Marriage Story
ตอนจบของสองเรา
ปัญหาชีวิตคู่ถือเป็นปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่งที่ไม่มีสูตรตายตัวเสียทีเดียวว่าแนวทางแก้ไขคืออะไร หากแต่มีเครื่องมืออย่างหนึ่งที่พอจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างค่อนข้างดีเพราะได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย แม้ว่าระหว่างทางในการแก้ไขปัญหานั้นจะยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และยังสร้างความเจ็บปวดให้กับคนทั้งคู่อีกด้วย
เมื่อคุยกันไม่ลงตัว มันก็ต้องไปจบกันที่ศาล
คู่สามีภรรยาที่ครองชีวิตคู่จนมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ชาร์ลี บาร์เบอร์ (อดัม ไดรเวอร์) เป็นผู้กำกับละครเวทีที่ประสบความสำเร็จอยู่ในนิวยอร์ค ส่วน นิโคล (สการ์เลตต์ โจแฮนสัน) ก็เป็นนักแสดงละครเวทีเรื่องที่สามีตัวเองเป็นคนกำกับนั่นเอง ทั้งคู่ต้องทำงานร่วมกันท่ามกลางความรู้สึกแปลกแยกในความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาที่ทั้งคู่พยายามประคับประคองไว้เพราะมีลูกชายเป็นตัวกลางทำให้การแยกทางของทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีความขัดแย้งจนต้องตัดสินใจแยกทางกันแต่ความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันก็ไม่ได้หายไปหมดสิ้น หากแต่ยังมีเยื้อใยที่เคยร่วมกันสร้างมาด้วยกันหลงเหลืออยู่ และหน้าที่ของความเป็นพ่อเป็นแม่ เมื่อทั้งคู่จัดการปัญหาที่คาราคาซังนี้ไม่จบ มันจึงต้องมีการใช้ทนายเข้ามาจัดการและเกิดการฟ้องหย่ากันในที่สุด
หนังที่ว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์ร้าวฉานระหว่างสามีภรรยาไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่หนังเรื่องนี้สามารถเล่าในแนวทางของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี มีทั้งความรู้สึกซาบซึ้งในความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน ความรู้สึกเศร้าหมองที่ต้องตัดสินใจแยกทางกัน และความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมาทำร้ายจิตใจกันและกันเพื่อแย่งกันให้ได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูก หนังถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่แสนจะลำบากใจออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านเทคนิคการถ่ายทำแบบลองเทคที่เน้นไปที่การแสดงของตัวละคร นี่ทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของตัวละครได้อย่างชัดเจน และบางฉากก็ถึงขั้นทำให้สะเทือนใจ ยกตัวอย่างเช่น ฉากที่พระเอกพรั่งพรูความคับแค้นออกมาอย่างรุนแรง และฉากที่พระเอกร้องเพลงในตอนท้าย หรือแม้แต่แค่เพียงไม่กี่วินาทีในบางช่วงจากฉากลองเทคก็สามารถกระชากอารมณ์เราได้อย่างน่าตกใจ ยกตัวอย่างเช่น ฉากที่นางเอกยอมตามใจให้พระเอกวิจารณ์การแสดงแล้วเดินไปนอน กับฉากที่พ่อแม่ลูกปิดประตูบ้านพร้อมกัน
การนำเสนอประเด็นเรื่องการฟ้องหย่าก็ทำได้ดีมากเช่นกัน สะท้อนเรื่องความยุ่งยากและเอาจริงเอาจังกับการฟ้องหย่าในสังคมอเมริกาว่านี่คือเรื่องใหญ่โตและก็ต้องใช้เงินเยอะมากด้วย ถึงได้มีบางคนว่าอาชีพทนายในอเมริกานั้นมีรายได้สูงระดับอาชีพหมอเสียด้วยซ้ำไป
นี่คือความลงตัวของการเล่าเรื่องที่มีจังหวะที่แสนจะดีงามบวกกับการแสดงที่ดีเยี่ยมของสองนักแสดงนำ อดัม ไดรเวอร์ และ สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน เรียกได้ว่า พ่นไฟใส่กันได้อย่างไม่มีใครกลัวใคร และไม่มีใครดูด้อยกว่าใคร อีกหนึ่งตัวละครที่โดดเด่นไม่ใช่น้อย ทนายสาวสุดเขี้ยว นอร่า ที่รับบทโดย ลอร่า เดิร์น นี่ก็เล่นได้ดีแบบที่สมควรจะได้เข้าชิงรางวัลการแสดงสาขาสมทบหญิง
หนังลงตัวไปหมดทุกด้าน ดีงามไปหมดทุกสิ่ง บอกได้เลยว่า รัก หนังเรื่องนี้ เพราะมันดีเกินคาด ถ้าให้คะแนนเต็มสิบได้ก็จะให้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเลย
ขบเคี้ยวหนัง
[CR] Marriage Story ตอนจบของสองเรา
