ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า บทสัมภาษณ์ที่เราจะได้อ่านกันทั้งหมดนี้ เป็นบทสัมภาษณ์แบบ Exclusive จากการที่กวางได้สัมภาษณ์ตรงถึงคุณทอม วอลเลอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และ คุณจิม วอร์นี่ นักดำน้ำในภาพยนตร์และในเหตุการณ์จริง ผ่านการประสานงานของทีมงานภาพยนตร์ The Cave นางนอน ที่ได้ให้โอกาสสัมภาษณ์ ซึ่งต้องขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ค่ะ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ร้อนแรงแซงทุกทางจริงๆ ทั้งกระแสต้านและกระแสเชียร์ มีเข้ามาเท่าๆกัน และในขณะเดียวกันก็มีเสียงโต้แย้งจากหลายท่านที่เป็นประเด็นกันรายวันเลย
จากแรกเริ่มเดิมทีที่คิดจะรีวิวหนังทั่วๆไปอย่างที่เคยได้ทำ เรากลับคิดว่าสิ่งที่น่าจะทำได้ดีกว่าการรีวิวในครั้งนี้ ที่เป็นการถ่ายทอดมุมมองจากการดูหนังของเราแค่คนเดียว คือการได้รับรู้ถึงหลายเรื่องราวที่มากไปกว่าในหนัง เช่น เครดิตท้ายหนัง ที่ทำไม KFC ต้องเป็นสปอนเซอร์ เรื่องนี้ก็ยังอยากรู้
ซึ่งหลังจากที่เราได้รับการอนุญาตในการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ กวางก็ได้เรียบเรียงคำถามที่คิดว่าจะออกมาเป็นบทสัมภาษณ์ ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจและเรื่องราวที่หลายคนยังไม่รู้ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีดราม่า ไม่มีคำถามที่ชงให้เกิดประเด็น และเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครถาม เป็นสิ่งที่คุณทอมได้บอกกับเราไว้ และเป็นที่มาในการสัมภาษณ์ครั้งนี้
เราเริ่มกันที่การสัมภาษณ์คุณจิม วอร์นี่ นักดำน้ำในภาพยนตร์และในเรื่องจริงกับการช่วยชีวิตทีมหมูป่าที่ถ้ำหลวงนางนอน มีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ และอีกหลายเรื่องที่ทำให้เห็นได้เลยว่า คุณจิมมีความตั้งใจ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายคนมากทีเดียว
ก่อนหน้านี้คุณจิมเคยมาเมืองไทย?
“ผมไม่เคยมาเมืองไทยมาก่อน และไม่มีแพลนที่จะมาเมืองไทยเลย จนถึงวันที่เกิดเหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง ที่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องมา เพราะถ้าเป็นมุมของการท่องเที่ยว ผมแค่มีแพลนไปดำน้ำเพื่อสำรวจดูถ้ำต่างๆแค่นั้น”
แล้วปัจจุบันคุณจิมทำอาชีพอะไร อยากให้เล่าเพื่อให้คนที่ชื่นชอบได้รู้จักตัวตนของคุณจิม
“ในส่วนของอาชีพหลักที่ทำอยู่ ผมทำงานในเรื่องที่เกี่ยวกับไฟฟ้า โดยลักษณะงานจะทำงานตามสัญญาจ้างหรือเรียกง่ายๆว่า ฟรีแลนซ์ คือถ้าใครต้องการให้ทำงานเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้า ก็จะจ้างตัวผมไปทำงาน เช่นเดียวกันกับช่วงเหตุการณ์ถ้ำหลวง ตอนนั้นผมก็กำลังทำเรื่องไฟฟ้าให้กับโรงงานที่ใกล้ๆกับสนามบินของไอร์แลนด์ แต่ก็เป็นช่วงที่ผมต้องใช้เวลามาก และต้องใช้การโฟกัสมากๆในเรื่องของการกู้ภัยที่ถ้ำหลวง เพราะต้องลงพื้นที่เพื่อพูดคุยและหาข้อมูลเพิ่ม ทำให้ในตอนหลังผมต้องลาออกจากงานไฟฟ้า และเดินหน้าในเรื่องของการดำน้ำกู้ภัยในถ้ำ ที่จะช่วยเป็นเคสศึกษาให้กับคนอื่นๆ และเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ องค์ความรู้ ให้มีประโยชน์ในอนาคต ผมจึงเริ่มมาเปิดบริษัททำเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญกับโลกใบนี้มากๆ”
