เรื่องของเยาวชนหญิงผู้นี้ แม้ว่าเธอจะยอมรับศาสนาอิสลามด้วยความหลงรักผู้ชายก็ตาม เธอไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย ก่อนที่ใครจะตำหนิเธอจะต้องคิดก่อนว่าเรื่องความรัก ตามธรรมชาติของหญิง ความรักของเธอจะไม่ระอุได้จนถึงขั้นที่ยอม เปลี่ยนศาสนามารับศาสนาอิสลาม ถ้าฝ่ายชายไม่ได้ให้ความหวังในความรักของเธอ หรือให้คำมั่นสัญญากับเธอว่าจะแต่งงานกับเธอ แต่เธอต้องยอมรับนับถือศาสนาอิสลามเข้า เป็นมุสลิมเสียก่อน แล้วจึงจะแต่งงานกับชายมุสลิมได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงยอมรับศาสนาอิสลามโดยการปฏิญาณตนต่ออัลลอฮ์เพื่อเป็นมุสลิมมะห์คนหนึ่ง
แต่เมื่อเธอได้แจ้งให้เรา ทราบว่าเธอเข้ารับศาสนาอิสลามด้วยความศรัทธา มุสลิมทุกๆคนควรจะต้อนรับเธอและให้กำลังใจเธอในการปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอิสลาม อย่างถูกต้องและปฏิบัติตนเป็นมุสลิมมะห์ทีดีในสังคมไทยผู้หนึ่ง
ตามหลักการของศาสนาอิสลาม เมื่อผู้ใดต้องการเป็นมุสลิม ก็จะต้อง กล่าวคำปฏิญาณต่ออัลลอฮ์(พระเจ้า) ว่า
"ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรต่อการเคารพบูชานอกจากอัลลอฮ์ พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น"
ส่วนประโยคที่ว่า "ศาสดามูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระเจ้า". นั้นมุสลิมยอมรับในฐานะที่ท่านเป็นมนุษย์ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์ แต่เรามุสลิมไม่กราบไหว้บูชาท่านศาสดามูฮะมมัดเทียบเท่าอัลลอฮ์ ท่านไม่เทียบเท่าอัลลอฮ์
และการปฏิญาณต่ออัลลอฮ์นั้น ไม่จำเป็นจะต้องมีผู้ใดเป็นพยานนอกจากอัลลอฮ์ พระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้รับรอง
ปัญหาของเยาวชนหญิงผู้นี้ จะไปโทษผ่ายหญิงไม่ได้จะต้องตำหนิฝ่ายชายที่ทำให้เธอหลงรักและให้ความหวังต่อเธอ ตามธรรมชาติแล้ว ฝ่ายหญิงมีความรู้สึกต่ออารมณ์รักอย่างจริงใจต่อฝ่ายชายที่ให้ความหวังแก่เธอในการที่จะตั้งครอบครัว และเป็นความรู้สึกที่จริงใจและรุนแรงทีเดียว เธอจะไม่มีความเห็นแก่ตัว, เธอจะยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ความสัมพันต่อครอบครัวและขนบธรรมเนียมประเพณีโดยกำเนิดของเธอเอง ซึ่งความรู้สึกในเรื่องความรักนี้ต่างจากเพศชาย โดยที่
เพศชายส่วนมากมากรักหญิงเนื่องจากความสวยงามของหญิงและเพื่อสนองอารมณ์ทางเพศของชายเป็นส่วนใหญ่
อัลลอฮ์ทรงบัญญัติไว้ใน ซูเราะฮฺอันนูร บัญญัติที่ 30 ว่า:
{24:30} จ
งบอกแก่บรรดาบุรุษผู้มีศรัทธา ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาอวัยวะเพศของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ
อัลลอฮ์ ทรงมีคำสั่งให้ชายมุสลิมควบคุมอารมณ์รักและความใคร่ของตนเองและจะต้องรักษาความบริสุทธิของตนเองไว้ (โดยไม่สมควรที่จะล่วงเกินเพศหญิง ไม่ว่าจะด้วยทางวาจา, ใจ และร่างกาย จนกว่าจะแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน) ทั้งนี้เพราะว่า ผู้ชายในฐานะเป็นเพศที่แข็งแกร่งกว่า และเป็นผู้จุดประกายความหลงไหลให้กับผู้หญิงดังนั้น พระเจ้าจึงมีตำสั่งต่อเพศชายก่อนคำสั่งในเพศหญิง (ในบัญญัติที่ 24:31)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ศาสนาอิสลามสอนให้หญิงมุสลิมต้องมีความสำรวมในเรื่องเพศ (อัลกุรอาน 24:31)
(ความหมายของบัญญัติไม่ใช่คำแปลตรงตัวของบัญญ้ติ)
สตรีมุสลิม:
1.จะต้องลดสายตาของพวกนางลงต่ำอย่าสบตากับชาย ควบคุม อารมรักและรักษาความบริสุทธิของนาง
2.จะต้องไม่เปิดเผยส่วนที่ยั่วยวนของร่างกายนาง เว้นแต่ส่วนของร่างกายที่ เปิดเผยได้
3.จะต้องปิดทรวงอกของนางให้มิดชิด
4.จะต้องไม่เปิดเผย ส่วนของร่างกายที่ยั่วยวนอารมณ์ทางเพศ เว้นแต่แก่สามีของพวกนาง
5.จะต้องไม่เดินส่ายตะโพกเป็นการยั่วยุอารมณ์ทางเพศ
6.เมื่อพวกนางกระทำความผิดในเรื่องเหล่านี้ จงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกนางจะได้รับชัยชนะ
การห้ามไม่ให้จ้องดูใบหน้าของผู้หญิงที่ไม่ใช่น้องสาวลูกสาวมารดาหรือภรรยาของเขาเป็นคำสั่งพื้นฐานในการห้ามไม่ให้มีความต้องการทางเพศผ่านทางสายตาของชาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทรงพลังที่สุดในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมทางเพศ, วิธีการที่ความรู้สึกรับรู้ในเรื่องเพศสัมพันที่ส่องผ่านทางสายตากระตุ้นความรู้สึกทางเพศต่อเพศตรงข้ามนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้กล่าวเกินความจริง ศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้ชายและหญิงหยอกล้อกันเล่นอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เช่นการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง หรือการดูหรือฟังเรื่องลามกต่างๆ รวมทั้งการ การจินตนาการในเรื่องความสัมพันทางเพศกับเพศตรงช้าม
เยาวชนหญิงผู้นี้ตั้งตำถามในเรื่องนิกะห์ ว่า:
1.ถ้าไปนิกะห์กันเองโดยที่ทางครอบครัวไม่รับรู้จะผิดหลักการของศาสนาอิสลามหรือไม?
ศาสนาอิสลามไม่ได้กำหนดอายุเฉพาะสำหรับการแต่งงานไม่ว่าจะสำหรับสามีหรือภรรยา ถ้าชายหรือหญิงทั้งคู่ยังเป็นผู้เยาว์ภายใต้ความดูแลของพ่อแม่
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้พ่อแม่ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายรับรู้ เพื่อความเหมาะสมในอายุและข้อบังคับของกฏหมายไทย ในการอนุมัติให้แต่งงาน ไม่มีข้อหลีกเลื่ยง
