สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เคยมีแฟนจบที่อังกฤษทำงานที่อังกฤษแล้วก็กลับมาเจอกันที่ไทยแล้วก็เป็นแฟนกันได้ห้าปี ปัญหาก็เป็นแบบ จขกท. คือแรก ๆ ไปเที่ยวกันแฟนก็ออกให้หมดตั้งแต่ค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก หลัง ๆ เราก็เลยไม่อยากไปด้วยมันก็ทำให้ความสัมพันธ์แย่ พ่อแม่แฟนก็มักจะเอาไปเปรียบเทียบกับแฟนเก่า สุดท้ายก็เลิกกันไปต่อไม่ไหวจริง ๆ หลัก ๆ คือเรื่องหน้าที่การงานและสภาพครอบครัวที่แตกต่างกันทำให้แต่ละคนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เชื่อมกันไม่ติดในทุก ๆ ด้าน ตอนเราได้โปรโมทเป็นพนักงานระดับ Senior (อันดับเกือบล่างสุด) แฟนเก่าเราได้เป็น GM ของบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งไปแล้ว อันนี้คือตอนเป็นแฟนกันมันยากจริง ๆ
พอเลิกกับแฟนคนนั้นก็มาจีบอีกคน โปรไฟล์เรื่องฐานะคล้ายกับแฟนคนแรก แต่โชคดีที่ทำงานที่เดียวกัน เวลาจีบกันก็ไปจีบที่บ้านผู้หญิง ไม่เคยใช้เวลาไปร้านอาหารหรือสถานที่ๆ ต้องใช้เงินเยอะเลย แต่ผู้หญิงคนนี้จะใช้เวลาไปร้านอาหารตามห้าง หรือไปดูหนังกับผู้ชายคนอื่นมากกว่า (มีคนมาชอบหลายคน) เราไปจีบที่บ้านได้เดือนเดียวก็ตกลงแต่งงานกัน วันนี้ครบรอบสิบสองปี ช่วงเจ็ดปีแรกเราไปอยู่บ้านภรรยา ปัญหาต่าง ๆ ที่เหมือนจะมีมันก็ไม่มี เปรียบเทียบง่าย ๆ งานแต่งเราเล็กมาก ๆ สินสอดน้อยมาก ๆ แถมทุกอย่างออกกันละครึ่งหมดแต่ก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ให้เป็นประเด็น เปรียบเทียบกับงานแต่งพี่สาวภรรยาที่งานตอนเช้า ผบ.ตร.เป็นประธาน งานตอนเย็น ผบ.สส.เป็นประธาน
- เรื่องร้านอาหารไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะไปกินกับครอบครัวภรรยา คุณแม่ยืนพื้นเป็นคนจ่าย
- เรื่องเพื่อน และการไปต่างประเทศ ในส่วนนี้เราค่อนข้างแยกตัวออกมา คือต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง เราไม่เคยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกับภรรยาแม้แต่ครั้งเดียว เวลาภรรยาไปเที่ยวเราจะเล่นเกมส์ดูหนังอยู่บ้าน
- เรื่องเที่ยว เราไปเที่ยวกับครอบครัวภรรยาบ้าง แต่ถ้าไปเที่ยวกันสองคนก็นอนเต๊นท์ตลอด เวลาเขาเบื่อเที่ยวแบบนี้ เขาก็ไปเที่ยวในแบบของเขา แต่บางครั้งครอบครัวภรรยาอยากเที่ยวแบบโลคอล เราก็จะเป็นคนดำเนินการ