ตอนได้รับการติดต่อครั้งแรกให้มาแสดงหนัง กับ ติดต่อให้ไปช่วยเด็กๆ ฟีลลิ่งต่างกันแค่ไหน
“ต้องบอกว่า เป็นฟีลลิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตเลย ไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อน อย่างตอนที่ได้ไปช่วยเด็กๆที่ถ้ำหลวง มันมีทั้งอารมณ์ที่มีความสุข ความตื่นเต้น ที่จะได้ไปทำ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีทั้งความกลัว ความเครียด อารมณ์มันขึ้นลงตลอดเวลา แต่พอถึงเวลาที่ได้เข้าไปปฏิบัติการณ์จริง ได้เข้าไปช่วยทีมหมูป่า ตอนนั้นผมได้ใช้ประสบการณ์และทักษะต่างๆที่ได้เคยร่วมงานกับทีมใหญ่ๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายมากๆในด้านของการดำน้ำในถ้ำ ที่จะได้ใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดในการเข้าไปช่วยเหลือคน เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารักที่จะทำมากๆ”
แล้วในด้านของงานแสดงรู้สึกอย่างไรบ้าง
“ในด้านของการแสดงหนัง มันเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ทำ ซึ่งตลอดมาก็ยังคิดว่า เราจะทำอย่างไรได้บ้างที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ในครั้งนี้ให้คนอื่นๆได้ทราบกัน ถึงแม้ส่วนงานที่ผมทำมันจะเป็นส่วนน้อยนิดในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ตาม แต่สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่มีค่าและอยากถ่ายทอดให้คนอื่นได้รู้ ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีกัน ที่ผมเริ่มมีความคิดแบบนี้และได้เจอกับคุณทอมที่เป็นผู้กำกับ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนหนังเริ่มฉาย มันก็เป็นช่วงเวลาของความสุขที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่มีคนสนใจในสิ่งเล็กๆที่ผมทำ แต่ถ้าในมุมของนักแสดง ผมก็ยังรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งก็คิดว่าถ้าการมาเป็นนักแสดงจะทำให้ได้ถ่ายทอดในสิ่งที่เราได้ทำ เป็นประสบการณ์ให้คนอื่นๆได้เรียนรู้ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีและสบายใจที่ได้ทำ”
คุณจิมไม่ใช่นักแสดงมาก่อน มีวิธีอย่างไรถึงได้ถ่ายทอดได้ไม่แพ้นักแสดงมืออาชีพ
“ผมแค่รู้สึกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าต้องมาแสดงแล้วว่า มันเป็นสิ่งที่ผมดีใจที่จะทำ เพราะมันสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆได้ และเป็นการให้ความหมายสำหรับคนที่มีชีวิตคนธรรมดาคนหนึ่ง ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ได้เข้าไปช่วยเด็กๆในครั้งนั้น”
คุณจิมเตรียมตัวกับการเป็นนักแสดงนานแค่ไหน แล้วอะไรที่ยากที่สุดในการเป็นนักแสดงในครั้งนี้
“ผมไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย เพราะผมไม่ได้เป็นนักแสดงอยู่แล้ว ผมจะเครียดในส่วนที่ต้องเข้าไปกู้ภัย ตอนต้องดำน้ำ และขั้นตอนต่างๆที่จะต้องถ่ายทอดให้คนอื่นๆได้เห็น อันนี้เป็นเรื่องที่ผมกังวลมากกว่า แต่พอได้เห็นตัวเองในจอ ก็รู้แปลกๆเลยนะ เพราะเราไม่เคยมีทักษะด้านนี้มาก่อนเลย แต่ระหว่างทางก็อาศัยการดูในสิ่งที่ตัวเองทำ ดูทุกขั้นตอนและทำให้ดีขึ้นในทุกฉากระหว่างถ่ายทำ คือมันเหมือนกับตอนที่เราได้เข้าไปช่วยเด็กๆที่ถ้ำหลวง เราก็ต้องคิดและไตร่ตรองไปทุกด่าน ระหว่างทางเราคิดตลอดให้มันดี การแสดงหนังก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน”
อะไรคือความท้าทายของนักดำน้ำกู้ภัยที่ต้องมาเป็นนักแสดง
“ความท้าทายในเรื่องนี้คือ การที่เหตุการณ์นี้มีคุณค่าที่อยู่ในหนัง เพราะนอกเหนือในแต่ละบทบาทของตัวแสดงก็ยังมีเพื่อนของผมที่เข้าไปช่วยกันอีกหลายคน ซึ่งบางคนก็ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ แต่ในขณะที่บางคนไม่ได้มีส่วนร่วมในหนัง แต่ทุกคนก็ช่วยให้กำลังใจผมเป็นอย่างมาก ซึ่งการที่หลายๆคนไม่ได้เข้ามาร่วมในหนัง ผมก็รู้สึกเป็นตัวคนเดียว แต่ก็ตั้งใจที่จะต้องเล่าให้รอบด้านและสมบูรณ์มากที่สุด”
อะไรคือสิ่งสำคัญในการดำน้ำกู้ภัยในถ้ำ
“การที่ได้มาเป็นอาสาสมัครดำน้ำกู้ภัย คือสิ่งที่ผมตั้งใจว่า ผมจะได้เรียนรู้และได้ทักษะสูงสุดในการปฏิบัติงานในแต่ละครั้งในทุกๆเลเวล ทำให้แต่ละครั้งเมื่อได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ผมก็นำมาเก็บไว้เป็นประสบการณ์เพื่อช่วยเหลือทั้งคนทั่วไปและเพื่อนนักดำน้ำด้วยกัน เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมเคยไปช่วยชีวิตเพื่อนดำน้ำออกมาจากถ้ำ ตามที่ในหนังเล่าไว้ มันทำให้รู้ว่าทักษะการช่วยชีวิตในถ้ำไม่ได้มีกันได้ทุกคน แต่มันมีค่ามากเมื่อได้ใช้สิ่งเหล่านี้ช่วยชีวิตคนได้”
วันที่รู้ว่าต้องมาช่วยเด็กๆ อะไรที่ทำให้อยากมา และอะไรที่เป็นกังวล
“ถ้าถามว่าอะไรที่เป็นกังวล น่าจะเป็นเรื่องความพิเศษของตัวถ้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีระยะทางที่ท้าทาย และเป็นเคสที่เข้าไปติดในถ้ำที่น้ำท่วม เลยเป็นเหตุการณ์ที่มีความไม่ธรรมดาทั้งหมดรวมอยู่ แต่ถ้าพูดถึงถ้ำอื่นๆแล้ว ก็บอกไม่ได้เลยว่า ผลลัพธ์ในความยากและความไม่ธรรมดาทั้งหมดนี้ จะออกมาดีและสำเร็จแบบนี้หรือไม่ เพราะทั้งความหนาวในถ้ำ ความเจ็บปวดทางร่างกายที่อาจเกิดขึ้น และอีกหลายๆองค์ประกอบ มันบอกไม่ได้เลยว่าจะสำเร็จได้เหมือนครั้งนี้”
ในด้านที่ทำให้อยากมาร่วมภารกิจครั้งนี้
“Take care out there, I'm here if you need me ถ้าจำกันได้ ประโยคนี้คือประโยคในหนังที่ผมส่งไปหาคุณคริส เพื่อนของผมที่ถูกส่งตัวมากู้ภัย คือตอนนั้นผมเห็นคุณคริสออนไลน์ในกล่องข้อความแมสเซ็นเจอร์ แล้วรู้ว่าเขาไปปฏิบัติภารกิจ ผมเลยส่งข้อความนี้ไปหาเขา ซึ่งความตั้งใจตอนนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องไปช่วยเด็กหรือต้องเป็นฮีโร่ แต่ผมแค่คิดว่า นี่เป็นการไปช่วยเพื่อนเพื่อช่วยกันทำภารกิจตรงหน้าให้สำเร็จ ผมคิดแค่นี้จริงๆ”
สิ่งที่คุณจิมประทับใจมากที่สุดในเหตุการณ์ถ้ำหลวงนางนอน คืออะไร
