ตอบคำถามกระทู้เรื่อง "ทำยังไงดี เป็นมูอัลลัฟ มีแฟนแต่พ่อแม่แฟนไม่โอเค"


 เรื่องของเยาวชนหญิงผู้นี้  แม้ว่าเธอจะยอมรับศาสนาอิสลามด้วยความหลงรักผู้ชายก็ตาม เธอไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย ก่อนที่ใครจะตำหนิเธอจะต้องคิดก่อนว่าเรื่องความรัก ตามธรรมชาติของหญิง ความรักของเธอจะไม่ระอุได้จนถึงขั้นที่ยอม เปลี่ยนศาสนามารับศาสนาอิสลาม ถ้าฝ่ายชายไม่ได้ให้ความหวังในความรักของเธอ หรือให้คำมั่นสัญญากับเธอว่าจะแต่งงานกับเธอ แต่เธอต้องยอมรับนับถือศาสนาอิสลามเข้า เป็นมุสลิมเสียก่อน แล้วจึงจะแต่งงานกับชายมุสลิมได้  ด้วยเหตุนี้เธอจึงยอมรับศาสนาอิสลามโดยการปฏิญาณตนต่ออัลลอฮ์เพื่อเป็นมุสลิมมะห์คนหนึ่ง

แต่เมื่อเธอได้แจ้งให้เรา ทราบว่าเธอเข้ารับศาสนาอิสลามด้วยความศรัทธา มุสลิมทุกๆคนควรจะต้อนรับเธอและให้กำลังใจเธอในการปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอิสลาม อย่างถูกต้องและปฏิบัติตนเป็นมุสลิมมะห์ทีดีในสังคมไทยผู้หนึ่ง

ตามหลักการของศาสนาอิสลาม เมื่อผู้ใดต้องการเป็นมุสลิม ก็จะต้อง กล่าวคำปฏิญาณต่ออัลลอฮ์(พระเจ้า) ว่า

 "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรต่อการเคารพบูชานอกจากอัลลอฮ์ พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น" 

ส่วนประโยคที่ว่า "ศาสดามูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระเจ้า". นั้นมุสลิมยอมรับในฐานะที่ท่านเป็นมนุษย์ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์ แต่เรามุสลิมไม่กราบไหว้บูชาท่านศาสดามูฮะมมัดเทียบเท่าอัลลอฮ์ ท่านไม่เทียบเท่าอัลลอฮ์

และการปฏิญาณต่ออัลลอฮ์นั้น ไม่จำเป็นจะต้องมีผู้ใดเป็นพยานนอกจากอัลลอฮ์ พระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้รับรอง 

ปัญหาของเยาวชนหญิงผู้นี้  จะไปโทษผ่ายหญิงไม่ได้จะต้องตำหนิฝ่ายชายที่ทำให้เธอหลงรักและให้ความหวังต่อเธอ ตามธรรมชาติแล้ว ฝ่ายหญิงมีความรู้สึกต่ออารมณ์รักอย่างจริงใจต่อฝ่ายชายที่ให้ความหวังแก่เธอในการที่จะตั้งครอบครัว และเป็นความรู้สึกที่จริงใจและรุนแรงทีเดียว เธอจะไม่มีความเห็นแก่ตัว, เธอจะยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ความสัมพันต่อครอบครัวและขนบธรรมเนียมประเพณีโดยกำเนิดของเธอเอง ซึ่งความรู้สึกในเรื่องความรักนี้ต่างจากเพศชาย โดยที่เพศชายส่วนมากมากรักหญิงเนื่องจากความสวยงามของหญิงและเพื่อสนองอารมณ์ทางเพศของชายเป็นส่วนใหญ่

อัลลอฮ์ทรงบัญญัติไว้ใน ซูเราะฮฺอันนูร บัญญัติที่ 30 ว่า:

{24:30} จงบอกแก่บรรดาบุรุษผู้มีศรัทธา ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาอวัยวะเพศของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ

อัลลอฮ์ ทรงมีคำสั่งให้ชายมุสลิมควบคุมอารมณ์รักและความใคร่ของตนเองและจะต้องรักษาความบริสุทธิของตนเองไว้ (โดยไม่สมควรที่จะล่วงเกินเพศหญิง ไม่ว่าจะด้วยทางวาจา, ใจ และร่างกาย จนกว่าจะแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน)  ทั้งนี้เพราะว่า  ผู้ชายในฐานะเป็นเพศที่แข็งแกร่งกว่า และเป็นผู้จุดประกายความหลงไหลให้กับผู้หญิงดังนั้น พระเจ้าจึงมีตำสั่งต่อเพศชายก่อนคำสั่งในเพศหญิง (ในบัญญัติที่ 24:31)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

การห้ามไม่ให้จ้องดูใบหน้าของผู้หญิงที่ไม่ใช่น้องสาวลูกสาวมารดาหรือภรรยาของเขาเป็นคำสั่งพื้นฐานในการห้ามไม่ให้มีความต้องการทางเพศผ่านทางสายตาของชาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทรงพลังที่สุดในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมทางเพศ, วิธีการที่ความรู้สึกรับรู้ในเรื่องเพศสัมพันที่ส่องผ่านทางสายตากระตุ้นความรู้สึกทางเพศต่อเพศตรงข้ามนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้กล่าวเกินความจริง ศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้ชายและหญิงหยอกล้อกันเล่นอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เช่นการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง หรือการดูหรือฟังเรื่องลามกต่างๆ รวมทั้งการ การจินตนาการในเรื่องความสัมพันทางเพศกับเพศตรงช้าม
 
เยาวชนหญิงผู้นี้ตั้งตำถามในเรื่องนิกะห์ ว่า:
 
1.ถ้าไปนิกะห์กันเองโดยที่ทางครอบครัวไม่รับรู้จะผิดหลักการของศาสนาอิสลามหรือไม?
 