- เรื่องทัศนคติอันนี้สำคัญ ที่บ้านภรรยาไม่ทำให้ความแตกต่างเรื่องฐานะเป็นปัญหา และเราก็ไม่เคยต้องทำตัวว่าจะต้องให้มีศักดิ์ศรีทัดเทียม สภาพเป็นยังงัยก็เป็นยังงั้น เช่นเราใส่เสื้อไซส์เดียวกันกับพี่สาวภรรยา เวลาเขาให้เราก็ใส่ตามปกติไม่เคยทำตัวน้อยเนื้อต่ำใจ เสื้อทำงาน ถุงเท้าทำงาน พี่เขยภรรยาเป็นคนจัดมาให้ รองเท้าทำงานพ่อตาจัดมาให้ เวลาเราไม่อยากทำอะไรหรือไม่อยากไปในสังคมที่เราไม่ถนัดเราก็ไม่ไปก็ไม่มีใครว่าอะไร - สิ่งที่ทำให้เราคลิ๊กกับคนในบ้านคือเราอ่านหนังสือและสนใจค่อนข้างหลากหลาย หน้าที่การงานเราสามารถนำมาคุยกับคนในบ้านได้ และสามารถแนะนำเรื่องบางเรื่องให้คนในบ้านได้ ช่วงห้าปีหลังของชีวิตแต่งงานเราพาภรรยามาอยู่บ้านนอก ทำบ้านพักเล็ก ๆ ให้ภรรยาดูแล ก็แทบทุกเดือนที่ครอบครัวภรรยาจะต้องเดินทางมาพัก พ่อแม่ภรรยาก็เข้ากันได้ดีกับพ่อแม่เรา
- ภาษาที่ใช้ เราก็รู้ภาษาอังกฤษน้อยมาก แต่การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่รู้ภาษาอังกฤษกลับเป็นข้อดี เพราะเราจะได้ถามงัย อยากรู้อะไรก็ถามๆ ๆ ๆ บ้านนั้นก็ไม่เหนื่อยที่จะตอบนะ
จากการสัมผัสมาทั้งสองครอบครัวเราว่าทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผู้หญิงเป็นอันดับแรก แต่ที่สำคัญมากกว่าคือทัศนติของครอบครัว
พอเลิกกับแฟนคนนั้นก็มาจีบอีกคน โปรไฟล์เรื่องฐานะคล้ายกับแฟนคนแรก แต่โชคดีที่ทำงานที่เดียวกัน เวลาจีบกันก็ไปจีบที่บ้านผู้หญิง ไม่เคยใช้เวลาไปร้านอาหารหรือสถานที่ๆ ต้องใช้เงินเยอะเลย แต่ผู้หญิงคนนี้จะใช้เวลาไปร้านอาหารตามห้าง หรือไปดูหนังกับผู้ชายคนอื่นมากกว่า (มีคนมาชอบหลายคน) เราไปจีบที่บ้านได้เดือนเดียวก็ตกลงแต่งงานกัน วันนี้ครบรอบสิบสองปี ช่วงเจ็ดปีแรกเราไปอยู่บ้านภรรยา ปัญหาต่าง ๆ ที่เหมือนจะมีมันก็ไม่มี เปรียบเทียบง่าย ๆ งานแต่งเราเล็กมาก ๆ สินสอดน้อยมาก ๆ แถมทุกอย่างออกกันละครึ่งหมดแต่ก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ให้เป็นประเด็น เปรียบเทียบกับงานแต่งพี่สาวภรรยาที่งานตอนเช้า ผบ.ตร.เป็นประธาน งานตอนเย็น ผบ.สส.เป็นประธาน
- เรื่องร้านอาหารไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะไปกินกับครอบครัวภรรยา คุณแม่ยืนพื้นเป็นคนจ่าย
- เรื่องเพื่อน และการไปต่างประเทศ ในส่วนนี้เราค่อนข้างแยกตัวออกมา คือต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง เราไม่เคยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกับภรรยาแม้แต่ครั้งเดียว เวลาภรรยาไปเที่ยวเราจะเล่นเกมส์ดูหนังอยู่บ้าน
- เรื่องเที่ยว เราไปเที่ยวกับครอบครัวภรรยาบ้าง แต่ถ้าไปเที่ยวกันสองคนก็นอนเต๊นท์ตลอด เวลาเขาเบื่อเที่ยวแบบนี้ เขาก็ไปเที่ยวในแบบของเขา แต่บางครั้งครอบครัวภรรยาอยากเที่ยวแบบโลคอล เราก็จะเป็นคนดำเนินการ