“สิ่งที่ผมประทับใจในครั้งนี้ที่สุดคือ ความใจดีและมีมิตรภาพที่น่ารักของคนไทย อีกทั้งแรงผลักดันจากทั่วโลก ที่ทำให้สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ กลับเป็นไปได้จากความเชื่อของทุกคน”
สิ่งที่คุณจิมได้รับ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ ความรู้สึก ในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ คืออะไร
แล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้ อะไรที่ทำให้คุณจิมข้ามขีดจำกัดของตัวเองในเรื่องใดบ้าง
“ถ้าเป็นในมุมของคนอื่นๆที่ผมได้ยินมาและมาบอกกับผม คงเป็นเรื่องการทำงานภายใต้แรงกดตัน ความเครียดที่ไม่เหมือนใคร และทั้งหมดนี้ก็ทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆได้ มันเป็นสิ่งที่ผมได้รับรู้มา แต่สำหรับตัวผมแล้ว ผมหวังแค่ว่าครั้งนี้คงไม่ใช่ที่สุดของการก้าวข้ามขีดจำกัดของผม แต่อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ผมได้เริ่มทำสิ่งอื่นๆและเป็นความสำเร็จในก้าวต่อไป”
ทุกวันนี้คุณจิมดำน้ำบ่อยไหม ชอบไปดำน้ำที่ไหนประจำ
“ผมจะดำน้ำที่ถ้ำเป็นปกติอยู่แล้วในทุกอาทิตย์ แต่ช่วงหลังที่เริ่มมารับผิดชอบเรื่องถ้ำหลวงจนยาวมาถึงการถ่ายหนัง เลยไม่ได้ออกไปดำน้ำได้บ่อยเหมือนเมื่อก่อน”
มีสถานที่ไหนที่คุณจิมอยากไปดำน้ำ ที่เหมือนเป็นความท้าทายครั้งใหม่
“จริงๆผมไม่มีจุดหมายที่อยากไปขนาดนั้น เพราะเป้าหมายหลักของผมคือการลงไปสำรวจถ้ำในประเทศที่ผมอยู่ ให้ทั่วทั้งหมด คือที่ไอร์แลนด์”
คุณจิมชอบอาหารไทยเมนูไหนที่สุด อยู่ที่ร้านไหน หรือ ไปเที่ยวในไทยที่ไหนแล้วชอบที่สุด
“ผมไม่ได้ชอบเมนูอะไรเป็นพิเศษ ผมไปได้ทุกที่และชอบทุกที่ แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งมาค้นพบที่ประเทศไทยและชอบมาก คือ ชมพู่”
การมาเมืองไทยครั้งนี้ ได้เพื่อนเพิ่มแค่ไหน แล้วได้เปิดประสบการณ์อะไรให้คุณจิมบ้าง
“สำหรับการมาเมืองไทยครั้งนี้ มันเป็นการเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่ในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติในต่างจังหวัด แต่ก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าที่ไหนเป็นพิเศษ เพราะโดยรวมในครั้งนี้ผมมาทำภารกิจ เลยไม่มีเวลาได้ลงลึกในแต่ละที่มากนัก แต่รวมๆก็ประทับใจในทุกๆที่ที่ได้ไป และอีกความรู้สึกที่ชัดมากในการมาเมืองไทยครั้งนี้ คือเหมือนผมได้มาออกรบ แล้วได้เพื่อนพี่น้องที่มาร่วมรบด้วยกัน ได้รู้จัก ได้คอนเนคชั่นเพิ่ม ยิ่งตอนถ่ายทำหนังทุกคนต้อนรับผมดีมาก ดูแลผมดี มันทำให้เรามั่นใจมากขึ้นในการที่ได้ทำงาน”
ถ้าอีก 20 ปีข้างหน้า ถ้าคุณจิมได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานฟัง อะไรคือสิ่งที่อยากบอกกับพวกเขาให้จดจำในเหตุการณ์นี้
“ถ้าใน 20 ปีข้างหน้า ผมคิดว่า วันนี้มันเป็นสิ่งที่ปูทางให้ผมได้เริ่มต้นทำเพื่อเดินหน้าต่อไปในอีกเป้าหมายหนึ่ง และเป็นเรื่องที่ผมจะเล่าให้ลูกชายของผมฟัง ในความท้าทายในเหตุการณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายๆคน"