Marriage Story
ตอนจบของสองเรา
ปัญหาชีวิตคู่ถือเป็นปัญหาโลกแตกอย่างหนึ่งที่ไม่มีสูตรตายตัวเสียทีเดียวว่าแนวทางแก้ไขคืออะไร หากแต่มีเครื่องมืออย่างหนึ่งที่พอจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างค่อนข้างดีเพราะได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย แม้ว่าระหว่างทางในการแก้ไขปัญหานั้นจะยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และยังสร้างความเจ็บปวดให้กับคนทั้งคู่อีกด้วย
เมื่อคุยกันไม่ลงตัว มันก็ต้องไปจบกันที่ศาล
คู่สามีภรรยาที่ครองชีวิตคู่จนมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ชาร์ลี บาร์เบอร์ (อดัม ไดรเวอร์) เป็นผู้กำกับละครเวทีที่ประสบความสำเร็จอยู่ในนิวยอร์ค ส่วน นิโคล (สการ์เลตต์ โจแฮนสัน) ก็เป็นนักแสดงละครเวทีเรื่องที่สามีตัวเองเป็นคนกำกับนั่นเอง ทั้งคู่ต้องทำงานร่วมกันท่ามกลางความรู้สึกแปลกแยกในความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาที่ทั้งคู่พยายามประคับประคองไว้เพราะมีลูกชายเป็นตัวกลางทำให้การแยกทางของทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีความขัดแย้งจนต้องตัดสินใจแยกทางกันแต่ความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันก็ไม่ได้หายไปหมดสิ้น หากแต่ยังมีเยื้อใยที่เคยร่วมกันสร้างมาด้วยกันหลงเหลืออยู่ และหน้าที่ของความเป็นพ่อเป็นแม่ เมื่อทั้งคู่จัดการปัญหาที่คาราคาซังนี้ไม่จบ มันจึงต้องมีการใช้ทนายเข้ามาจัดการและเกิดการฟ้องหย่ากันในที่สุด
หนังที่ว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์ร้าวฉานระหว่างสามีภรรยาไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่หนังเรื่องนี้สามารถเล่าในแนวทางของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี มีทั้งความรู้สึกซาบซึ้งในความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน ความรู้สึกเศร้าหมองที่ต้องตัดสินใจแยกทางกัน และความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมาทำร้ายจิตใจกันและกันเพื่อแย่งกันให้ได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูก หนังถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่แสนจะลำบากใจออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านเทคนิคการถ่ายทำแบบลองเทคที่เน้นไปที่การแสดงของตัวละคร นี่ทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของตัวละครได้อย่างชัดเจน และบางฉากก็ถึงขั้นทำให้สะเทือนใจ ยกตัวอย่างเช่น ฉากที่พระเอกพรั่งพรูความคับแค้นออกมาอย่างรุนแรง และฉากที่พระเอกร้องเพลงในตอนท้าย หรือแม้แต่แค่เพียงไม่กี่วินาทีในบางช่วงจากฉากลองเทคก็สามารถกระชากอารมณ์เราได้อย่างน่าตกใจ ยกตัวอย่างเช่น ฉากที่นางเอกยอมตามใจให้พระเอกวิจารณ์การแสดงแล้วเดินไปนอน กับฉากที่พ่อแม่ลูกปิดประตูบ้านพร้อมกัน
การนำเสนอประเด็นเรื่องการฟ้องหย่าก็ทำได้ดีมากเช่นกัน สะท้อนเรื่องความยุ่งยากและเอาจริงเอาจังกับการฟ้องหย่าในสังคมอเมริกาว่านี่คือเรื่องใหญ่โตและก็ต้องใช้เงินเยอะมากด้วย ถึงได้มีบางคนว่าอาชีพทนายในอเมริกานั้นมีรายได้สูงระดับอาชีพหมอเสียด้วยซ้ำไป
นี่คือความลงตัวของการเล่าเรื่องที่มีจังหวะที่แสนจะดีงามบวกกับการแสดงที่ดีเยี่ยมของสองนักแสดงนำ อดัม ไดรเวอร์ และ สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน เรียกได้ว่า พ่นไฟใส่กันได้อย่างไม่มีใครกลัวใคร และไม่มีใครดูด้อยกว่าใคร อีกหนึ่งตัวละครที่โดดเด่นไม่ใช่น้อย ทนายสาวสุดเขี้ยว นอร่า ที่รับบทโดย ลอร่า เดิร์น นี่ก็เล่นได้ดีแบบที่สมควรจะได้เข้าชิงรางวัลการแสดงสาขาสมทบหญิง
หนังลงตัวไปหมดทุกด้าน ดีงามไปหมดทุกสิ่ง บอกได้เลยว่า รัก หนังเรื่องนี้ เพราะมันดีเกินคาด ถ้าให้คะแนนเต็มสิบได้ก็จะให้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเลย
ขบเคี้ยวหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้