ก่อนอื่นเลยหนูต้องขออนุญาตคุณหมอทุกท่านเลยนะคะ ขอนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวหนูเองมาแบ่งปันให้ได้อ่านกัน
หนูสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยหลักฐานทางการแพทย์แต่อย่างใดนะคะ
แล้วเราก็เข้ารพ.อีกรอบเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 เป็นเวลา 10 วัน
ด้วยอาการชาหนาๆที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า เห็นภาพซ้อน เดินเซขวาเหมือนคนเมา แขนขาอ่อนแรง มือสั่น ใช้กรรไกรตัดเล็บเองไม่ได้ ต้องก้มหัวเวลาหวีผม ลายมือเปลี่ยนและล้มปากแตกหัวกระแทกพื้น
ครั้งนี้นอนห้องรวมธรรมดา 30 เตียง
ตลอดระยะเวลาที่นอนรพ.มีตรวจอะไรหลายๆอย่าง mri emg เจาะน้ำไขสันหลัง บลาๆๆๆ
แล้ววันหนึ่งช่วงหัวค่ำมีหมอ 2 ท่านเดินมาบอกว่า ทางทีมแพทย์วินิจฉัยว่าเราเป็นโรคเอ็มเอส (ms หรือ Multiple Sclerosis)
ขณะนั้นในหัวของเราคือ มันคือโรคอะร้ายยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!! (วิบัติเพื่ออรรถรส)
หมออธิบายเพิ่มแบบสั้นๆ
“โรคms หรือโรคปลอกประสาทอักเสบ เป็นโรคทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นกับคนตะวันตกซะส่วนใหญ่
หาได้น้อยมากในประเทศไทย[0.5 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน (ข้อมูลจากเว็บของมหาวิทยาลัยมหิดล)]
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครรู้สาเหตุของโรคและยังไม่มียารักษาให้หายขาดแต่มียาที่ชะลออาการของโรคที่จะทำให้โรคอยู่ในภาวะสงบซึ่งมีทั้งยาฉีดและยากิน เป็นยากดภูมิ….”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หน้าตาและอารมณ์ในตอนนั้นเพราะมันเกิดความคาดหมายของเราไปมากๆ
เราลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้เองในอินเทอร์เน็ตแล้วมันก็ทำให้เรากังวลนะ เครียดเลยสิ
เรากำลังจะเดินไม่ได้ เราจะตาบอด เราเป็นตัวภาระต้องลำบากครอบครัวอีกทั้งเรื่องของค่าใช้จ่ายและการดูแลเรา
“คิดๆๆๆไปก่อนและคิดไปเอง” (นิสัยไม่ดีเอาซะเลย)
เครียดจนนอนไม่หลับ ต้องขอยานอนหลับจากหมอ มีจิตแพทย์มานั่งคุยด้วย
เราเป็นคนที่เชื่อว่าทุกอย่างมันมีเหตุและผล ทุกเหตุการณ์มันมีเหตุที่ทำให้เหตุการณ์นั้นเกิดจนบางครั้งมันก็สุดโต่งเกินไปเช่นครั้งนี้นี่แหละ
เราพยายามคิดหาเหตุผลและถามตัวเองว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา ถามย้ำๆอยู่ในหัว
จนยอมแพ้ คิดจนเหนื่อยว่าต่อให้เราถามเป็นสิบล้านครั้งเราก็ไม่ได้คำตอบของคำถามนี้หรอกแล้วถ้าเราจะถาม เราต้องถามใคร ใครจะไปรู้ ก็ในเมื่อปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครรู้สาเหตุของโรค
ฉะนั้น the show must go on ยังไงชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ปล่อยมันบ้างก็ได้ ผ่อนมันลงบ้างก็ดี
วันใดวันหนึ่งข้างหน้า หมอก็น่าจะให้คำตอบเราได้
ตัดสินใจลองสู้กับมันซักตั้งหน่อยจะเป็นไร ไม่mngก็gooต้องตายกันไปข้าง
อ่าาาา อย่างไรก็ดี
เรื่องเจ็บไข้มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆค่ะ
ดูแลสุขภาพกัน กันไว้(ให้ดีที่สุด)ก่อนแก้ดีกว่านะคะ
แดดช่วงเช้ามันเป็นยาดีเลยนะเธออออ
ช่วงจะอ่านก็ได้ไม่อ่านก็ได้
เราวินิจฉัยด้วยศาสตร์แห่งการเดาของตัวเองล้วนๆว่าเราน่าจะเป็นโรคภูมิคุ้มกันเอ๋อๆเพี้ยนๆนี้มาตั้งแต่ 9 ขวบเพราะในตอนนั้นมันมีอาการคล้ายๆกัน
