบ และทุกอย่างนั้น สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้หนังได้ ทำให้เรายิ้ม ซึ้ง และมีอารมณ์ร่วมตลอดเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ได้ตลอด ที่ประทับใจที่สุดสำหรับผมคือ ฉากร้านอาหารจีนในช่วง “การค้นพบ” ของเรื่องนี้ ที่ทำให้เราได้ทบทวนตัวตนและความหมายของคำว่า “ให้อภัย” ได้ ผ่านความเงียบ และสายตาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าอกเข้าใจของคุณโรเจอร์ส ฉากนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า บางครั้ง (หรือหลายครั้ง) เราก็ต้องการใครสักคนที่จะมาปลอบประโลมและเตือนสติเราอยู่ข้าง ๆ ใครคนนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายกับเรา แต่ขอเพียงเขาเปิดใจให้เรา และทำให้เราเปิดใจให้เขาได้ เท่านั้นก็พอแล้ว 
.
แม้ในปัจจุบันนั้น เราอาจหาคนแบบคุณโรเจอร์ส ที่จะมาเตือนสติและอยู่เคียงข้างเราได้ยากก็ตามที แต่ A Beautiful Day in the Neighborhood ก็ทำให้เราได้ทบทวนตัวตน ความสัมพันธ์ และความหมายของการให้อภัย ผ่านท่าทีอันอบอุ่นและเป็นมิตรได้ ไม่ต่างจากการมีคุณโรเจอร์สมาเป็น “เพื่อนบ้าน” ที่เปิดใจรับฟัง ให้พลังบวก และสร้างวันดี ๆ ให้แก่เราได้ ใครอยากพบกับเพื่อนบ้านแสนดี คุณโรเจอร์ส ก็ไปพบเขาได้ที่บ้าน House Samyan หลังเดียวเท่านั้นนะครับ 
.
สวัสดีครับ
.
ติดตาม #kfctherevieWER ได้ทาง twitter @kfcthereviewer ขอบคุณครับ : )
.
ชื่อสินค้า:   A Beautiful Day in the Neighborhood
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่