ฝากถึงกระบะสีเงินคันนั้น...

สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีเรื่องจะมาเล่าเกี่ยวกับการขับรถในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเรื่องราวไม่น่ามีอะไรมาก แต่คิดว่าถ้ามีขึ้นมาวันนี้เรากับแม่คงได้ไปนอนโรงพยาบาลแทนบ้านแน่ๆ

ช่วงสองทุ่มครึ่งวันนี้เรามีนัดกับเพื่อนรุ่นพี่เพราะฝากซื้อของชิ้นหนึ่ง เลยชวนแม่มาด้วยเพราะจะแวะไปดูของต่อที่ห้างแถวบ้าน ระหว่างขับรถขึ้นสะพานข้ามแยก ก็เจอไฟหน้ารถคันหลังส่องมาแสบตามาก เป็นไฟสีขาวสว่างเหมือนสปอตไลท์ ในใจคิดว่าน่าจะเป็นรถที่มีไฟสูงพวกตระกูลฟอร์จูนเนอร์เพราะเจอบ่อย เลยตัดสินใจเร่งเครื่องเพื่อจะได้ทิ้งห่างเพราะไม่อยากให้แสงแยงตา จะได้ไม่เป็นอันตรายเวลาขับรถ แต่แล้วก็งงที่จู่ๆ แสงนั้นก็ยิ่งสว่างแสบตาขึ้นเรื่อยๆ เพราะรถหลังขับจี้มาติดๆ ทั้งที่ตอนนั้นเราขับเกือบจะ 100/Km อยู่แล้ว ทางบนสะพานมีแค่สองเลน อันตรายมากแต่ก็ยิ่งแสบตาขึ้นเรื่อยๆ เลยต้องเร่งความเร็วขึ้นอีกเพราะอยากทิ้งห่างให้พ้นสายตา 

ตอนนั้นรถส่วนใหญ่วิ่งเลนขวา เพราะสะพานนี้เลนซ้ายมอเตอร์ไซด์วิ่งประจำ แต่วันนี้ไม่มีเราเลยขับชิดซ้าย เพราะพอลงสะพานก็ต้องรีบชิดซ้ายเข้าซอยเหมือนกัน แต่จนแล้วจนรอด ไฟก็ยังแยงตาไม่หยุด พอลงสะพานเราเลยเปิดไฟซ้ายเพื่อจะเบี่ยงเลนหลบเลยดีกว่า ตอนนั้นก็เห็นรถคันหลังขับอยู่ข้างหลังคร่อมระหว่างเลนเรากับเลนซ้าย เราคิดว่าถ้าเค้าเห็นไฟเลี้ยวซ้ายก็น่าจะแซงขวาไปเลย เพราะดูขับมาเร็วพอสมควรน่าจะอยากแซงเราแล้ว ดังนั้นการหลบเข้าซ้ายน่าจะทำให้เค้าได้แซงเร็วขึ้น แต่แค่ 1-2 วิ รถคันนี้ก็หายไป โผล่มาอีกทีคืออยู่ห่างจากด้านซ้ายรถเราแค่ครึ่งไม้บรรทัด หวิดจะชนมิชนแหล่ และชะลอความเร็วให้เท่ากับรถเรา เพื่อบังไม่ให้เราเข้าเลนซ้าย จนในที่สุดเราก็เข้าไม่ทัน และต้องอ้อมมาใหม่อีกรอบเพราะขับเลยซอยมาแล้ว ส่วนคันนั้นพอแซงเราได้ก็ขับปาดหน้าเราทันที จนเราต้องบีบแตรใส่ไปหนึ่งที

ส่วนรถคันนั้นเราได้เห็นคนขับแว่บหนึ่งเพราะกระจกค่อนข้างใส แม้จะมืดมาก แต่แสงไฟริมถนนช้วงนั้นก็ส่องให้เห็นพอสมควร ว่าเป็นผู้ชายอายุน่าจะ 30-40 ปี และสุดท้ายก็ไม่ใช่รถฟอร์จูนเนอร์หรืออะไร แต่เป็นกระบะสีเงินที่มองยี่ห้อไม่ทัน แต่บอกเลยว่าวินาทีที่ขับมาห่างรถเราแค่ครึ่งไม้บรรทัด แม่เราร้องกรี๊ดเลย เราก็ช็อกไปเลยเหมือนกัน เพราะกำลังจะเข้าเลนซ้ายที่ดูโล่งๆ แต่แค่วินาทีเดียวก็โผล่มาอยู่ซ้ายมือเราซะแล้ว

