แชร์ประสบการณ์ คนในครอบครัว


#ขี้เกียจอ่านเลื่อนผ่านได้เลยค่ะ
#เรื่องยาวนะแต่ถ้าคุณมีลูกในวัยเรียนก็อยากให้อ่าน
#นางโจ๊กเลือดเดือด
วันนี้ใช้พลังเยอะมากกกกก
สืบเนื่องจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลานชายวัย 11 ปีของจุ๊บไปติวโอเนตที่โรงเรียน ช่วงเย็นระหว่างทางที่เดินกลับบ้านมาทางหน้าวัดพุทธฯ ถูกรุมทำร้ายจากกลุ่มเด็กรุ่นเดียวกัน 5 คน เป็นเด็ก ป.5 -​ ป.6 ที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน และเด็ก ม.1 จากโรงเรียนมัธยมใกล้วัด สาเหตุการทำร้ายคือ "หมั่นไส้" โดยไม่ได้เคยรู้จักสนิทสนมพูดคุยกันมาก่อน รวมความคือสลับกันเข้ามารุมทำร้ายและใช้อาวุธคือแป๊บน้ำและท่อนไม้วิ่งไล่ล่าไปถึงในบ้านเพื่อน แม่เพื่อนจึงโทรตามครูที่โรงเรียนมาช่วย เด็กกลุ่มนั้นก็แตกกระจายไป จากนั้นครูติดต่อน้องสาวจุ๊บให้พาหลานไปแจ้งความด้วยกันทันที จากนั้นครูโทรแจ้งผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้นให้มาประชุมร่วมกันที่โรงเรียนในวันจันทร์ ที่ 16 ธันวาคม ผู้ปกครองของบางรายบ่ายเบี่ยงว่าจะไม่มา
จุ๊บไม่ใช่คนประเภทที่หลอกตัวเองนะคะว่า "ลูกหลานฉันเป็นคนดี๊คนดี...."
หลานจุ๊บก็เป็นแค่เด็กธรรมดา ซนตามปกติ เลิกเรียนก็เถลไถลอยู่เล่นระหว่างทางมั่ง วันหยุดไปรับจ้างเสริฟอาหารในร้านอาหารละแวกบ้านเพื่อหาเงินเก็บ เลือกคบเพื่อนแค่ไม่กี่คนเพราะเป็นคนไม่ค่อยพูด ใครล้อเรื่องหน้าตาผิวพรรณก็ไม่ได้สนใจ จุ๊บผู้ซึ่งเป็นป้าและพี่แด๊ดซึ่งเป็นลุงช่วยพ่อแม่เขาอบรมเลี้ยงดูคู่กับดีนนี่มาตลอด ถ้ามีเรื่องดื้อซนรับรองว่าคุยกับลุงแด๊ดป้าจุ๊บยาวเลย
หลังแจ้งความน้องสาวพาลูกมากินข้าวที่ร้านใกล้บ้าน เราสองคนรีบพาดีนนี่ตามไปสมทบ ตอนที่เห็นหลานยอมรับเลยว่าโมโหจนตัวสั่น รอยเท้าบนเสื้อทั้งหน้าหลังนี้ชัดเจน นึกภาพทันทีว่าถ้าหลานเราหาที่หลบไม่ได้ ป่านนี้มันจะถูกตีด้วยท่อแป๊ปน้ำด้วยท่อนไม้จนแหลกขนาดไหนวะ จังหวะดีโคตร....ตอนนั้น 2 ทุ่มครึ่ง ขณะที่เรายังนั่งคุยสอบถามเรื่องราวกันอยู่กันอยู่ 2 ใน 5 ของเด็กที่รุมชกต่อยเดินผ่านมาทางหน้าร้านพอดี เลยเขิญมานั่งพูดคุยด้วยกันที่ร้านว่าพ่อแม่เป็นใคร บ้านอยู่ไหนกันมั่ง ทำไมป่านนี้ยังเดินเล่นอยู่นอกบ้าน พอเด็ก 2 คนนี้เข้ามาในร้าน หลานจุ๊บร้องไห้โฮเลยเพราะเหตุการณ์​เพิ่งผ่านมาไม่ถึง 4 ชม. ดีนนี่ต้องเข้ากอดน้องเอาไว้ เชื่อมั้ยว่ามีแต่โกหกปฏิเสธเอาตัวรอดกันพัลวันโทษกันไปมา จนจุ๊บแทบปรอทแตกเกือบตบเด็กคว่ำเดี๋ยวนั้นเลยนะไม่โกหกเลย ขันติหนอ สงบหนอ ใจเย็นหนอ อะไรหนอก็เอาไม่อยู่ จนพี่แด๊ดต้องมากันจุ๊บออกไป น้องเขยเลยตัดสินใจพาเด็กไปชี้เป้าบ้านของเด็กคนอื่นที่เหลือ ไปหาจนครบทุกบ้าน ไปคุยบอกเหตุการณ์​ที่เกิดขึ้นก่อนมาคุยกันเป็นทางการที่โรงเรียน
ก่อนถึงเวลานั้น จุ๊บสู้กับความคิดของตัวเองหลายอย่าง จะเอายังไงดี ทำไมเด็ก ๆ มันคิดทำเรื่องกันได้ขนาดนี้ ยอมรับว่าอารมณ์​โกรธยังมี แต่สติที่เคยผ่านการฝึกก็คอยเตือนเราอยู่....

