Star Wars : The Rise of Skywalker - (5.5/10)
_________________________________________
.
"ไตรภาคที่น่าเสียดายกับทางลงที่เกือบหาไม่เจอ...."
.
การปิดตำนานไตรภาค Star Wars ในยุคใหม่ (ที่ใครหลายคนเฝ้ารอ?) ก็ได้มาถึงหลังจากความพังพินาศในภาคที่แล้วของ Star Wars : The Last Jedi ที่ปู้ยี้ปู้ยำไว้อย่างยับเยิน จนทางดิสนีย์ต้องเรียกให้ J.J. Abrams กลับมากำกับอีกครั้งเพื่อปิดตำนานไตรภาคนี้ลงให้ได้ โดยต้องยอมรับอย่างนึงเลยว่านี่เป็นเรื่องที่ท้าทายและยากมากๆสำหรับผู้กำกับคนหนึ่ง ที่ต้องมาสานต่อสิ่งที่เหลือจากการทำลายสิ่งที่สร้างมาในภาคที่แล้ว
.
ตอนที่ The Last Jedi จบ ผมต้องขอบอกเลยว่านึกไม่ออกจริงๆ ว่าภาคสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะสำหรับผมมันเหมือนจบไปแล้วในภาค The Last Jedi (จบแบบสิ้นคิด) ซึ่งมันส่งผลทำให้ภาคสุดท้ายนี้มีปัญหาในการเล่าเรื่องอย่างมากถึงมากที่สุด เพราะทุกอย่างเริ่มใหม่หมด และดันต้องจบในภาคเดียวด้วย ลองนึกภาพว่า Avengers Infinity Wars + Endgame รวมเป็นภาคเดียว และมีความยาวแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง คุณจะเล่าเนื้อหาและบิ้วให้คนดูอินไปกับฉากจบได้ยังไง นั่นคือสิ่งที่ J.J พยายามที่จะทำในภาคนี้ แต่มันยากเกินไปจริงๆ สิ่งที่ Rian Johnson ทำไว้มันเข้าขั้น"เลว"เกินไป เพราะ Rian ทำลายบทที่ J.J. พยายามปูมาทั้งหมดในภาค Force Awakens
.
เอาจริงๆ คุณลองคิดดูว่าคุณจะจบไตรภาคนี้ยังไง ในเมื่อภาคก่อนมันไม่สร้างอารมณ์บิ้วหรือเนื้อเรื่องที่น่าติดตามต่อเลย มันเหมือนเริ่มจาก 0 ใหม่หมด เสียดายภาค Force Awakens ที่ J.J. สร้างมามาก คือถึงแม้มันจะใช้กิมมิคของภาคก่อนๆมา แต่มันเป็นหนังที่ดีและน่าดูเรื่องนึงเลย ถ้าเทียบกับภาคทั้งหมด ผมก็ให้ภาค Force Awakens อยู่อันดับท๊อปๆเลยละ อย่างไรก็ตามกลับมาที่ภาค The Rise of Skywalker นี้ อย่างที่เราได้เห็นไปแล้วในตัวอย่างว่า Emperor Palpatine ได้กลับมา (ไม่ว่าด้วยวิธีไรก็ตามอันนี้ไม่ขอสปอยล์) ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ดูไม่ make sense ตั้งแต่ตัวอย่างแล้วละว่ามันจะกลับมาทำไม แต่ก็คิดว่าคงจำเป็นต้องหาทางเอากลับมาเพื่อสร้างตัวร้ายในภาคนี้ เพราะการที่จะเอา Kylo ren เป็นบอสใหญ่คงไม่น่าสนใจเท่าไหร่
.