"ผมรู้สึกดีใจที่มีคนสนใจในสิ่งเล็กๆที่ผมทำ” ทุกคำถามที่ยังไม่เคยมีใครสัมภาษณ์ ผู้กำกับและนักดำน้ำ THE CAVE นางนอน
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า บทสัมภาษณ์ที่เราจะได้อ่านกันทั้งหมดนี้ เป็นบทสัมภาษณ์แบบ Exclusive จากการที่กวางได้สัมภาษณ์ตรงถึงคุณทอม วอลเลอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และ คุณจิม วอร์นี่ นักดำน้ำในภาพยนตร์และในเหตุการณ์จริง ผ่านการประสานงานของทีมงานภาพยนตร์ The Cave นางนอน ที่ได้ให้โอกาสสัมภาษณ์ ซึ่งต้องขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ค่ะ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ร้อนแรงแซงทุกทางจริงๆ ทั้งกระแสต้านและกระแสเชียร์ มีเข้ามาเท่าๆกัน และในขณะเดียวกันก็มีเสียงโต้แย้งจากหลายท่านที่เป็นประเด็นกันรายวันเลย
จากแรกเริ่มเดิมทีที่คิดจะรีวิวหนังทั่วๆไปอย่างที่เคยได้ทำ เรากลับคิดว่าสิ่งที่น่าจะทำได้ดีกว่าการรีวิวในครั้งนี้ ที่เป็นการถ่ายทอดมุมมองจากการดูหนังของเราแค่คนเดียว คือการได้รับรู้ถึงหลายเรื่องราวที่มากไปกว่าในหนัง เช่น เครดิตท้ายหนัง ที่ทำไม KFC ต้องเป็นสปอนเซอร์ เรื่องนี้ก็ยังอยากรู้
ซึ่งหลังจากที่เราได้รับการอนุญาตในการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ กวางก็ได้เรียบเรียงคำถามที่คิดว่าจะออกมาเป็นบทสัมภาษณ์ ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจและเรื่องราวที่หลายคนยังไม่รู้ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีดราม่า ไม่มีคำถามที่ชงให้เกิดประเด็น และเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครถาม เป็นสิ่งที่คุณทอมได้บอกกับเราไว้ และเป็นที่มาในการสัมภาษณ์ครั้งนี้
เราเริ่มกันที่การสัมภาษณ์คุณจิม วอร์นี่ นักดำน้ำในภาพยนตร์และในเรื่องจริงกับการช่วยชีวิตทีมหมูป่าที่ถ้ำหลวงนางนอน มีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ และอีกหลายเรื่องที่ทำให้เห็นได้เลยว่า คุณจิมมีความตั้งใจ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายคนมากทีเดียว
ก่อนหน้านี้คุณจิมเคยมาเมืองไทย?
“ผมไม่เคยมาเมืองไทยมาก่อน และไม่มีแพลนที่จะมาเมืองไทยเลย จนถึงวันที่เกิดเหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง ที่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องมา เพราะถ้าเป็นมุมของการท่องเที่ยว ผมแค่มีแพลนไปดำน้ำเพื่อสำรวจดูถ้ำต่างๆแค่นั้น”
แล้วปัจจุบันคุณจิมทำอาชีพอะไร อยากให้เล่าเพื่อให้คนที่ชื่นชอบได้รู้จักตัวตนของคุณจิม
“ในส่วนของอาชีพหลักที่ทำอยู่ ผมทำงานในเรื่องที่เกี่ยวกับไฟฟ้า โดยลักษณะงานจะทำงานตามสัญญาจ้างหรือเรียกง่ายๆว่า ฟรีแลนซ์ คือถ้าใครต้องการให้ทำงานเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้า ก็จะจ้างตัวผมไปทำงาน เช่นเดียวกันกับช่วงเหตุการณ์ถ้ำหลวง ตอนนั้นผมก็กำลังทำเรื่องไฟฟ้าให้กับโรงงานที่ใกล้ๆกับสนามบินของไอร์แลนด์ แต่ก็เป็นช่วงที่ผมต้องใช้เวลามาก และต้องใช้การโฟกัสมากๆในเรื่องของการกู้ภัยที่ถ้ำหลวง เพราะต้องลงพื้นที่เพื่อพูดคุยและหาข้อมูลเพิ่ม ทำให้ในตอนหลังผมต้องลาออกจากงานไฟฟ้า และเดินหน้าในเรื่องของการดำน้ำกู้ภัยในถ้ำ ที่จะช่วยเป็นเคสศึกษาให้กับคนอื่นๆ และเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ องค์ความรู้ ให้มีประโยชน์ในอนาคต ผมจึงเริ่มมาเปิดบริษัททำเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญกับโลกใบนี้มากๆ”