วันพูดคุยมาถึงโรงเรียนแรก เด็ก ป.5 -​ ป.6 ทั้ง 4 คนนั้นผอ. ครูและผู้ปกครองทุกคนให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันอย่างดี ยอมรับว่าเป็นความบกพร่องหละหลวมในการใส่ใจอบรมลูกหลาน จากที่เราคุย เด็ก 3 ใน 4 รายเป็นเด็กดีอยู่เป็นพื้นเดิม แต่พอขาดความสนใจจากพ่อแม่ช่วงหนึ่งก็เลยขาดความยั้งคิด คึกคะนองกันโดยไม่ได้คิดถึงความถูกผิด ส่วน 1 ใน 4 คนนี้กึ่งรองหัวหน้าแก๊งค์เป็นคนสั่งการและเป็นคนถืออาวุธบุกเข้าไปในบ้าน ตัวสูงยังไม่ถึงไหล่จุ๊บเลยค่ะคุณคะ แต่บอกเลยว่ามันแสบสุด ๆ โกหกไฟแลบ ไม่มีพยานยืนยันก็ไม่มีทางยอมรับ ผอ.บอกว่านี่ล่ะดาวแดงนัมเบอร์วันของโรงเรียน จวนเจียนถูกไล่ออกหลายรอบแต่ครูสงสารเลยยังให้เรียนซ้ำชั้นอยู่ เด็กมันแสบแต่ในขณะเดียวกันจุ๊บกลับรู้สึกสงสารและห่วงอนาคตของมันขึ้นมาซะงั้น จากที่สอบถามเด็กอยู่กับตายาย แม่ทิ้งไปตอนคลอดได้ 3 เดือนแล้วไม่เคยเจอแม่อีกเลย พ่อขับรถซูบารุ ยกลูกให้ตายายเลี้ยง แต่ละวันไม่เคยมีใครสนใจว่าเด็กคนนี้อยู่ไหนทำไมไม่กลับบ้าน ตอนเราพูดคุยปรึกษาหารือกันอยู่ ยายของเด็กก็เอาแต่ยิ้มและหัวเราะเหมือนมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ขบขันอยู่แทบตลอดเวลา จนจุ๊บสุดทนค่ะ ปรี้ดใส่ยาย
"ยาย! นี่ไม่ใช่เรื่องตลก หนูไม่ขำ หลานหนูถูกทำร้าย โดยหลานยายเป็นหัวโจก คนอื่น ๆ เขาจริงจัง"
นั่นล่ะยายถึงหุบยิ้มกว้าง ๆ ลงได้ แล้วยายก็แก้ตัวไปพัลวันว่าฉันก็ตีตลอดนะคุณ ไอ้คนนั้นคนนี้น่ะมันมาชวน โน่นนี่นั่น บลาๆๆๆ

"ยาย เด็กมันขาดตวามอบอุ่น ยายก็เคยมีลูกมาแล้วนี่ ยายก็ต้องอบรมสั่งสอนต้องให้ความอบอุ่นมันถึงจะถูก ไม่ใช่เอะอะก็ตี แล้วก็เอาแต่ด่า เด็กน่ะถ้ามันขาดหาย มันก็จะหาจากนอกบ้านเพราะมันต้องการมีตัวตน มันอยากได้รับการยอมรับ ยายรู้บ้างมั้ยว่าหลานยายน่ะสูบบุหรี่เก่งโคตร ๆ แล้วก็โกหกเก่งโคตร ๆ ด้วย" คราวนี้นะ... ยายอึ้ง
จุ๊บเรียกให้เด็กคนนี้มาหาและอุ้มมานั่งที่ตัก ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนในห้องประชุม แล้วจุ๊บก็อบรมเด็กคนนี้เยอะมากต่อหน้าครูและผู้ปกครองทุกคน เด็กมีความสนใจในด้านกีฬาแต่ไม่เคยมีใครสนใจไม่เคยมีใครรับฟัง จุ๊บขอให้เขาใช้พลังด้านนี้ในทางบวกด้วยการเล่นกีฬาและขอให้ครูช่วยส่งเสริม พร้อมอบรมยายให้ใช้ความอบอุ่นเลี้ยงดู และประกาศต่อหน้าทุกคนว่าถ้าเลิกเรียนแล้วจุ๊บเจอเด็กคนนี้เถลไถลอยู่ตรงไหน มั่วสุมกันลักษณะนี้อีก หรือเจอสูบบุหรี่ จุ๊บจะทำโทษเด็กคนนี้เองเลยนะ แล้วห้ามใครมาเอาเรื่องจุ๊บด้วย จุ๊บพูดตรงนี้ให้ทุกคนเป็นพยาน