- เรื่องทัศนคติอันนี้สำคัญ ที่บ้านภรรยาไม่ทำให้ความแตกต่างเรื่องฐานะเป็นปัญหา และเราก็ไม่เคยต้องทำตัวว่าจะต้องให้มีศักดิ์ศรีทัดเทียม สภาพเป็นยังงัยก็เป็นยังงั้น เช่นเราใส่เสื้อไซส์เดียวกันกับพี่สาวภรรยา เวลาเขาให้เราก็ใส่ตามปกติไม่เคยทำตัวน้อยเนื้อต่ำใจ เสื้อทำงาน ถุงเท้าทำงาน พี่เขยภรรยาเป็นคนจัดมาให้ รองเท้าทำงานพ่อตาจัดมาให้ เวลาเราไม่อยากทำอะไรหรือไม่อยากไปในสังคมที่เราไม่ถนัดเราก็ไม่ไปก็ไม่มีใครว่าอะไร - สิ่งที่ทำให้เราคลิ๊กกับคนในบ้านคือเราอ่านหนังสือและสนใจค่อนข้างหลากหลาย หน้าที่การงานเราสามารถนำมาคุยกับคนในบ้านได้ และสามารถแนะนำเรื่องบางเรื่องให้คนในบ้านได้ ช่วงห้าปีหลังของชีวิตแต่งงานเราพาภรรยามาอยู่บ้านนอก ทำบ้านพักเล็ก ๆ ให้ภรรยาดูแล ก็แทบทุกเดือนที่ครอบครัวภรรยาจะต้องเดินทางมาพัก พ่อแม่ภรรยาก็เข้ากันได้ดีกับพ่อแม่เรา
- ภาษาที่ใช้ เราก็รู้ภาษาอังกฤษน้อยมาก แต่การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่รู้ภาษาอังกฤษกลับเป็นข้อดี เพราะเราจะได้ถามงัย อยากรู้อะไรก็ถามๆ ๆ ๆ บ้านนั้นก็ไม่เหนื่อยที่จะตอบนะ
จากการสัมผัสมาทั้งสองครอบครัวเราว่าทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผู้หญิงเป็นอันดับแรก แต่ที่สำคัญมากกว่าคือทัศนติของครอบครัว
ความคิดเห็นที่ 10
จะบอกว่า 'ฐานะ' ไม่มีส่วนเลย ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่ามีส่วนมากพอต่อ 'ความสัมพันธ์' รึเปล่า ต้องขอบอกว่าบางคู่เท่านั้น ในความสัมพันธ์ของความรัก อยากให้มองดูที่ความเข้าใจกัน และการยอม การอภัยให้กัน มากกว่านะคะ ถ้าเรามีปัญหาเรื่องชีวิตความเป็นอยู่แบบที่กล่าวมาข้างต้น ให้ลองนึกว่า คนมีเงิน 1,000 บาท สามารถกินข้าว 100 บาท ได้ แต่คนที่มีเงิน 100 กินข้าว 1,000 บาท ไม่ได้ แต่แฟนคุณก็ยังมีบางโอกาสที่กินอาหารแบบที่คุณชอบได้ แสดงว่าคุณไม่ได้ลดตัวตนหรือการใช้ชีวิตคุณ 100% คุณแค่มีบางส่วนยอมให้แก่กัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะสมัยนี้คนมักจะยึดตัวเองเป็น 100% จนไม่แคร์สิ่งแวดล้อมใดใด