ต้องขอบอกว่าในภาค The Rise of Skywalker นี้ในช่วงแรกมีการดำเนินเนื้อเรื่องที่เร็วและเนื้อเรื่องที่เยอะพอสมควร รวมไปถึงตัวละครที่เยอะยิ่งกว่า เมื่อหนังมีเนื้อเรื่องที่ต้องเล่าเยอะมาก หนังจึงประสบปัญหาในการดำเนินเรื่องอย่างหนักมาก เราจะเห็นได้เลยว่าหนังเล่าเรื่องแบบให้นักแสดงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ซึ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่อง เพราะหนังไม่มีเวลาพอที่จะใช้การดำเนินเรื่องแบบที่หนังปกติทำกัน อย่างการเล่าผ่านฉากหรือเล่าผ่านการกระทำของตัวละคร หนังให้ตัวละครพูดเลยว่าจะทำอะไร แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นอยู่ จนมันเหมือนท่องบทให้คนดูฟัง ซึ่งมันเละเทะไม่เป็นท่า จนเหมือนดูหนัง Fan-made ที่รายการ Jimmy Kimmel ทำคั่นรายการ TV Show หรือกำลังดู Parody ใน Big-Bang Theory อยู่
.
หนังยังพยายามคั่นด้วยมุกตลกที่ดูถูกสติปัญญาคนดู อยู่หลายฉาก ซึ่งนอกจากทำให้ตัวละครดูตลกแล้ว มันทำให้หนังดรอปลงทุกครั้งที่ฉากแบบนั้นโผล่มา หนังเริ่มที่จะดูเป็นรูปเป็นร่างหลังจากผ่าน 1 ชั่วโมงแรกของหนังไปแล้ว ซึ่งพอเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางเรื่องถึงท้ายเรื่องที่เนื้อหาหนังน้อยลง เพราะพูดอัดไปตอนต้นหมดแล้ว ก็ทำให้หนังดูเป็นหนังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เราเริ่มที่จะเห็นการแสดงของแต่ละตัวละครมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้เรารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของตัวละครตัวนั้นๆ เมื่อมาขมวดเข้ากับปมในตอนท้ายที่นำไปสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้าย ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว ถึงแม้จะมีจุดที่น่าหงุดหงิดมากอยู่แต่ถ้านับจากกลางเรื่องลงมาจนจบ ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 คะแนน แต่พอเฉลี่ยรวมแล้วนั้นมันก็ยังเป็นการปิดไตรภาคที่แย่จริงๆ แย่ที่มันสามารถที่จะทำได้เท่านี้ แย่ที่เราเห็นว่าเค้าพยายามแล้วจริงๆ แต่มันยับเยินไปหนักมากแล้วจากภาคก่อน ถ้าตัดเรื่องความเห็นใจตรงนี้ออกไปแล้ววัดที่หนังโดยตรง ก็ตามที่ให้ในรูปเลยครับ เพราะความไม่สมเหตุสมผลในภาคนี้มันน่าหงุดหงิดจนชวนอยากจะเดินออกจากโรงตลอดเวลา
.
ตัวละคร ฟินน์ ที่มีบทที่สำคัญเพราะเป็นถึงคู่สหายนางเอก และเป็นตัวละครหลักในไตรภาคนี้ กลับกลายเป็นตัวละครที่ไร้จุดหมาย ไม่มีจุดมุ่งหมายของตัวละคร เพราะจากเดิมที่เคยมองว่าฟินน์นั้นจะมีบทสรุปของตัวละครด้วยการเผชิญหน้ากับฟาสม่า อดีตหัวหน้าของเขา แต่มันดันมาตายในภาคที่แล้วซะงั้น มันเลยทำให้ตัวละครตัวนี้ว่างเปล่า และไม่มีบทหรือความสำคัญไรใดๆกับเรื่องอีกเลย นอกจากตะโกนหาเรย์ไปวันๆ สิ่งที่คิดว่าไตรภาคนี้ล้มเหลวนั้น เป็นการที่หนังอิงหนักไปที่ตัวละครเอกมากจนเกินไป จนทำให้เราไม่รู้สึกถึงคุณค่าของบทตัวละครรองเลย ไม่มีฉากที่จะให้จดจำด้วยซ้ำ คืออย่างฟินน์ คือชอบฉากที่สู้กับไคโล เรนมากในภาค Force Awakens แต่หลังจากนั้นตัวละครตัวนี้ก็ไม่มีผลอะไรกับไตรภาคนี้อีกเลย
.