คือ เห็นภาพซ้อน(เริ่มเป็นตั้งแต่ 9 ขวบแล้วก็หายแล้วก็เป็นอีก เป็นๆหายๆอยู่หลายครั้ง) ร่างกายซีกซ้ายชาและผล mri ในตอนนั้นมันก็คล้ายๆกับผล mri ที่เพิ่งทำแต่ครั้งนี้อาจจะหนักกว่า
เมื่อฉันป่วยหนักจนหมอกุมขมับ [2]
ด้วยอาการชาหนาๆที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า เห็นภาพซ้อน เดินเซขวาเหมือนคนเมา แขนขาอ่อนแรง มือสั่น ใช้กรรไกรตัดเล็บเองไม่ได้ ต้องก้มหัวเวลาหวีผม ลายมือเปลี่ยนและล้มปากแตกหัวกระแทกพื้น
ครั้งนี้นอนห้องรวมธรรมดา 30 เตียง
ตลอดระยะเวลาที่นอนรพ.มีตรวจอะไรหลายๆอย่าง mri emg เจาะน้ำไขสันหลัง บลาๆๆๆ
แล้ววันหนึ่งช่วงหัวค่ำมีหมอ 2 ท่านเดินมาบอกว่า ทางทีมแพทย์วินิจฉัยว่าเราเป็นโรคเอ็มเอส (ms หรือ Multiple Sclerosis)
ขณะนั้นในหัวของเราคือ มันคือโรคอะร้ายยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!! (วิบัติเพื่ออรรถรส)
หมออธิบายเพิ่มแบบสั้นๆ
“โรคms หรือโรคปลอกประสาทอักเสบ เป็นโรคทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นกับคนตะวันตกซะส่วนใหญ่
หาได้น้อยมากในประเทศไทย[0.5 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน (ข้อมูลจากเว็บของมหาวิทยาลัยมหิดล)]
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครรู้สาเหตุของโรคและยังไม่มียารักษาให้หายขาดแต่มียาที่ชะลออาการของโรคที่จะทำให้โรคอยู่ในภาวะสงบซึ่งมีทั้งยาฉีดและยากิน เป็นยากดภูมิ….”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้เองในอินเทอร์เน็ตแล้วมันก็ทำให้เรากังวลนะ เครียดเลยสิ
เรากำลังจะเดินไม่ได้ เราจะตาบอด เราเป็นตัวภาระต้องลำบากครอบครัวอีกทั้งเรื่องของค่าใช้จ่ายและการดูแลเรา
“คิดๆๆๆไปก่อนและคิดไปเอง” (นิสัยไม่ดีเอาซะเลย)
เครียดจนนอนไม่หลับ ต้องขอยานอนหลับจากหมอ มีจิตแพทย์มานั่งคุยด้วย
เราเป็นคนที่เชื่อว่าทุกอย่างมันมีเหตุและผล ทุกเหตุการณ์มันมีเหตุที่ทำให้เหตุการณ์นั้นเกิดจนบางครั้งมันก็สุดโต่งเกินไปเช่นครั้งนี้นี่แหละ
เราพยายามคิดหาเหตุผลและถามตัวเองว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา ถามย้ำๆอยู่ในหัว
จนยอมแพ้ คิดจนเหนื่อยว่าต่อให้เราถามเป็นสิบล้านครั้งเราก็ไม่ได้คำตอบของคำถามนี้หรอกแล้วถ้าเราจะถาม เราต้องถามใคร ใครจะไปรู้ ก็ในเมื่อปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครรู้สาเหตุของโรค
ฉะนั้น the show must go on ยังไงชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ปล่อยมันบ้างก็ได้ ผ่อนมันลงบ้างก็ดี
วันใดวันหนึ่งข้างหน้า หมอก็น่าจะให้คำตอบเราได้
ตัดสินใจลองสู้กับมันซักตั้งหน่อยจะเป็นไร ไม่mngก็gooต้องตายกันไปข้าง
เรื่องเจ็บไข้มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆค่ะ
ดูแลสุขภาพกัน กันไว้(ให้ดีที่สุด)ก่อนแก้ดีกว่านะคะ
แดดช่วงเช้ามันเป็นยาดีเลยนะเธออออ
ช่วงจะอ่านก็ได้ไม่อ่านก็ได้
เราวินิจฉัยด้วยศาสตร์แห่งการเดาของตัวเองล้วนๆว่าเราน่าจะเป็นโรคภูมิคุ้มกันเอ๋อๆเพี้ยนๆนี้มาตั้งแต่ 9 ขวบเพราะในตอนนั้นมันมีอาการคล้ายๆกัน
คือ เห็นภาพซ้อน(เริ่มเป็นตั้งแต่ 9 ขวบแล้วก็หายแล้วก็เป็นอีก เป็นๆหายๆอยู่หลายครั้ง) ร่างกายซีกซ้ายชาและผล mri ในตอนนั้นมันก็คล้ายๆกับผล mri ที่เพิ่งทำแต่ครั้งนี้อาจจะหนักกว่า