เท่าที่อ่านกระทู้ ที่เขาไม่สามารถกินหรือใช้ชีวิตแบบคุณได้ เพราะเขาแค่มีปัจจัยไม่เท่าคุณ ไม่ใช่เพราะ 'ไม่ต้องการ' อยากให้มองเรื่องของ 'Lifestyle' เป็นเรื่องรองมากเลย ขอยก story ของแฟนเราและเราเป็น Case study นะคะ แฟนและเรามีการใช้ชีวิตและฐานะและอายุและหน้าที่การงาน (เกือบทุกอย่าง) ต่างและห่างกันมาก อายุเราห่างกันเกือบ 20 ปี สถานที่เที่ยว หรือการไปทานอาหารด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นที่ที่เราไม่เคยไป เป็นลักษณะอาหารที่ปกติเราไม่ทาน เป็นหนังเข้าโรงที่ปกติเราไม่ดู เป็นหนังสือที่ปกติเราเคยอ่านมาบ้างแต่ไม่ได้ชอบอ่าน เป็นมุมมองเรื่องการสร้างบ้านที่ต่างกันออกไป พอนึกออกไหมคะ ว่าตอนพูดคุยมักจะขัดแย้งแค่ไหน แฟนเราเขาโตแล้วค่ะ มีฐานะดีมั่นคง และมีความเคยชินกับการใช้ชีวิตในแบบนั้นมากกว่าเรา ส่วนเรา บ้านฐานะไม่ดีเลย เมื่อมหาลัยเรากู้ทุนเรียน และตอนนี้เป็นหนี้ทุนนั้นอยู่ ยังไม่มีงานทำ และเราก็ไม่มีปัจจัยพอจะไปใช้ชีวิตกับแฟนเลย ช่วงแรกก็เคยชวนเขาทะเลาะ เรื่องความต่างกันค่ะ แต่สุดท้าย แฟนเราบอกกับเราว่า 'ที่เราคบกันเนี่ย ผมจริงจังนะ ผมเข้าใจว่าคุณยังไม่พร้อมในหลาย ๆ อย่าง แต่เพราะผมเข้าใจ มันจึงไม่ใช่ปัญหา ผมไม่อยากให้คุณน้อยใจหรือเก็บเอาไปคิดมากเรื่องการใช้ชีวิตของเรา ผมเคยมีแฟนมาหลายแบบ แบบที่ฐานะหรือหน้าที่การงานส่งเสริมกันแต่สุดท้ายแล้วเขารักในสิ่งอื่นมากกว่าก็มี จากอะไรที่เคยลงตัว ก็กลายเป็นเอาแต่ตัวเอง เพราะตอนคบกันมองแค่ว่าเขาอยู่กับเราน่าจะเข้ากันได้ เพราะทำงานที่เดียวกัน กินข้าวด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน สุดท้ายแล้วเข้ากันได้ แต่กลับไม่ยอมให้กัน ต่างคนต่างอยากเป็นตัวเอง และเรารักกันไม่มากพอที่จะยอมกัน ก็เลิกลา ส่วนเรื่องของเรา ผมรักคุณมาก ถ้าอะไรที่คุณไม่สบายใจ ผมจะตามใจคุณ ถ้าคุณยังไม่พร้อมตรงไหน ผมจะสนับสนุนคุณ ผมมีชีวิตแบบเดิมแค่ 20% ก็พอ เพราะตั้งแต่คุณเข้ามา ชีวิตผมก็เปลี่ยนไปเกือบ 100% แล้ว' สรุปที่คุยกันประมาณนี้ค่ะ
แต่ถึงแม้เขาจะยอมเรามาก เราก็ไม่ได้เอาเปรียบเขานะคะ เราสลับกันไปทำเรื่องที่ชอบของแต่ละฝ่ายค่ะ แฟนเราชอบดูหนังอะไร เราก็ไปร่วมด้วย เราชอบกินอาหารอะไรแฟนก็จะพาไปบ้างค่ะ แฟนเราชอบเรื่องการลงทุน เริ่มสนใจเรื่องหุ้น เราไม่ค่อยรู้เรื่อง เราก็หาความรู้เพิ่มค่ะ เราอยากส่งเสริมแฟนบ้าง อยากให้เขาบ้าง เพราะส่วนใหญ่มานี้ เขาให้เรามากกว่าเราให้เขาค่ะ ทะเลาะกันไม่เคยเกิน 30 นาทีค่ะ เขาก็ยอมให้เรา ทะเลาะกัน 6-7 ครั้งแรก ยอมให้ตลอด จนอายตัวเอง จนเราเริ่มไม่ทะเลาะแล้ว เริ่มใช้การยอมแบบเขา มองโลกแบบเขาว่า บางอย่างไม่ตรงใจบ้างก็ปล่อยไป ไม่ต้องต่อสู้เพื่อความชอบส่วนตัวทุกเรื่องก็ได้ แฟนเราอายุประมาณเลข 4 แล้วค่ะ ใจเย็นมาก ประสบการณ์เยอะมาก รู้วิธีจัดการกับเด็กแบบเรา เขาไม่ใช้เหตุผลเลย ทะเลาะทีไร