สำหรับอิสลามจำเป็นต้องได้รับความยินยอมเพียงอย่างเดียวคือ ผู้หญิงที่แต่งงานด้วย และชายที่แต่งงานด้วย และ ผู้ปกครองชาย ของฝ่ายหญิง (วะลีย์ ولي,ตาม กฏหมายอิสลาม ซึ่งไม่มีความจำเป็น จะอธิบายในภายหลัง ) ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ของผู้ชาย แต่ว่าการแต่งงานจะสมบูรณ์ตามประเพณี (ไม่ใช่ศาสนา) และเป็นการการรักษาน้ำใจกัน ก็ควรที่จะให้พ่อแม่ของฝ่ายชายรับรู้ด้วย
ในกรณีนี้ ถ้าทั้งฝ่ายชายและหญิงบรรลุนิติภาวะ ถูกต้อง ตามการกำหนดอายุในการแต่งงานภายใต้กฏหมายไทยแล้ว และสามารถรับผิดชอบในเรื่องกำลังทรัพย์ในการแต่งงาน และการสร้างครอบคร้วโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยครอบครัว ถึงแม้ว่าผู้ปกครองฝ่ายชายไม่เห็นด้วยก็ตาม, การนิกะห์ของคนทั้งสองสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากพ่อแม่ผู้ปกครอง (แต่คู่หญิง/ชายควรจะแจ้งให้ผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายได้ทราบและรับรู้ว่าเขาทั้งสองจะแต่งงานกันและมีการนิกะห์ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่ว่าผู้ปกครอง หรือพ่อแม่ของฝ่ายชายจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาสนาอิสลามไม่มีการคลุมถุงชน)
ดังนั้นการที่ฝ่ายชายอ้างผู้ปกครองครองไม่เห็นด้วยด้วยเนื่องจาก,"เขากลัวสภาพแวดล้อมของครอบครัวเรา(ฝ่ายหญิง)" เป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุดและเป็นการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตนเอง
2.การไปนิ๊ก๊ะที่ไกลมันผิดรึป่าวคะ? แล้วถ้าวันนึงเราได้นิก๊ะใครจะเป็นวลีให้กับเราคะ?
ถ้าฝ่ายหญิงรับรู้และยินยอม, ฝ่ายชายรับรู้และยินยอม ในการนิกะห์หรือตามหลักการแต่งงานตามศาสนาอิสลาม การนิกะห์ไม่ว่าจะระยะไกลหรือใกล้ ก็ตามไม่ผิดหลักการของศาสนาอิสลาม (คุณคงหมายถึงการนิกะห์กันอย่างเงียบๆ) พยานในการนิกะห์ มีผู้ที่นิกะห์ห์ให้คุณ และอัลลอฮ์ก็เพียงพอ อัลลอฮ์ทรงเป็น วะลีย์ (ولي) ที่สำคัญที่สุด ในการนิกะห์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาใครอื่นใดมาเป็นวะลีย์. แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายหญิงควรให้คุณพ่อและคุณแม่รับรู้เพื่อแสดงความเคารพความกตัญญู และรักษาน้ำใจต่อท่านทั้งสอง ศาสนาอิสลามไม่ต้องการความยินยอมและเห็นด้วยจากผู้ปกครองของฝ่ายชาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตำว่า วะลีย์ (ولي) หรือผู้ปกครองชายตามกฎหมายอิสลาม นักวิชาการมุสลิมได้ถือได้ว่าเพื่อให้ การนิกะห์ (แต่งงาน) ที่ถูกต้องจะต้องมีความยินยอมของเจ้าสาว, เจ้าบ่าว และ วะลีย์ของ เจ้าสาวหรือผู้ปกครองชายของเจ้าสาว มุมมองนี้ถูกจัดขึ้นโดยนักวิชาการมุสลิมส่วนมากที่สุด แต่ สำนักกฏหมายฮะนะฟีย์ ถือว่าการได้รับอนุญาต จากวะลีย์ไม่มีความจำเป็นสำหรับ การนิกะห์ การที่กำหนดผู้ชายเป็นวะลีย์ของเจ้าสาวนั้นเนื่องจากประเพณีอรับถือว่าผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิงซึ่งไม่ใช่หลักการของศาสนาอิสลามในเรื่องนี้แต่เป็นประเพณีอรับ