แต่ในภาคนี้คือชอบตัวละครของ เบน โซโล หรือ ไคโล เรน มากที่สุด เพราะมีความเป็นมนุษย์ที่สุดแล้ว มีการตัดสินใจที่มีเหตุผลและได้เห็นพัฒนาการที่เด่นชัดจริงๆ ส่วน Knight of Ren ที่เคยพูดเอาไว้ในภาค Force Awakens ก็กลับมาในภาคนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เป็นส่วนที่น่าเสียดายเพราะมันควรที่จะมีบทบาทมากกว่านี้ ไม่ใช่ยัดๆเข้ามาให้มันจบสมบูรณ์ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ
.
สำหรับเรื่องการหักมุมที่มองว่าการหักมุมของหนังในไตรภาคนี้มันทำให้หนังดีหรืออะไรก็ตาม อยากให้กลับไปดู Infinity Wars ว่าการหักมุมที่ดีและการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลนั้นมันเป็นยังไง ทั้งๆที่เป็นหนังจากค่ายดิสนีย์เหมือนกัน แต่ถือว่าห่างชั้นจาก The Avengers หลายขุมมากๆเลยทีเดียว มันกลายเป็นหนังที่ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่ คอนเซปหลักที่หนังพยายามจะพูดถึงมันคืออะไรกันแน่ เป็นความพังพินาศครั้งใหญ่ที่ดิสนีย์จะต้องจดจำไปอีกนาน
สามารถติดตามต่อได้ที่เพจ facebook : โต๊ะดราฟตัวนั้น
https://www.facebook.com/TheDraftingTable/
[CR] Star Wars : The Rise of Skywalker (5.5/10) - ไตรภาคที่น่าเสียดายกับทางลงที่เกือบหาไม่เจอ....
_________________________________________
.
"ไตรภาคที่น่าเสียดายกับทางลงที่เกือบหาไม่เจอ...."
.
การปิดตำนานไตรภาค Star Wars ในยุคใหม่ (ที่ใครหลายคนเฝ้ารอ?) ก็ได้มาถึงหลังจากความพังพินาศในภาคที่แล้วของ Star Wars : The Last Jedi ที่ปู้ยี้ปู้ยำไว้อย่างยับเยิน จนทางดิสนีย์ต้องเรียกให้ J.J. Abrams กลับมากำกับอีกครั้งเพื่อปิดตำนานไตรภาคนี้ลงให้ได้ โดยต้องยอมรับอย่างนึงเลยว่านี่เป็นเรื่องที่ท้าทายและยากมากๆสำหรับผู้กำกับคนหนึ่ง ที่ต้องมาสานต่อสิ่งที่เหลือจากการทำลายสิ่งที่สร้างมาในภาคที่แล้ว
.
ตอนที่ The Last Jedi จบ ผมต้องขอบอกเลยว่านึกไม่ออกจริงๆ ว่าภาคสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะสำหรับผมมันเหมือนจบไปแล้วในภาค The Last Jedi (จบแบบสิ้นคิด) ซึ่งมันส่งผลทำให้ภาคสุดท้ายนี้มีปัญหาในการเล่าเรื่องอย่างมากถึงมากที่สุด เพราะทุกอย่างเริ่มใหม่หมด และดันต้องจบในภาคเดียวด้วย ลองนึกภาพว่า Avengers Infinity Wars + Endgame รวมเป็นภาคเดียว และมีความยาวแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง คุณจะเล่าเนื้อหาและบิ้วให้คนดูอินไปกับฉากจบได้ยังไง นั่นคือสิ่งที่ J.J พยายามที่จะทำในภาคนี้ แต่มันยากเกินไปจริงๆ สิ่งที่ Rian Johnson ทำไว้มันเข้าขั้น"เลว"เกินไป เพราะ Rian ทำลายบทที่ J.J. พยายามปูมาทั้งหมดในภาค Force Awakens
.