เราพยายามใช้เหตุผลและอารมณ์ตลอด 30 นาที จนเราเหนื่อยไปเอง และเขาก็ยอมอยู่แล้ว หลายครั้งเข้า เราก็สำนึกตัวเองว่าไม่ควรใช้อารมณ์ หรือพูดจาไม่ดีกับแฟนอีก พอเราเห็นเขายอมให้เราเป็นตัวอย่าง เราก็เริ่มดรอปฮอร์โมนวัยรุ่นลงมาบ้าง พอเรา open mind ให้เขา อะไรหลาย ๆ อย่างก็ไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะ เราใจเย็นขึ้น หลายอย่างในชีวิตเราเปลี่ยนไปเหมือนกัน เรารู้สึกโชคดีที่มีเขา ภูมิใจในตัวเองที่มีทัศนคติและสติที่ดีขึ้น หลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปตั้งแต่เขาเข้ามา แต่เราไม่รู้สึกไม่เป็นตัวเองเลย เราเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิมมาก ๆ
สู้ ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ ขอโทษที่ comment ยาวมาก ๆ จริง ๆ เราอยากแชร์การใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขค่ะ การอยู่ด้วยกัน อย่าพยายามนั่งคิดตลอดเวลาว่าถ้าทำอย่างงี้ ใครเสียเปรียบและได้เปรียบ เรายอมสุดตัวไปเลยค่ะ ทุ่มเทไปเลย(ทุ่มเทแต่พอดีนะคะ) แล้วสุดท้ายมาถามตัวเองว่า ใช่ไหม มีความสุขไหม เรายอมให้เขาขนาดนี้ ตัวเราแย่ไหม ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ เรารักเขาอยู่ไหม มองไปที่อนาคต เราเห็นภาพคู่แล้ว ภาพคู่นั้นเรามีความสุขรึเปล่า ถ้าสุดท้ายมันไม่ใช่ ก็ถือว่าเราได้รักอย่างบริสุทธิ์แล้วค่ะ อย่างน้อยเราก็เต็มที่แล้ว ขอบคุณสำหรับการอ่าน comment นะคะ
เท่าที่อ่านกระทู้ ที่เขาไม่สามารถกินหรือใช้ชีวิตแบบคุณได้ เพราะเขาแค่มีปัจจัยไม่เท่าคุณ ไม่ใช่เพราะ 'ไม่ต้องการ' อยากให้มองเรื่องของ 'Lifestyle' เป็นเรื่องรองมากเลย ขอยก story ของแฟนเราและเราเป็น Case study นะคะ แฟนและเรามีการใช้ชีวิตและฐานะและอายุและหน้าที่การงาน (เกือบทุกอย่าง) ต่างและห่างกันมาก อายุเราห่างกันเกือบ 20 ปี สถานที่เที่ยว หรือการไปทานอาหารด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นที่ที่เราไม่เคยไป เป็นลักษณะอาหารที่ปกติเราไม่ทาน เป็นหนังเข้าโรงที่ปกติเราไม่ดู เป็นหนังสือที่ปกติเราเคยอ่านมาบ้างแต่ไม่ได้ชอบอ่าน เป็นมุมมองเรื่องการสร้างบ้านที่ต่างกันออกไป พอนึกออกไหมคะ ว่าตอนพูดคุยมักจะขัดแย้งแค่ไหน แฟนเราเขาโตแล้วค่ะ มีฐานะดีมั่นคง และมีความเคยชินกับการใช้ชีวิตในแบบนั้นมากกว่าเรา ส่วนเรา บ้านฐานะไม่ดีเลย เมื่อมหาลัยเรากู้ทุนเรียน และตอนนี้เป็นหนี้ทุนนั้นอยู่ ยังไม่มีงานทำ และเราก็ไม่มีปัจจัยพอจะไปใช้ชีวิตกับแฟนเลย