การเข้ารับ อิสลามเป็น มุสลิมนั้นไม่จำเป็นจะต้องเรียกว่ามุสลิมใหม่หรือมุสลิมเก่า มีมุสลิมจำนวนมากที่เกิดในครอบครัวมุสลิมไม่เคยกล่าวคำปฏิญาณหรือรู้จักคำปฏิญาณของการเป็นมุสลิม เนื่องจากเป็นมุสลิมโดยกำเนิดไม่เคยได้รับความรู้ในหลักการของศาสนาอิสลามจากผู้ใดหรือศึกษาหลักการของศาสนาอิสลาม
ดังนั้นเมื่อคุณได้เข้ารับอิสลามและเป็นมุสลิมมะห์ผู้หนึ่งแล้ว ผมขอแนะนำให้คุณปฏิบัติศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ สักวันหนึ่ง พระองค์อัลลอฮ์อาจทรงโปรดประานคู่ครองให้แก่คุณและเขาอาจจะเหมาะสมกับคุณมากกว่าชายมุสลิมผู้นี้
ตอบคำถามกระทู้เรื่อง "ทำยังไงดี เป็นมูอัลลัฟ มีแฟนแต่พ่อแม่แฟนไม่โอเค"
อัลลอฮ์ทรงบัญญัติไว้ใน ซูเราะฮฺอันนูร บัญญัติที่ 30 ว่า:
{24:30} จงบอกแก่บรรดาบุรุษผู้มีศรัทธา ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาอวัยวะเพศของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ
อัลลอฮ์ ทรงมีคำสั่งให้ชายมุสลิมควบคุมอารมณ์รักและความใคร่ของตนเองและจะต้องรักษาความบริสุทธิของตนเองไว้ (โดยไม่สมควรที่จะล่วงเกินเพศหญิง ไม่ว่าจะด้วยทางวาจา, ใจ และร่างกาย จนกว่าจะแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน) ทั้งนี้เพราะว่า ผู้ชายในฐานะเป็นเพศที่แข็งแกร่งกว่า และเป็นผู้จุดประกายความหลงไหลให้กับผู้หญิงดังนั้น พระเจ้าจึงมีตำสั่งต่อเพศชายก่อนคำสั่งในเพศหญิง (ในบัญญัติที่ 24:31)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การห้ามไม่ให้จ้องดูใบหน้าของผู้หญิงที่ไม่ใช่น้องสาวลูกสาวมารดาหรือภรรยาของเขาเป็นคำสั่งพื้นฐานในการห้ามไม่ให้มีความต้องการทางเพศผ่านทางสายตาของชาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทรงพลังที่สุดในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมทางเพศ, วิธีการที่ความรู้สึกรับรู้ในเรื่องเพศสัมพันที่ส่องผ่านทางสายตากระตุ้นความรู้สึกทางเพศต่อเพศตรงข้ามนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้กล่าวเกินความจริง ศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้ชายและหญิงหยอกล้อกันเล่นอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เช่นการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง หรือการดูหรือฟังเรื่องลามกต่างๆ รวมทั้งการ การจินตนาการในเรื่องความสัมพันทางเพศกับเพศตรงช้าม
เยาวชนหญิงผู้นี้ตั้งตำถามในเรื่องนิกะห์ ว่า:
1.ถ้าไปนิกะห์กันเองโดยที่ทางครอบครัวไม่รับรู้จะผิดหลักการของศาสนาอิสลามหรือไม?