ศาสนาอิสลามไม่ได้กำหนดอายุเฉพาะสำหรับการแต่งงานไม่ว่าจะสำหรับสามีหรือภรรยา  ถ้าชายหรือหญิงทั้งคู่ยังเป็นผู้เยาว์ภายใต้ความดูแลของพ่อแม่
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้พ่อแม่ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายรับรู้ เพื่อความเหมาะสมในอายุและข้อบังคับของกฏหมายไทย ในการอนุมัติให้แต่งงาน ไม่มีข้อหลีกเลื่ยง 
 
สำหรับอิสลามจำเป็นต้องได้รับความยินยอมเพียงอย่างเดียวคือ ผู้หญิงที่แต่งงานด้วย และชายที่แต่งงานด้วย และ ผู้ปกครองชาย ของฝ่ายหญิง (วะลีย์ ولي‎,ตาม กฏหมายอิสลาม ซึ่งไม่มีความจำเป็น จะอธิบายในภายหลัง ) ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ของผู้ชาย แต่ว่าการแต่งงานจะสมบูรณ์ตามประเพณี (ไม่ใช่ศาสนา) และเป็นการการรักษาน้ำใจกัน ก็ควรที่จะให้พ่อแม่ของฝ่ายชายรับรู้ด้วย
 
ในกรณีนี้ ถ้าทั้งฝ่ายชายและหญิงบรรลุนิติภาวะ ถูกต้อง ตามการกำหนดอายุในการแต่งงานภายใต้กฏหมายไทยแล้ว และสามารถรับผิดชอบในเรื่องกำลังทรัพย์ในการแต่งงาน และการสร้างครอบคร้วโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยครอบครัว ถึงแม้ว่าผู้ปกครองฝ่ายชายไม่เห็นด้วยก็ตาม, การนิกะห์ของคนทั้งสองสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากพ่อแม่ผู้ปกครอง (แต่คู่หญิง/ชายควรจะแจ้งให้ผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายได้ทราบและรับรู้ว่าเขาทั้งสองจะแต่งงานกันและมีการนิกะห์ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่ว่าผู้ปกครอง หรือพ่อแม่ของฝ่ายชายจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาสนาอิสลามไม่มีการคลุมถุงชน)
 
ดังนั้นการที่ฝ่ายชายอ้างผู้ปกครองครองไม่เห็นด้วยด้วยเนื่องจาก,"เขากลัวสภาพแวดล้อมของครอบครัวเรา(ฝ่ายหญิง)"  เป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุดและเป็นการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตนเอง
 
2.การไปนิ๊ก๊ะที่ไกลมันผิดรึป่าวคะ? แล้วถ้าวันนึงเราได้นิก๊ะใครจะเป็นวลีให้กับเราคะ?  
 
 ถ้าฝ่ายหญิงรับรู้และยินยอม, ฝ่ายชายรับรู้และยินยอม  ในการนิกะห์หรือตามหลักการแต่งงานตามศาสนาอิสลาม การนิกะห์ไม่ว่าจะระยะไกลหรือใกล้ ก็ตามไม่ผิดหลักการของศาสนาอิสลาม (คุณคงหมายถึงการนิกะห์กันอย่างเงียบๆ) พยานในการนิกะห์  มีผู้ที่นิกะห์ห์ให้คุณ และอัลลอฮ์ก็เพียงพอ อัลลอฮ์ทรงเป็น วะลีย์ (ولي‎) ที่สำคัญที่สุด ในการนิกะห์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาใครอื่นใดมาเป็นวะลีย์. แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายหญิงควรให้คุณพ่อและคุณแม่รับรู้เพื่อแสดงความเคารพความกตัญญู และรักษาน้ำใจต่อท่านทั้งสอง ศาสนาอิสลามไม่ต้องการความยินยอมและเห็นด้วยจากผู้ปกครองของฝ่ายชาย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

การเข้ารับ อิสลามเป็น มุสลิมนั้นไม่จำเป็นจะต้องเรียกว่ามุสลิมใหม่หรือมุสลิมเก่า มีมุสลิมจำนวนมากที่เกิดในครอบครัวมุสลิมไม่เคยกล่าวคำปฏิญาณหรือรู้จักคำปฏิญาณของการเป็นมุสลิม เนื่องจากเป็นมุสลิมโดยกำเนิดไม่เคยได้รับความรู้ในหลักการของศาสนาอิสลามจากผู้ใดหรือศึกษาหลักการของศาสนาอิสลาม
 
ดังนั้นเมื่อคุณได้เข้ารับอิสลามและเป็นมุสลิมมะห์ผู้หนึ่งแล้ว ผมขอแนะนำให้คุณปฏิบัติศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ สักวันหนึ่ง พระองค์อัลลอฮ์อาจทรงโปรดประานคู่ครองให้แก่คุณและเขาอาจจะเหมาะสมกับคุณมากกว่าชายมุสลิมผู้นี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่