+++ใกล้วันเดินทาง! ส่องคู่แข่งร่วมกลุ่ม "ช้างศึก" พร้อมแค่ไหน กับ ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย+++

กระทู้สนทนา
************************************
“รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
ข้อคิดเชิงปรัชญา เกี่ยวกับการออกรบจากผู้เขียนตำราพิชัยสงคราม “ซุน วู” นับเป็นข้อคิดชื่อก้องโลก ที่สามารถนำมาปรับใช้กับการแข่งขันกีฬา และชีวิตประจำวันได้ดี
“ยิ่งรู้จักคู่แข่งเท่าไร เราจะยิ่งมีโอกาสชนะเท่านั้น” นั่นคือหนึ่งในวิธีการเอาชนะ ในโลกของสงคราม
ในโลกของฟุตบอลเช่นกัน การทำความรู้จักคู่แข่งให้มากที่สุด หรือที่เรียกกันในภาษาลูกหนังว่า “สเกาท์คู่ต่อสู้” นับเป็นหนึ่งในหลักการการทำงานของเฮ้ดโค้ชทั่วไป
การแข่งขันฟุตบอล ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 ที่กำลังใกล้เปิดฉากอย่างเต็มทนในอีกไม่ถึง 1 เดือนข้างหน้า ก็เช่นกัน อากิระ นิชิโนะ เอง ก็จำเป็นต้องมีการสเกาท์คู่แข่ง เรียนรู้จุดแข็ง เพื่อปิดช่อง และค้นหาจุดอ่อน เพื่อโจมตี
แล้วสามชาติชั้นนำของเอเชียที่ร่วมกลุ่ม เอ กับทีมชาติไทย อย่าง ออสเตรเลีย, อิรัก และ บาห์เรน มีอะไรให้พูดถึงบ้าง? เราลองไปค้นหากัน
#ทีมชาติออสเตรเลีย
ออสเตรเลีย กลายเป็นชาติที่เราจำเป็นต้องพูดถึงก่อน เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีเพียงปัจจัยในสนามเท่านั้น ที่มีผลต่อการส่องและพูดถึง เพราะเรื่องนอกสนามของนักเตะ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีมออสเตรเลียเปลี่ยนไป
เมื่อไม่กี่วันก่อน ทีมชาติออสเตรเลีย ประกาศสั่งแบนนักเตะในชุด ยู-23 ถึง 4 คน หลังประพฤติตัวไม่เหมาะสมระหว่างทำหน้าที่ให้กับทีมชาติ โดยพวกเขาทั้งสี่ เกี่ยวข้องกับการดูหมิ่นผู้หญิง และมีการคุกคามทางเพศ หลังจากที่ถูกสุภาพสตรีรายหนึ่งออกมาพูดถึงเรื่องนี้ หลังจากเกมรอบคัดเลือก ศึกฟุตบอล ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 ที่ประเทศกัมพูชา
ประเด็นดังกล่าวทำให้ สมาพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย สั่งให้มีการสอบสวน ก่อนจะมีบทลงโทษ ไรลี แม็คกรี (กัปตันทีม) ที่โดนแบนจากทีมชาติ จนถึงเดือนเมษายน 2020 ส่วนอีก 3 ราย ประกอบด้วย ทาธาเนียล แอทกินสัน, ลาคแลนด์ เวลส์ และแบรนดอน วิลสัน ถูกแบนจนถึงเดือนสิงหาคม 2020
จะบอกว่า ไม่มีผล ก็คงไม่ใช่ เพราะสี่คนนี้ เป็นตัวหลักของทีมชุดนี้ทั้งสิ้น โดยเกมนัดตัดสินการเข้ารอบกับ เกาหลีใต้ ในรอบคัดเลือก ที่เสมอกัน 2-2 นั้น สามรายแรกอย่าง ไรลี แม็คกรี, ทาธาเนียล แอทกินสัน และ ลาคแลนด์ เวลส์ ได้ลงเป็นตัวจริงด้วย ส่วน แบรนดอน วิลสัน ได้ลงเป็นตัวสำรอง
“แต่รอบสุดท้ายจะไม่มีพวกเขาเหล่านี้”
ทั้งนี้ทั้งนั้น การอุ่นเครื่องนัดล่าสุดของทีมชุดนี้ ก็ดูเหมือนว่า 4 คนนี้จะไม่มีผลต่อ “ซ็อคเกอร์รูส์” มากขนาดนั้น เนื่องจากพวกเขาเอาชนะ เกาหลีเหนือ ได้ถึง 4-0 ด้วยกัน หลังจากก่อนหน้านี้ โชว์ฟอร์มในเกมอุ่นเครื่องได้ไม่ดีนัก โดยมีเกมอุ่นเครื่องสองนัดกับ นิวซีแลนด์ ปรากฏว่าไม่สามารถเอาชนะ นิวซีแลนด์ได้ทั้งสองเกม ผลคือ เสมอ 1-1 ทั้งสองนัด ตามด้วยอุ่นเครื่องอีกสองนัดในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งสามารถเอาชนะทีมสโมสรในท้องถิ่นที่ประเทศกาตาร์ ได้ 2-0 ก่อนจะแพ้ อิหร่าน 1-2
เกมถล่ม เกาหลีเหนือ น่าจะช่วยให้พวกเขามีความมั่นใจมากขึ้น และการประกาศลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อนักเตะที่ทำผิดร้ายแรง ก็อาจจะส่งผลดีให้ทีมสปิริตกลับคืนมาก็ได้
#ทีมชาติบาห์เรนและทีมชาติอิรัก