ศาสนาอิสลามไม่ได้กำหนดอายุเฉพาะสำหรับการแต่งงานไม่ว่าจะสำหรับสามีหรือภรรยา ถ้าชายหรือหญิงทั้งคู่ยังเป็นผู้เยาว์ภายใต้ความดูแลของพ่อแม่
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้พ่อแม่ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายรับรู้ เพื่อความเหมาะสมในอายุและข้อบังคับของกฏหมายไทย ในการอนุมัติให้แต่งงาน ไม่มีข้อหลีกเลื่ยง
สำหรับอิสลามจำเป็นต้องได้รับความยินยอมเพียงอย่างเดียวคือ ผู้หญิงที่แต่งงานด้วย และชายที่แต่งงานด้วย และ ผู้ปกครองชาย ของฝ่ายหญิง (วะลีย์ ولي,ตาม กฏหมายอิสลาม ซึ่งไม่มีความจำเป็น จะอธิบายในภายหลัง ) ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ของผู้ชาย แต่ว่าการแต่งงานจะสมบูรณ์ตามประเพณี (ไม่ใช่ศาสนา) และเป็นการการรักษาน้ำใจกัน ก็ควรที่จะให้พ่อแม่ของฝ่ายชายรับรู้ด้วย
ในกรณีนี้ ถ้าทั้งฝ่ายชายและหญิงบรรลุนิติภาวะ ถูกต้อง ตามการกำหนดอายุในการแต่งงานภายใต้กฏหมายไทยแล้ว และสามารถรับผิดชอบในเรื่องกำลังทรัพย์ในการแต่งงาน และการสร้างครอบคร้วโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยครอบครัว ถึงแม้ว่าผู้ปกครองฝ่ายชายไม่เห็นด้วยก็ตาม, การนิกะห์ของคนทั้งสองสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากพ่อแม่ผู้ปกครอง (แต่คู่หญิง/ชายควรจะแจ้งให้ผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายได้ทราบและรับรู้ว่าเขาทั้งสองจะแต่งงานกันและมีการนิกะห์ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่ว่าผู้ปกครอง หรือพ่อแม่ของฝ่ายชายจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาสนาอิสลามไม่มีการคลุมถุงชน)
ดังนั้นการที่ฝ่ายชายอ้างผู้ปกครองครองไม่เห็นด้วยด้วยเนื่องจาก,"เขากลัวสภาพแวดล้อมของครอบครัวเรา(ฝ่ายหญิง)" เป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุดและเป็นการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตนเอง
2.การไปนิ๊ก๊ะที่ไกลมันผิดรึป่าวคะ? แล้วถ้าวันนึงเราได้นิก๊ะใครจะเป็นวลีให้กับเราคะ?
ถ้าฝ่ายหญิงรับรู้และยินยอม, ฝ่ายชายรับรู้และยินยอม ในการนิกะห์หรือตามหลักการแต่งงานตามศาสนาอิสลาม การนิกะห์ไม่ว่าจะระยะไกลหรือใกล้ ก็ตามไม่ผิดหลักการของศาสนาอิสลาม (คุณคงหมายถึงการนิกะห์กันอย่างเงียบๆ) พยานในการนิกะห์ มีผู้ที่นิกะห์ห์ให้คุณ และอัลลอฮ์ก็เพียงพอ อัลลอฮ์ทรงเป็น วะลีย์ (ولي) ที่สำคัญที่สุด ในการนิกะห์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาใครอื่นใดมาเป็นวะลีย์. แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายหญิงควรให้คุณพ่อและคุณแม่รับรู้เพื่อแสดงความเคารพความกตัญญู และรักษาน้ำใจต่อท่านทั้งสอง ศาสนาอิสลามไม่ต้องการความยินยอมและเห็นด้วยจากผู้ปกครองของฝ่ายชาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การเข้ารับ อิสลามเป็น มุสลิมนั้นไม่จำเป็นจะต้องเรียกว่ามุสลิมใหม่หรือมุสลิมเก่า มีมุสลิมจำนวนมากที่เกิดในครอบครัวมุสลิมไม่เคยกล่าวคำปฏิญาณหรือรู้จักคำปฏิญาณของการเป็นมุสลิม เนื่องจากเป็นมุสลิมโดยกำเนิดไม่เคยได้รับความรู้ในหลักการของศาสนาอิสลามจากผู้ใดหรือศึกษาหลักการของศาสนาอิสลาม
ดังนั้นเมื่อคุณได้เข้ารับอิสลามและเป็นมุสลิมมะห์ผู้หนึ่งแล้ว ผมขอแนะนำให้คุณปฏิบัติศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ สักวันหนึ่ง พระองค์อัลลอฮ์อาจทรงโปรดประานคู่ครองให้แก่คุณและเขาอาจจะเหมาะสมกับคุณมากกว่าชายมุสลิมผู้นี้