เอาจริงๆ คุณลองคิดดูว่าคุณจะจบไตรภาคนี้ยังไง ในเมื่อภาคก่อนมันไม่สร้างอารมณ์บิ้วหรือเนื้อเรื่องที่น่าติดตามต่อเลย มันเหมือนเริ่มจาก 0 ใหม่หมด เสียดายภาค Force Awakens ที่ J.J. สร้างมามาก คือถึงแม้มันจะใช้กิมมิคของภาคก่อนๆมา แต่มันเป็นหนังที่ดีและน่าดูเรื่องนึงเลย ถ้าเทียบกับภาคทั้งหมด ผมก็ให้ภาค Force Awakens อยู่อันดับท๊อปๆเลยละ อย่างไรก็ตามกลับมาที่ภาค The Rise of Skywalker นี้ อย่างที่เราได้เห็นไปแล้วในตัวอย่างว่า Emperor Palpatine ได้กลับมา (ไม่ว่าด้วยวิธีไรก็ตามอันนี้ไม่ขอสปอยล์) ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ดูไม่ make sense ตั้งแต่ตัวอย่างแล้วละว่ามันจะกลับมาทำไม แต่ก็คิดว่าคงจำเป็นต้องหาทางเอากลับมาเพื่อสร้างตัวร้ายในภาคนี้ เพราะการที่จะเอา Kylo ren เป็นบอสใหญ่คงไม่น่าสนใจเท่าไหร่
.
ต้องขอบอกว่าในภาค The Rise of Skywalker นี้ในช่วงแรกมีการดำเนินเนื้อเรื่องที่เร็วและเนื้อเรื่องที่เยอะพอสมควร รวมไปถึงตัวละครที่เยอะยิ่งกว่า เมื่อหนังมีเนื้อเรื่องที่ต้องเล่าเยอะมาก หนังจึงประสบปัญหาในการดำเนินเรื่องอย่างหนักมาก เราจะเห็นได้เลยว่าหนังเล่าเรื่องแบบให้นักแสดงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ซึ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่อง เพราะหนังไม่มีเวลาพอที่จะใช้การดำเนินเรื่องแบบที่หนังปกติทำกัน อย่างการเล่าผ่านฉากหรือเล่าผ่านการกระทำของตัวละคร หนังให้ตัวละครพูดเลยว่าจะทำอะไร แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นอยู่ จนมันเหมือนท่องบทให้คนดูฟัง ซึ่งมันเละเทะไม่เป็นท่า จนเหมือนดูหนัง Fan-made ที่รายการ Jimmy Kimmel ทำคั่นรายการ TV Show หรือกำลังดู Parody ใน Big-Bang Theory อยู่
.
หนังยังพยายามคั่นด้วยมุกตลกที่ดูถูกสติปัญญาคนดู อยู่หลายฉาก ซึ่งนอกจากทำให้ตัวละครดูตลกแล้ว มันทำให้หนังดรอปลงทุกครั้งที่ฉากแบบนั้นโผล่มา หนังเริ่มที่จะดูเป็นรูปเป็นร่างหลังจากผ่าน 1 ชั่วโมงแรกของหนังไปแล้ว ซึ่งพอเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางเรื่องถึงท้ายเรื่องที่เนื้อหาหนังน้อยลง เพราะพูดอัดไปตอนต้นหมดแล้ว ก็ทำให้หนังดูเป็นหนังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เราเริ่มที่จะเห็นการแสดงของแต่ละตัวละครมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้เรารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของตัวละครตัวนั้นๆ เมื่อมาขมวดเข้ากับปมในตอนท้ายที่นำไปสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้าย ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว ถึงแม้จะมีจุดที่น่าหงุดหงิดมากอยู่แต่ถ้านับจากกลางเรื่องลงมาจนจบ ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 คะแนน แต่พอเฉลี่ยรวมแล้วนั้นมันก็ยังเป็นการปิดไตรภาคที่แย่จริงๆ แย่ที่มันสามารถที่จะทำได้เท่านี้ แย่ที่เราเห็นว่าเค้าพยายามแล้วจริงๆ แต่มันยับเยินไปหนักมากแล้วจากภาคก่อน ถ้าตัดเรื่องความเห็นใจตรงนี้ออกไปแล้ววัดที่หนังโดยตรง ก็ตามที่ให้ในรูปเลยครับ เพราะความไม่สมเหตุสมผลในภาคนี้มันน่าหงุดหงิดจนชวนอยากจะเดินออกจากโรงตลอดเวลา
.
ตัวละคร ฟินน์ ที่มีบทที่สำคัญเพราะเป็นถึงคู่สหายนางเอก และเป็นตัวละครหลักในไตรภาคนี้ กลับกลายเป็นตัวละครที่ไร้จุดหมาย ไม่มีจุดมุ่งหมายของตัวละคร เพราะจากเดิมที่เคยมองว่าฟินน์นั้นจะมีบทสรุปของตัวละครด้วยการเผชิญหน้ากับฟาสม่า อดีตหัวหน้าของเขา แต่มันดันมาตายในภาคที่แล้วซะงั้น มันเลยทำให้ตัวละครตัวนี้ว่างเปล่า และไม่มีบทหรือความสำคัญไรใดๆกับเรื่องอีกเลย นอกจากตะโกนหาเรย์ไปวันๆ สิ่งที่คิดว่าไตรภาคนี้ล้มเหลวนั้น เป็นการที่หนังอิงหนักไปที่ตัวละครเอกมากจนเกินไป จนทำให้เราไม่รู้สึกถึงคุณค่าของบทตัวละครรองเลย ไม่มีฉากที่จะให้จดจำด้วยซ้ำ คืออย่างฟินน์ คือชอบฉากที่สู้กับไคโล เรนมากในภาค Force Awakens แต่หลังจากนั้นตัวละครตัวนี้ก็ไม่มีผลอะไรกับไตรภาคนี้อีกเลย
.
แต่ในภาคนี้คือชอบตัวละครของ เบน โซโล หรือ ไคโล เรน มากที่สุด เพราะมีความเป็นมนุษย์ที่สุดแล้ว มีการตัดสินใจที่มีเหตุผลและได้เห็นพัฒนาการที่เด่นชัดจริงๆ ส่วน Knight of Ren ที่เคยพูดเอาไว้ในภาค Force Awakens ก็กลับมาในภาคนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เป็นส่วนที่น่าเสียดายเพราะมันควรที่จะมีบทบาทมากกว่านี้ ไม่ใช่ยัดๆเข้ามาให้มันจบสมบูรณ์ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ
.
สำหรับเรื่องการหักมุมที่มองว่าการหักมุมของหนังในไตรภาคนี้มันทำให้หนังดีหรืออะไรก็ตาม อยากให้กลับไปดู Infinity Wars ว่าการหักมุมที่ดีและการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลนั้นมันเป็นยังไง ทั้งๆที่เป็นหนังจากค่ายดิสนีย์เหมือนกัน แต่ถือว่าห่างชั้นจาก The Avengers หลายขุมมากๆเลยทีเดียว มันกลายเป็นหนังที่ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่ คอนเซปหลักที่หนังพยายามจะพูดถึงมันคืออะไรกันแน่ เป็นความพังพินาศครั้งใหญ่ที่ดิสนีย์จะต้องจดจำไปอีกนาน
สามารถติดตามต่อได้ที่เพจ facebook : โต๊ะดราฟตัวนั้น
https://www.facebook.com/TheDraftingTable/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้