ตอนได้รับการติดต่อครั้งแรกให้มาแสดงหนัง กับ ติดต่อให้ไปช่วยเด็กๆ ฟีลลิ่งต่างกันแค่ไหน
“ต้องบอกว่า เป็นฟีลลิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตเลย ไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อน อย่างตอนที่ได้ไปช่วยเด็กๆที่ถ้ำหลวง มันมีทั้งอารมณ์ที่มีความสุข ความตื่นเต้น ที่จะได้ไปทำ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีทั้งความกลัว ความเครียด อารมณ์มันขึ้นลงตลอดเวลา แต่พอถึงเวลาที่ได้เข้าไปปฏิบัติการณ์จริง ได้เข้าไปช่วยทีมหมูป่า ตอนนั้นผมได้ใช้ประสบการณ์และทักษะต่างๆที่ได้เคยร่วมงานกับทีมใหญ่ๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายมากๆในด้านของการดำน้ำในถ้ำ ที่จะได้ใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดในการเข้าไปช่วยเหลือคน เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารักที่จะทำมากๆ”
แล้วในด้านของงานแสดงรู้สึกอย่างไรบ้าง
“ในด้านของการแสดงหนัง มันเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ทำ ซึ่งตลอดมาก็ยังคิดว่า เราจะทำอย่างไรได้บ้างที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ในครั้งนี้ให้คนอื่นๆได้ทราบกัน ถึงแม้ส่วนงานที่ผมทำมันจะเป็นส่วนน้อยนิดในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ตาม แต่สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่มีค่าและอยากถ่ายทอดให้คนอื่นได้รู้ ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีกัน ที่ผมเริ่มมีความคิดแบบนี้และได้เจอกับคุณทอมที่เป็นผู้กำกับ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนหนังเริ่มฉาย มันก็เป็นช่วงเวลาของความสุขที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่มีคนสนใจในสิ่งเล็กๆที่ผมทำ แต่ถ้าในมุมของนักแสดง ผมก็ยังรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งก็คิดว่าถ้าการมาเป็นนักแสดงจะทำให้ได้ถ่ายทอดในสิ่งที่เราได้ทำ เป็นประสบการณ์ให้คนอื่นๆได้เรียนรู้ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีและสบายใจที่ได้ทำ”
คุณจิมไม่ใช่นักแสดงมาก่อน มีวิธีอย่างไรถึงได้ถ่ายทอดได้ไม่แพ้นักแสดงมืออาชีพ
“ผมแค่รู้สึกตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าต้องมาแสดงแล้วว่า มันเป็นสิ่งที่ผมดีใจที่จะทำ เพราะมันสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆได้ และเป็นการให้ความหมายสำหรับคนที่มีชีวิตคนธรรมดาคนหนึ่ง ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ได้เข้าไปช่วยเด็กๆในครั้งนั้น”
คุณจิมเตรียมตัวกับการเป็นนักแสดงนานแค่ไหน แล้วอะไรที่ยากที่สุดในการเป็นนักแสดงในครั้งนี้
“ผมไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย เพราะผมไม่ได้เป็นนักแสดงอยู่แล้ว ผมจะเครียดในส่วนที่ต้องเข้าไปกู้ภัย ตอนต้องดำน้ำ และขั้นตอนต่างๆที่จะต้องถ่ายทอดให้คนอื่นๆได้เห็น อันนี้เป็นเรื่องที่ผมกังวลมากกว่า แต่พอได้เห็นตัวเองในจอ ก็รู้แปลกๆเลยนะ เพราะเราไม่เคยมีทักษะด้านนี้มาก่อนเลย แต่ระหว่างทางก็อาศัยการดูในสิ่งที่ตัวเองทำ ดูทุกขั้นตอนและทำให้ดีขึ้นในทุกฉากระหว่างถ่ายทำ คือมันเหมือนกับตอนที่เราได้เข้าไปช่วยเด็กๆที่ถ้ำหลวง เราก็ต้องคิดและไตร่ตรองไปทุกด่าน ระหว่างทางเราคิดตลอดให้มันดี การแสดงหนังก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน”
อะไรคือความท้าทายของนักดำน้ำกู้ภัยที่ต้องมาเป็นนักแสดง
“ความท้าทายในเรื่องนี้คือ การที่เหตุการณ์นี้มีคุณค่าที่อยู่ในหนัง เพราะนอกเหนือในแต่ละบทบาทของตัวแสดงก็ยังมีเพื่อนของผมที่เข้าไปช่วยกันอีกหลายคน ซึ่งบางคนก็ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ แต่ในขณะที่บางคนไม่ได้มีส่วนร่วมในหนัง แต่ทุกคนก็ช่วยให้กำลังใจผมเป็นอย่างมาก ซึ่งการที่หลายๆคนไม่ได้เข้ามาร่วมในหนัง ผมก็รู้สึกเป็นตัวคนเดียว แต่ก็ตั้งใจที่จะต้องเล่าให้รอบด้านและสมบูรณ์มากที่สุด”
อะไรคือสิ่งสำคัญในการดำน้ำกู้ภัยในถ้ำ
“การที่ได้มาเป็นอาสาสมัครดำน้ำกู้ภัย คือสิ่งที่ผมตั้งใจว่า ผมจะได้เรียนรู้และได้ทักษะสูงสุดในการปฏิบัติงานในแต่ละครั้งในทุกๆเลเวล ทำให้แต่ละครั้งเมื่อได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ผมก็นำมาเก็บไว้เป็นประสบการณ์เพื่อช่วยเหลือทั้งคนทั่วไปและเพื่อนนักดำน้ำด้วยกัน เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมเคยไปช่วยชีวิตเพื่อนดำน้ำออกมาจากถ้ำ ตามที่ในหนังเล่าไว้ มันทำให้รู้ว่าทักษะการช่วยชีวิตในถ้ำไม่ได้มีกันได้ทุกคน แต่มันมีค่ามากเมื่อได้ใช้สิ่งเหล่านี้ช่วยชีวิตคนได้”
วันที่รู้ว่าต้องมาช่วยเด็กๆ อะไรที่ทำให้อยากมา และอะไรที่เป็นกังวล
“ถ้าถามว่าอะไรที่เป็นกังวล น่าจะเป็นเรื่องความพิเศษของตัวถ้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีระยะทางที่ท้าทาย และเป็นเคสที่เข้าไปติดในถ้ำที่น้ำท่วม เลยเป็นเหตุการณ์ที่มีความไม่ธรรมดาทั้งหมดรวมอยู่ แต่ถ้าพูดถึงถ้ำอื่นๆแล้ว ก็บอกไม่ได้เลยว่า ผลลัพธ์ในความยากและความไม่ธรรมดาทั้งหมดนี้ จะออกมาดีและสำเร็จแบบนี้หรือไม่ เพราะทั้งความหนาวในถ้ำ ความเจ็บปวดทางร่างกายที่อาจเกิดขึ้น และอีกหลายๆองค์ประกอบ มันบอกไม่ได้เลยว่าจะสำเร็จได้เหมือนครั้งนี้”
ในด้านที่ทำให้อยากมาร่วมภารกิจครั้งนี้
“Take care out there, I'm here if you need me ถ้าจำกันได้ ประโยคนี้คือประโยคในหนังที่ผมส่งไปหาคุณคริส เพื่อนของผมที่ถูกส่งตัวมากู้ภัย คือตอนนั้นผมเห็นคุณคริสออนไลน์ในกล่องข้อความแมสเซ็นเจอร์ แล้วรู้ว่าเขาไปปฏิบัติภารกิจ ผมเลยส่งข้อความนี้ไปหาเขา ซึ่งความตั้งใจตอนนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องไปช่วยเด็กหรือต้องเป็นฮีโร่ แต่ผมแค่คิดว่า นี่เป็นการไปช่วยเพื่อนเพื่อช่วยกันทำภารกิจตรงหน้าให้สำเร็จ ผมคิดแค่นี้จริงๆ”