ช่วงแรกก็เคยชวนเขาทะเลาะ เรื่องความต่างกันค่ะ แต่สุดท้าย แฟนเราบอกกับเราว่า 'ที่เราคบกันเนี่ย ผมจริงจังนะ ผมเข้าใจว่าคุณยังไม่พร้อมในหลาย ๆ อย่าง แต่เพราะผมเข้าใจ มันจึงไม่ใช่ปัญหา ผมไม่อยากให้คุณน้อยใจหรือเก็บเอาไปคิดมากเรื่องการใช้ชีวิตของเรา ผมเคยมีแฟนมาหลายแบบ แบบที่ฐานะหรือหน้าที่การงานส่งเสริมกันแต่สุดท้ายแล้วเขารักในสิ่งอื่นมากกว่าก็มี จากอะไรที่เคยลงตัว ก็กลายเป็นเอาแต่ตัวเอง เพราะตอนคบกันมองแค่ว่าเขาอยู่กับเราน่าจะเข้ากันได้ เพราะทำงานที่เดียวกัน กินข้าวด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน สุดท้ายแล้วเข้ากันได้ แต่กลับไม่ยอมให้กัน ต่างคนต่างอยากเป็นตัวเอง และเรารักกันไม่มากพอที่จะยอมกัน ก็เลิกลา ส่วนเรื่องของเรา ผมรักคุณมาก ถ้าอะไรที่คุณไม่สบายใจ ผมจะตามใจคุณ ถ้าคุณยังไม่พร้อมตรงไหน ผมจะสนับสนุนคุณ ผมมีชีวิตแบบเดิมแค่ 20% ก็พอ เพราะตั้งแต่คุณเข้ามา ชีวิตผมก็เปลี่ยนไปเกือบ 100% แล้ว' สรุปที่คุยกันประมาณนี้ค่ะ
แต่ถึงแม้เขาจะยอมเรามาก เราก็ไม่ได้เอาเปรียบเขานะคะ เราสลับกันไปทำเรื่องที่ชอบของแต่ละฝ่ายค่ะ แฟนเราชอบดูหนังอะไร เราก็ไปร่วมด้วย เราชอบกินอาหารอะไรแฟนก็จะพาไปบ้างค่ะ แฟนเราชอบเรื่องการลงทุน เริ่มสนใจเรื่องหุ้น เราไม่ค่อยรู้เรื่อง เราก็หาความรู้เพิ่มค่ะ เราอยากส่งเสริมแฟนบ้าง อยากให้เขาบ้าง เพราะส่วนใหญ่มานี้ เขาให้เรามากกว่าเราให้เขาค่ะ ทะเลาะกันไม่เคยเกิน 30 นาทีค่ะ เขาก็ยอมให้เรา ทะเลาะกัน 6-7 ครั้งแรก ยอมให้ตลอด จนอายตัวเอง จนเราเริ่มไม่ทะเลาะแล้ว เริ่มใช้การยอมแบบเขา มองโลกแบบเขาว่า บางอย่างไม่ตรงใจบ้างก็ปล่อยไป ไม่ต้องต่อสู้เพื่อความชอบส่วนตัวทุกเรื่องก็ได้ แฟนเราอายุประมาณเลข 4 แล้วค่ะ ใจเย็นมาก ประสบการณ์เยอะมาก รู้วิธีจัดการกับเด็กแบบเรา เขาไม่ใช้เหตุผลเลย ทะเลาะทีไร เราพยายามใช้เหตุผลและอารมณ์ตลอด 30 นาที จนเราเหนื่อยไปเอง และเขาก็ยอมอยู่แล้ว หลายครั้งเข้า เราก็สำนึกตัวเองว่าไม่ควรใช้อารมณ์ หรือพูดจาไม่ดีกับแฟนอีก พอเราเห็นเขายอมให้เราเป็นตัวอย่าง เราก็เริ่มดรอปฮอร์โมนวัยรุ่นลงมาบ้าง พอเรา open mind ให้เขา อะไรหลาย ๆ อย่างก็ไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะ เราใจเย็นขึ้น หลายอย่างในชีวิตเราเปลี่ยนไปเหมือนกัน เรารู้สึกโชคดีที่มีเขา ภูมิใจในตัวเองที่มีทัศนคติและสติที่ดีขึ้น หลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปตั้งแต่เขาเข้ามา แต่เราไม่รู้สึกไม่เป็นตัวเองเลย เราเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิมมาก ๆ
สู้ ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ ขอโทษที่ comment ยาวมาก ๆ จริง ๆ เราอยากแชร์การใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขค่ะ การอยู่ด้วยกัน อย่าพยายามนั่งคิดตลอดเวลาว่าถ้าทำอย่างงี้ ใครเสียเปรียบและได้เปรียบ เรายอมสุดตัวไปเลยค่ะ ทุ่มเทไปเลย(ทุ่มเทแต่พอดีนะคะ) แล้วสุดท้ายมาถามตัวเองว่า ใช่ไหม มีความสุขไหม เรายอมให้เขาขนาดนี้ ตัวเราแย่ไหม ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ เรารักเขาอยู่ไหม มองไปที่อนาคต เราเห็นภาพคู่แล้ว ภาพคู่นั้นเรามีความสุขรึเปล่า ถ้าสุดท้ายมันไม่ใช่ ก็ถือว่าเราได้รักอย่างบริสุทธิ์แล้วค่ะ อย่างน้อยเราก็เต็มที่แล้ว ขอบคุณสำหรับการอ่าน comment นะคะ
แสดงความคิดเห็น
แฟนฐานะต่างกันมาก จะไปรอดไหมคะ ขอคำแนะนำ
ขอเกริ่นก่อนว่า เราคบกับแฟนคนนี้ได้ประมาณ 5 เดือน ซึ่งฐานะเราสองคนค่อนข้างต่างกันมาก คือบ้านแฟนทำธุรกิจส่วนตัวได้เงินพอใช้เดือนชนเดือน เงินเก็บแทบไม่มีค่ะ ส่วนบ้านเราค่อนข้างมีฐานะพี่น้องเรียนเมืองนอกหมด ปัญหาที่เราเจอมีดังนี้ค่ะ
1. ร้านอาหาร - ปกติเราอาหารในห้างบ่อยมากค่ะแทบจะทุกวัน มื้อละ200-400ว่าไปค่ะ พอคบกับแฟนเรากินง่ายๆตามสั่งตลอดหรือร้านข้างทาง ซึ่งนานๆทีแฟนจะยอมชวนไปกินร้านอาหารในห้อง ตอนแรกๆเราก็ไม่อะไร แต่ผ่านสักพักคิดถึงความหลากหลายของร้านอาหารในห้างมากค่ะ
2. เพื่อน - เราพาแฟนไปกินข้าวหรือเที่ยวกับเพื่อนไม่ได้เลยค่ะ เพราะค่อนข้างแพงสำหรับไปสำหรับแฟน ปีหน้าเพื่อนแพลนกันจะไปเที่ยวตปท. แฟนเราก็ไม่มีเงินพอจะไปค่ะ
3. เที่ยว - เวลาไปเที่ยว จองโรงแรม เราต้องนอนที่พักราคาค่อนข้างถูก ซึ่งเราก็ไม่ค่อยโอเคนะคะจริงๆแล้วคือเราติดสะอาดมาก แต่ก็ยอมมาตลอด แต่จริงๆเราอยากพักที่พักดีๆ วิวสวยๆ ถ่ายรูปสวยๆน่ะค่ะ
4. ทัศนคติ - เราอยากให้แฟนเลิกทำธุรกิจกับที่บ้าน บอกตรงๆว่าธุรกิจที่บ้านแฟนไม่จำเป็นต้องมีแฟนก็ได้ค่ะ คือทุกวันนี้เหมือนแฟนเรานั่งเล่นเกมอยู่บ้านมกกว่า อยากให้เขาไปหาอย่างอื่นทำ แต่ติดตรงแฟนจบแค่ม6 ค่ะ
5. ภาษาที่ใช้ - ครอบครัวเราเรียนเมืองนอกกันหมด บางทีภาษาอังกฤษมันออกมาไวกว่าภาษาไทยค่ะ ซึ่งเขาก็จะไม่ค่อยรุ้เรื่องตามไม่ทัน
อันนี้คือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญหานะคะ แต่เรากับแฟนไม่มีปัญหากันค่ะไม่ทะเลาะกัน มีความสุขดีค่ะแฟนนิสัยดีน่ารักไม่เอาเปรียบ ไม่เคยมาขอให้เราเลี้ยงหรืออะไร ทุกท่านมีความเห็นยังไงคะ ขอคำแนะนำหน่อยนะคะขอบคุณค่ะ