สองทีมจากเอเชียตะวันออกกลางที่ถูกจับมาอยู่ในกลุ่ม เอ ร่วมกับทีมชาติไทย ในศึกฟุตบอล ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 ซึ่งทีมชาติชุดใหญ่ทั้งสอง เพิ่งลงสนามในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาหรับ ครั้งที่ 24 หรือ กัลฟ์ คัพ 2019
ก่อนหน้านี้ ทีมชุด ยู-23 พวกเขามีการเตรียมทีมอยู่เป็นระยะๆ โดยเคยลงสนามอุ่นเครื่องร่วมกัน ก่อนการจับสลากแบ่งสาย ที่บ้านของบาห์เรน จำนวน 2 นัด ในช่วงฟีฟ่าเดย์ ต้นเดือนกันยายน ช่วงเดียวกับที่ทีมชาติชุดใหญ่ กำลังลงทำศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย นั่นแหละ ผลปรากฏว่า นัดแรก บาห์เรน ชนะ 2-0 และเกมที่สอง อิรัก ชนะ 1-0
หลังจากสองเกมนั้น อิรัก ก็ยังไม่ได้มีการอุ่นเครื่องเพิ่มเติมแต่อย่างใด ส่วน บาห์เรน มีอุ่นเครื่องกับ ซีเรีย ชุด ยู-23 จำนวน 2 เกมเช่นกัน ผลคือ พวกเขาไม่สามารถชนะ ซีเรีย ได้เลย โดยเสมอ 2-2 และ แพ้ 0-3
ทว่า เมื่อไม่ไม่กี่วันก่อน การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาหรับ เพิ่งจบลงไปที่ประเทศกาตาร์ โดยชาติที่ได้แชมป์ ก็คือ “บาห์เรน” ที่ผงาดคว้าแชมป์รายการนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งในทีมชุดใหญ่ของ บาห์เรน มีนักเตะจากชุด ยู-23 อยู่จำนวน 2 คน ที่น่าจะสร้างความมั่นใจไม่มากก็น้อยให้กับทีมชาติบาห์เรน และความมั่นใจนี้ ก็อาจจะส่งผลต่อนักเตะรุ่นน้องๆ ที่อยู่ในทีมชุดเล็กด้วย
ส่วนทีมชาติอิรัก แม้ว่าพวกเขาจะไปไม่ถึงดวงดาวในการแข่งขันฟุตบอล กัลฟ์ คัพ ที่เพิ่งจบลงไป ทว่าในชุดดังกล่าว มีนักเตะถึง 9 คนที่อายุไม่เกิน 23 ปี ที่น่าจะต่อยอดบินมาประเทศไทย เพื่อลงเล่นในศึก ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020
ซึ่งผลการแข่งขันของ ทีมชาติอิรัก ในกัลฟ์ คัพ ก็ไม่ได้ขี้เหร่เลยด้วย เพราะพวกเขาจบรอบแรกด้วยการเป็นที่ 1 ของกลุ่ม นัดแรกเอาชนะ กาตาร์ เจ้าภาพ และแชมป์เอเชียทีมล่าสุด ไปได้ 2-1 ตามด้วยชนะ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2-0 และปิดท้ายด้วยการเสมอกับ เยเมน 0-0 ก่อนจะเข้าไปเจอกับ บาห์เรน ในรอบรองชนะเลิศ และจบเกมด้วยการเสมอกัน 2-2 ก่อนที่บาห์เรนจะชนะไปได้จากการดวลลูกโทษที่จุดโทษ
แต่ที่น่าสนใจที่สุด ยิ่งไปกว่าการเข้ารอบรองชนะเลิศ ก็คือ ทีมชาติอิรัก ลงเล่นในรายการกัลฟ์คัพไปทั้งหมด 4 เกม ก่อนจะตกรอบรองชนะเลิศ พวกเขายิงได้ทั้งหมด 6 ประตู และมีถึง 5 ประตู ที่มาจากฝีเท้าของนักเตะอายุไม่เกิน 23 ปี และไม่ใช่ยิงคนเดียวหรือสองคน แต่ช่วยกันยิงถึง 4 คน เริ่มจาก โมฮัมเหม็ด คาซิม กองกลางวัย 22 ปี ที่เหมาสองประตูในเกมชนะ กาตาร์ 2-1 ตามด้วย อาลา อับบาส กองหน้าวัย 22 ปี ที่กด 1 ประตูในเกมชนะ ยูเออี 2-0
ส่วนในเกมรอบรองชนะเลิศ ที่เสมอกับ บาห์เรน 2-2 ในช่วงเวลาปกตินั้น ก็ได้สองประตูจากสองนักเตะจากทีมชุด ยู-23 นั่นคือ โมฮัมเหม็ด อาลี และ อิบราฮิม บาเยสช์ ซึ่งทั้งสองคนนี้ อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น!!
และนี่คือเหตุผลว่าทำไม ทีมชาติอิรัก ถึงถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมที่น่าจับตามองที่สุดของการแข่งขัน ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 ในครั้งนี้ เพราะพวกเขามีแนวรุกที่หลากหลาย อายุน้อย และพร้อมจะโชว์ฟอร์มโหดในการแข่งขันที่ประเทศไทยในอีกไม่ถึง 1 เดือนข้างหน้า!!
#ทำไมเราถึงเลิกเชียร์บอลไทยไม่ได้
#ช้างศึก #Thailand #บอลไทย #ฟุตบอลไทย #FAThailand #Changsuek #AFC #AFCU23 #U23
ที่มา : เพจ ช้างศึก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่