"แล้วแต่คุณเลยจ้ะ ยายอนุญาต ที่คุณเมตตามันขนาดนนี้ยายก็ขอบคุณมากเลย"
พอถึงข้อสรุปว่าจะเอายังไง จุ๊บมองหน้าผู้ปกครองแต่ละคนแล้วก็ล้วนแต่มีความทุกข์บนใบหน้า จุ๊บจึงยื่นข้อสรุปไปว่าผู้ปกครองต้องพาเด็กทุกคนต้องไปเก็บชั่วโมงปฏิบัติธรรมให้ครบ 50 ชั่วโมงภายในเวลา 2 เดือน ทุกครั้งที่ไปเก็บชั่วโมงต้องมีลายเซ็นจากพระอาจารย์เซ็นยืนยันทุกครั้ง โดยจุ๊บจะประสานกับทางวัดและจัดทำสมุดประจำตัวให้ทุกคน ทุกคนต้องถ่ายรูปกิจกรรมมาส่งในไลน์ให้ทุกสัปดาห์ เพราะถ้าจุ๊บเรียกค่าเสียหาย ก็เท่ากับว่าพ่อแม่จ่ายเงินซื้อความเดือดร้อนให้พ้นไปจากลูก เกิดปัญหาแบบนี้อีกก็เคยตัวว่าเดี๋ยวพ่อแม่ก็เอาเงินมาจ่ายร่ำไป ไม่เกิดประโยชน์เท่าการเอาเด็กไปขัดเกลาและเรียนรู้ว่าเรื่องที่เขาทำมันส่งผลมาถึงพ่อแม่ด้วย รวมถึงพ่อแม่จะได้ตระหนักว่าวัตถุสิ่งของที่เขาสรรหามาให้ลูกนั้นมันทดแทนความรักความอบอุ่นไม่ได้ เด็ก ๆ จับมือขออภัยและกอดกัน ทุกคนขอบคุณที่เราให้โอกาส ทุกอย่างจบด้วยดีในโรงเรียนแรก

มาต่อโรงเรียนที่สอง เด็ก ม.1 หัวโจกผู้สั่งการว่าใครต้องทำอะไรในการรุมทำร้ายครั้งนี้ รายนี้บอกเลยว่าหนัก! และบอกเลยว่าจุ๊บก็แรง!!! หลังจากเล่าเหตุการณ์​ที่เกิดขึ้นให้บรรดาครูและแม่เด็กฟัง พร้อมข้อเสนอให้ไปปฏิบัติธรรม จุ๊บได้ยินแต่คำว่าไม่ได้ๆๆๆๆๆ แม่เด็กเอาแต่โวยวายว่าหาเช้ากินค่ำทำงาน 7 วัน ไม่มาหรอก อ่ะ! 1 ละนะ จุ๊บก็เสนอว่างั้นให้ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ภายในโรงเรียนหลังเลิกเรียน 50 ชม.แล้วให้ครูเซ็นกำกับมั้ย ทีนี้ครูหัวหน้าระดับชั้น ม.1 ออกตัวเอี๊ยด.... ว่า กิจกรรมที่จุ๊บเสนอมาทั้งหมดไม่มีทางได้ผลหรือปรับนิสัยสันดานเด็กคนนี้ได้หรอก เพราะทาง รร.มีกิจกรรมหมู่ให้เด็กทำประจำอยู่แล้ว ไม่มีทางๆๆๆๆๆๆ อ่ะ! 2 ก็ไม่เอา จุ๊บถามต่อไปว่าแล้วทางออกอยู่ตรงไหน ครูก็อธิบายมาตรการตามขั้นตอนว่าเด็กต้องทำผิดถึงครั้งที่ 4 ก่อนจึงจะพักการเรียน 1 อาทิตย์ ถามครูว่าแล้วกรณีนี้จะยังไงคะครู จุ๊บหันไปถามแม่เด็กว่าคุณอบรมลูกคุณบ้างมั้ย จากนั้นแม่ก็ดราม่ามาเต็มว่าตัวเองทำงานเลิก 2 ทุ่มไม่มีเวลาดูแลลูก พ่อเด็กก็ไม่ช่วย มีอะไรนางก็ประเคนให้ลูกทุกอย่างแล้ว ลูกนางน่ะพูดกูพูดคำหยายคายก็เพราะเด็กคนอื่นพูดแล้วชวนลูกนางไปคลุกคลีจนลูกนางติดนิสัยไปด้วย ยกแรกคือโทษว่าลูกคนอื่นชักนำ เราเบรกนางว่า
'ลูกคุณน่ะเป็นหัวโจกเลยนะ ทุกคนเขาก็ทำงานเป็นปกติแต่ก็ต้องจัดสรรเวลาอบรมดูแลลูก ไม่ใช่เอาแต่ผลักภาระให้ครูที่โรงเรียน นี่ลูกคุณอย่ามาอ้าง รู้บ้างรึเปล่าว่าหลังเลิกเรียนไปสุมหัวอยู่ท้ายวัดคอยหาเรื่องคนอื่น" พูดจบเราหันไปถามเด็กทันทีว่าปกติสูบบุหรี่กี่มวน
"ถ้าไม่เสี้ยน ผมสูบวันละ 4-5 มวน ถ้าเสี้ยนก็เยอะ" เด็กตอบหน้านิ่งมาก ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย รีบยิงคำถามต่อ
"สูบซองแดงหรือซองเขียวล่ะลูก"
"ได้หมด แล้วแต่อารมณ์" เจ๋งงงงงงง

เหลือบตามองแม่เด็ก แม่นิ่งสักพัก จากนั้นนางก็ดราม่าต่อจนหลุดออกมาว่าจะให้ทำยังไงล่ะ ถามอะไรลูก ลูกก็ด่าหนูตลอดว่า "ไม่ต้องมายิ้มกะชีวิตกุ" ลูกพูดกูกะนางทุกคำเลย ทั้งคนโตคนเล็ก ลูกสาวก็พูดแบบนี้กับนาง แล้วจะให้นางพูดอะไรต่อ ลูกสาวมีปัญหากับพ่อเลี้ยงก็เลยไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าจะค่ำ แล้วนางก็โทษครูประจำชั้นคนเก่าของลูกสาวนางว่าไม่ดูแลลูกให้เลย ลูกสาวไม่กลับบ้าน นางโทรหาครูให้ถามลูกว่าทำไม่ไม่กลับบ้าน บอกครูเตือนให้ลูกกลับบ้านหน่อย แล้วครูพอดุลูกนาง ลูกก็กลับมาด่านางที่บ้าน ครูที่โรงเรียนน่ะไม่ช่วยนางเลย แล้วนางก็มาพร่ำบรรยายความดื้อของลูก 2 คน มีแต่โทษคนอื่น บลาๆๆๆๆ ตลอดช่วงเวลานั้นจุ๊บมองดูเด็ก เด็กไม่มีแววตาสะทกสะท้านกับอะไรตรงหน้า สายตาที่เขามองไปยังแม่ตัวเองก็ไม่มีความชื่นชมเคารพเลย ครูหัวหน้าระดับถามว่าเคยพูดคุยกับลูกกันดี ๆ บางมั้ยล่ะ นางแสดงความฉลาดออกมาว่า "เคยค่ะ หนูคุยกะลูกว่าวันนี้กินข้าวรึยัง? ค่ะ" ครูทั้งห้องส่ายหัวเอือมระอา จากนั้นครูช่วยกันอธิบายยกใหญ่ว่าการพูดคุยกับลูกคืออะไร อธิบายเท่าไรนางก็ไม่เข้าใจสักที จนจุ๊บสงสารครูอ่ะ เลยพูดแทนความรู้สึกในใจของครูทั้งห้องว่า"ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย คุณเอาแต่โทษคนอื่น โทษลูก โทษคนรอบข้าง โทษครู คุณไม่เคยมองย้อนกลับมาดูตัวเองเลยว่าเป็นแม่ที่ขาดตกบกพร่องต่อลูกตรงไหน ลูกถึงไม่ศรัทธาคุณ ลูกคุณก้าวร้าวก็ต้องถามว่าคุณน่ะเลี้ยงเขามาแบบไหนหล่อหลอมเขามาแบบไหน"
"หนูไม่เคยพูดคำหยาบกับลูกเลยนะ แล้วทำไมลูกยังมาพูดกูกะหนูล่ะ"
"เอ๊า! คุณยังมีหน้ามาถามฉันอีก ทำไมคุณไม่ถามลูกคุณล่ะว่าเด็กต้องการอะไรจากคุณ กับลูกชาย--คุณไม่ใส่ใจอบรมเขาแต่เด็ก กับลูกสาว--คุณก็ไม่ทำให้ลูกรู้สึกว่าเป็นที่พึ่งเป็นที่ไว้ใจจะบอกอะไกับคุณได้ แล้วจะโทษใคร โทษตัวเองมั่งเหอะ"

จากนั้นนางก็ไฟต์​กับครูต่อเรื่องการเลี้ยงลูก บรรดาครูก็พยายามใช้ไม้นวมพูดสุภาพกับนาง ที่สุดจุ๊บดึงทุกคนย้อนกลับมาว่าแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลานจุ๊บนี่ล่ะจะเอายังไง คุยกันมา 2 ชม.แล้ว ไอ้นั่นก็ไม่เอาไอ้นี่ก็ไม่เอา กับเด็ก ๆ ทางฝั่ง รร.ประถมนี่คือเขารับข้อเสนอหมดแล้วนะ ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ยุติธรรมกับเด็กอีก 4 คนและผู้ปกครองนะ ว่าไง เงียบ.... ทุกคนเงียบแทนคำตอบ

จุ๊บเลยยื่นข้อเสนอใหม่ว่าถ้างั้นให้ไปบำเพ็ญประโยชน์กับมูลนิธิเก็บศพให้ครบ 50 ชม. กับกลุ่มเพื่อนพ่อของหลานจุ๊บละกัน จะได้จบ! แต่ถ้าไม่เอาอีกให้จ่ายค่าทำขวัญหลานจุ๊บมา 1 หมื่น เอามั้ย?! ให้แม่ซื้อความเดือดร้อนให้ลูกไปซะเลยสิ (นึกในใจ กุจะไม่ไว้หน้าใครแล้วนะ พูดเรื่องไร้สาระมา 2 ชั่วโมงกว่าแล้ว ลำไย!)​
ทีนี้ล่ะสรุปคำตอบว่า ขอไปปฎิบัติธรรม 50 ชม. จ้าาาา พอได้ข้อสรุปจุ๊บสั่งให้เด็กกราบเท้าขอขมาแม่ 3 ครั้ง พอลูกก้มลงกราบเท่านั้นล่ะ อีแม่เสียงหวานระรื่นเหมือนละครหลังข่าว หันมาบอกจุ๊บเสียงภูมิใจม้ากกกกก
"เนี่ยละคร้าาาาา แต๊กเขากราบเท้าแม่ประจำล่ะค่ะคุณ ด่าแม่กูทีนึงก็เขามากราบ (เชยคางลูกขึ้นมา แล้วนางยิ้ม)​ แต๊กลู้ก..... ทีหลังอย่าด่าแม่กูอีกนะครับลูก"

ทุเรศค่ะ........ ในใจนี้บรรยายบอกเล่าไม่หมด หันมามองหน้ากับน้องสาวว่า อีแม่นี่แหละตัวปัญหา ควรต้องเจอ "ยาแรง" มากกว่าเด็ก เราลากลับเลย
ขณะที่ครูหลายคนก็คงทนไม่ไหวค่ะ สั่งให้นางอยู่ก่อนเพราะพวกครูมีเรื่องอยากจะคุยกับนางเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกเป็นกรณีพิเศษทันทีเลย นางงงหน้าเหวอ
อยากจะบอกเหลือเกินว่า..... คนอย่างหล่อนเนี่ยนะ ไม่สมควรเป็นแม่ของใครเลย ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูสั่งสอนลูกก็ไม่ควรมีลูก พ่อแม่แบบนี้ล่ะที่เป็นตัวปั้นขยะสร้างภาระให้สัมคม สมเพช!!!! ถึงขีดสุด
ขอบคุณภาพจากมูลนิธิยุวพัฒน์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่