ยังดีที่เราเป็นพวกจิตแข็ง และเบี่ยงกลับเลนเดิมทันแบบรถไม่เสียการทรงตัว เพราะปกติจะระวังเวลาเปลี่ยนเลนอยู่แล้ว

...พอมีสติหายตกใจ เราเลยเรียบเรียงกับแม่ว่าเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้นบ้าง สุดท้ายได้ข้อสรุปว่ารถคันนั้นน่าจะ "เปิดไฟสูง" เพื่อขอทาง ไม่ใช่รถที่มีไฟสูงอย่างที่เราเคยเจอ ดังนั้นการที่เราขับเร็วขึ้นและบังหน้ารถเค้า น่าจะทำให้คันขับเข้าใจผิดและรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก จนเกิดเหตุการ์ณ "เฉียดตาย" ของเรากับแม่แบบเมื่อกี๊

ใช่ค่ะ เราอาจใช้คำว่าเวอร์ว่าเฉียดตาย แต่ด้านซ้ายที่นั่งรถเราคือแม่ที่อายุ 68 ปี เราอายุ 40 ปี รวมกันสองคนก็ร้อยปีกว่าๆ ไม่ได้คิดจะขับรถแกล้งใครมาก่อน เพราะยังอยากใช้ชีวิตไปอีกนานๆ ไม่เคยคิดจะเอามาเสี่ยงบนท้องถนนแบบนี้ เพราะถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ไม่ว่าจะตายหรือไม่ตาย คืนนี้คงได้ไป รพ.ก่อนเป็นอันดับแรก และคนแก่อายุ 68 ปี ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะมีอาการแทรกซ้อนอีกหลายอย่างมาก คิดยังไงก็ไม่คุ้มกับความเสี่ยงนี้จริงๆ...

ดังนั้นการตั้งกระทู้ครั้งนี้ เราไม่อยากถือโทษคนขับกระบะคันนั้น เพราะถ้าเค้าเข้าใจผิดว่าเราแกล้งขับบังเลน ก็เป็นไปได้ที่จะโกรธ

แต่การแสดงออกด้วยความโกรธบนท้องถนนที่ต้องแลกกับ "ชีวิต" อยากขอให้ช่วยทบทวนอีกครั้งว่ามัน "คุ้ม" แล้วหรือไม่?

เพราะถ้ารถชนกันจริงๆ เราน่าจะเจ็บด้วยกันทั้งคู่ โชคดีอย่างมากก็ไปนอน รพ. ด้วยกันสามคนหรือมากกว่านั้น ถ้าในรถคุณมีคนนั่งมาด้วย แต่ถ้าโชคไม่ดี อาจมีใครสักคนได้ไปที่วัด...แทนการกลับบ้าน

เราเองก็เคยโกรธเวลาเจอใครขับรถปาดหน้าหรือตั้งใจกวนแบบเห็นชัดๆ แต่เพราะรู้ว่าวินาทีเดียวที่พลาด ก็คือชีวิตทั้งเขาและเรา คิดยังไงก็ไม่คุ้มที่จะแลก โดยเฉพาะครั้งนี้ที่มีแม่นั่งมาด้วย ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาคิดไม่ออกเลยว่าเราและครอบครัวจะเสียใจขนาดไหน

เลยอยากฝากถึงทุกคนนะคะ ถ้าเป็นไปได้อย่าเอาความโกรธวูบเดียวมาเสี่ยงแบบนี้เลย เพราะบางครั้งคันที่เหมือนจะแกล้งเค้าอาจไม่มีเจตนาแบบนั้นก็ได้ เหมือนกรณีของเราที่รถขึ้นสะพานแบบนี้ มองไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นไฟสูงตามปกติหรือเปิดไฟสูงขอทาง เพราะมันมืดแล้วและแสบตาจนเพ่งมองไม่ไหว หรืออย่างน้อยถ้าเปิดไฟสูงขอทางแล้วยังไม่หลบ อาจกระพริบซ้ำ หรือกดแตรก็ได้ แต่อย่าทำแบบนี้เลย หัวใจจะวายเอาจริงๆ (ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเรากับแม่ยังตกใจอยู่เลย)

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่