สิ่งที่คุณจิมประทับใจมากที่สุดในเหตุการณ์ถ้ำหลวงนางนอน คืออะไร
“สิ่งที่ผมประทับใจในครั้งนี้ที่สุดคือ ความใจดีและมีมิตรภาพที่น่ารักของคนไทย อีกทั้งแรงผลักดันจากทั่วโลก ที่ทำให้สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ กลับเป็นไปได้จากความเชื่อของทุกคน”
สิ่งที่คุณจิมได้รับ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ ความรู้สึก ในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ คืออะไร
แล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้ อะไรที่ทำให้คุณจิมข้ามขีดจำกัดของตัวเองในเรื่องใดบ้าง
“ถ้าเป็นในมุมของคนอื่นๆที่ผมได้ยินมาและมาบอกกับผม คงเป็นเรื่องการทำงานภายใต้แรงกดตัน ความเครียดที่ไม่เหมือนใคร และทั้งหมดนี้ก็ทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆได้ มันเป็นสิ่งที่ผมได้รับรู้มา แต่สำหรับตัวผมแล้ว ผมหวังแค่ว่าครั้งนี้คงไม่ใช่ที่สุดของการก้าวข้ามขีดจำกัดของผม แต่อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ผมได้เริ่มทำสิ่งอื่นๆและเป็นความสำเร็จในก้าวต่อไป”
ทุกวันนี้คุณจิมดำน้ำบ่อยไหม ชอบไปดำน้ำที่ไหนประจำ
“ผมจะดำน้ำที่ถ้ำเป็นปกติอยู่แล้วในทุกอาทิตย์ แต่ช่วงหลังที่เริ่มมารับผิดชอบเรื่องถ้ำหลวงจนยาวมาถึงการถ่ายหนัง เลยไม่ได้ออกไปดำน้ำได้บ่อยเหมือนเมื่อก่อน”
มีสถานที่ไหนที่คุณจิมอยากไปดำน้ำ ที่เหมือนเป็นความท้าทายครั้งใหม่
“จริงๆผมไม่มีจุดหมายที่อยากไปขนาดนั้น เพราะเป้าหมายหลักของผมคือการลงไปสำรวจถ้ำในประเทศที่ผมอยู่ ให้ทั่วทั้งหมด คือที่ไอร์แลนด์”
คุณจิมชอบอาหารไทยเมนูไหนที่สุด อยู่ที่ร้านไหน หรือ ไปเที่ยวในไทยที่ไหนแล้วชอบที่สุด
“ผมไม่ได้ชอบเมนูอะไรเป็นพิเศษ ผมไปได้ทุกที่และชอบทุกที่ แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งมาค้นพบที่ประเทศไทยและชอบมาก คือ ชมพู่”
การมาเมืองไทยครั้งนี้ ได้เพื่อนเพิ่มแค่ไหน แล้วได้เปิดประสบการณ์อะไรให้คุณจิมบ้าง
“สำหรับการมาเมืองไทยครั้งนี้ มันเป็นการเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่ในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติในต่างจังหวัด แต่ก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าที่ไหนเป็นพิเศษ เพราะโดยรวมในครั้งนี้ผมมาทำภารกิจ เลยไม่มีเวลาได้ลงลึกในแต่ละที่มากนัก แต่รวมๆก็ประทับใจในทุกๆที่ที่ได้ไป และอีกความรู้สึกที่ชัดมากในการมาเมืองไทยครั้งนี้ คือเหมือนผมได้มาออกรบ แล้วได้เพื่อนพี่น้องที่มาร่วมรบด้วยกัน ได้รู้จัก ได้คอนเนคชั่นเพิ่ม ยิ่งตอนถ่ายทำหนังทุกคนต้อนรับผมดีมาก ดูแลผมดี มันทำให้เรามั่นใจมากขึ้นในการที่ได้ทำงาน”
ถ้าอีก 20 ปีข้างหน้า ถ้าคุณจิมได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานฟัง อะไรคือสิ่งที่อยากบอกกับพวกเขาให้จดจำในเหตุการณ์นี้
“ถ้าใน 20 ปีข้างหน้า ผมคิดว่า วันนี้มันเป็นสิ่งที่ปูทางให้ผมได้เริ่มต้นทำเพื่อเดินหน้าต่อไปในอีกเป้าหมายหนึ่ง และเป็นเรื่องที่ผมจะเล่าให้ลูกชายของผมฟัง ในความท้าทายในเหตุการณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายๆคน"