นกแก้วที่เลี้ยงเอาไว้ พูดว่า ‘อย่ายิงนะ…’
เป็นอีกหนึ่งการไขปริศนาคดีฆาตกรรม ที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้ โดยสืบจากประโยคของนกแก้วที่พูดว่า ‘อย่ายิงนะ..’
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2015 Martin Duram สามีของ Glenna Duram ถูกยิงเสียชีวิต ทว่าด้วยหลักฐานอะไรต่างๆ ทำให้ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
ดูเหมือนว่าคดีความทุกอย่างจะจบลง นกแก้วที่เป็นสัตว์เลี้ยงของสามีผู้เสียชีวิต ได้ถูกนำไปเลี้ยงต่อโดย Christina Keller (ภรรยาเก่า)
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้า Bud ได้ย้ายมาอยู่กับ Keller เธอก็สังเกตเห็นพฤติกรรมที่แปลกออกไปบางอย่าง มันชอบพูดคำว่า ‘อย่ายิงนะ..’
ประโยคสั้นๆ ที่ออกมาจากปากของนกแก้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องกลับมารื้อฟื้นคดีความนี้ใหม่หมดอีกครั้ง โดยญาติฝั่งผู้ตายเชื่อว่าประโยคคำพูดนั้น เป็นประโยคสุดท้ายที่ออกจากปากของผู้ตาย
Lilian Duram มารดาของผู้ตายได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันคิดว่าตอนเหตุการณ์เกิดเจ้านกแก้วคงอยู่ตรงนั้น เธออาจลืมไปว่านกแก้วมักจะจดจำทุกอย่างรอบตัว แม้กระทั่งคำพูดโดยที่พวกมันไม่สนแม้แต่ความหมาย
ครอบครัวเราเจ็บปวดมากตลอดเวลา 2 ปี ที่ต้องเห็นฆาตกรใช้ชีวิตอย่างอิสระ โดยที่เราไม่มีหลักฐานมากพอจะไปมัดตัวเธอได้เลย”
เรียกได้ว่าเจ้านกแก้วกลายมาเป็นพยานปากเอกที่ช่วยไขรูปคดี โดยฆาตกรสาว Glenna Duram จะต้องเข้ารับการตัดสินโทษจากศาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2017 ก่อนจะถูกส่งตัวไปยังเรือนจำตามฐานความผิดของเธอ
Cr.catdumb.com/
สืบต้นตอจากภาพเซลฟี
การเซลฟีไม่ได้มีแค่ข้อเสียหรือเป็นเรื่องไร้สาระเสมอไป เพราะบางครั้งมันสามารถใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการคลี่คลายคดีได้
และด้วยภาพเซลฟีนี้เองที่ทำให้ Cheyenne Rose Antoine หญิงสาววัย 23 ปี จากรัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา ถูกตัดสินจำคุก 7 ปี หลังมีหลักฐานว่าเธอฆาตกรรม Brittney Gargol ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเธอ
ย้อนกลับไปในปี 2015 มีการพบศพของ Brittney วัย 18 ปี ถูกฝังอยู่ใกล้กับเมืองซาซคาทูน โดยมีรอยรัดคอปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าเธอถูกฆาตกรรมโดย Antoine หลังจากที่พบภาพการเซลฟีที่ถูกโพสต์ลงในสื่อออนไลน์
ในภาพดังกล่าวนั้น Antoine ใส่สร้อยสีทองและได้โพสต์ภาพนี้ 1 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการพบศพ Brittney โดยข้างศพมีสร้อยที่ Antoine ใส่ตกอยู่ นั่นจึงกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการไขคดีนี้
ในชั้นศาล อัยการสูงสุด Robin Ritter ได้ให้ความสนใจกับวิธีการไขคดีของตำรวจที่นำภาพเซลฟีมาเชื่อมโยงกับสร้อยคอที่เจอ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
อย่างไรก็ตามคดีนี้ก็ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ปี เนื่องจาก Antoine สร้างความสับสนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เธอบอกว่าที่โพสต์ภาพดังกล่าวเพราะต้องการรู้ว่า Brittney อยู่ที่ไหน
นอกจากนี้เธอบอกกับตำรวจว่าหลังจากที่ไปช้อปปิ้งด้วยเสร็จ Brittney ได้กลับบ้านไปพร้อมกับชายคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก
แต่แล้วความจริงก็ปรากฏเมื่อเพื่อนคนหนึ่งของ Antoine ไปสารภาพกับตำรวจว่าคืนนั้น Antoine ได้กลับมาบ้านด้วยสภาพเมาหนักก่อนจะลงมือฆ่า Brittney
ในที่สุด Antoine ก็ยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าเพื่อนสาวจริง โดยคืนนั้นเธอเมากลับมาและมีปากเสียงกับ Brittney ก่อนจะลงมือฆ่าเธอในที่สุด ส่วนรายละเอียดอื่นๆ หญิงสาวบอกว่าจำไม่ได้
Cr.ที่มา ladbible
ก่อนที่จะมี CSI เรามี “นักสืบ X
วิลเมอร์ ซาวเดอร์ นักฟิสิกส์ของสถาบัน NIST เป็นลูกชาวไร่ชาวนาจากรัฐอินดีแอนาทางใต้ จบการระดับมหาวิทยาลัยและกลายมาเป็นนักฟิสิกส์ หลังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตในปี 1916 เขาเริ่มงานที่สถาบันมาตรฐานแห่งชาติ (National Bureau of Standards: NBS ซึ่งต่อมากลายเป็น NIST) ทำหน้าที่วัดตวงทุกสิ่งในสหรัฐฯ
ซาวเดอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบันทึกทันตกรรมและในภายหลังยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และระบุลายมือ (handwriting identification specialist) มีบทบาทสำคัญในการสืบสวนคดีของรัฐบาลกลาง รวมถึงการพิจารณาคดีในศาลของคดีลักพาตัวบุตรตระกูลลินด์เบิร์ก (บุตรชายของนักบิน ชาร์ลส์ ลินด์เบิร์ก) คดีเด็กหายอันโด่งดัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 85 ปีก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ซาวเดอร์จึงทำงานภายใต้นามแฝงว่า “นักสืบ X”
ก่อนหน้านี้ งานส่วนใหญ่ของซาวเดอร์ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการวิจัยวัสดุทำฟัน” จะเน้นไปที่การพัฒนาวัสดุอุดฟัน และในเอกสารของสถาบัน NIST ระบุว่า ชายผู้นี้มีบทบาทในการวิจัยวัสดุทันตกรรม
ตลอดช่วงหลายปี ซาวเดอร์ทำงานไขคดีทุกรูปแบบที่มีการนำส่งทางไปรษณีย์มาถึงสำนักงานมาตรฐานฯ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นๆของรัฐ นอกเหนือจากการไปให้ปากคำในศาลในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่เป็นพยานแล้ว เขายังช่วยปูทางในการสร้างเทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของสหรัฐฯอีกด้วย
เขาใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อเปรียบเทียบกระสุนเพื่อดูว่ามาจากปืนกระบอกเดียวกันหรือไม่ และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ก่อตั้งห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ของเอฟบีไอเมื่อ ปี 1932
Cr.ngthai.com/
ฆาตกรรมตามบท “วิธีปลิดชีพสามี”
เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2561 เว็บไซต์ข่าว เอเจซี รายงานคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญในรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา เมื่อหญิงนักเขียนนวนิยายแนวโรมานซ์ ก่อเหตุฆาตกรรมสามีตัวเองที่อยู่กินด้วยกันกว่า 26 ปี หลังจากเคยเขียนบรรยายวิธีฆาตกรรมสามีโดยไม่ให้ถูกจับได้ หรือ ‘How to Murder Your Husband’ เมื่อ 7 ปีก่อน
นางแนนซี แครมป์ตัน โบรฟี อายุ 68 ปี นักเขียนนวนิยายรัก มีกำหนดขึ้นศาลในเมืองมัลต์โนมาห์ วันที่ 13 ก.ย. เพื่อรับแจ้งข้อกล่าวหาฆาตกรรม แดเนียล ซี. โบรฟี สามี อายุ 63 ปี อาชีพเป็นครูสอนทำอาหาร ที่สถาบันสอนทำอาหารโอเรกอน ในเมืองพอร์ตแลนด์ พนักงานและนักเรียนพบศพแดเนียล สภาพถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2561
ผลการสอบสวนพบว่า เมื่อปี 2554 นางแนนซีเขียนบทความเรื่อง “จะฆาตกรรมสามีคุณอย่างไร” แม้จะไม่ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ แต่มีเนื้อหาเผยแพร่ในออนไลน์ เบื้องต้นพบว่า ส่วนหนึ่งของบทความเขียนถึงแรงจูงใจของภรรยาที่คิดฆ่าสามีตามปัจจัยต่างๆ เช่น การคบชู้ การใช้ความรุนแรง และความโลภ
นางแนนซีเขียนด้วยว่า การฆาตกรรมจะทำให้ตนเองเป็นอิสระ และเรื่องเงินทองก็เป็นปัจจัยสำคัญ
นอกจากนี้ นางแนนซียังเขียนนิยายเรื่อง “สามีที่เลือกมาผิด” หรือ The Wrong Husband และเรื่อง The Wrong Cop มีคำแนะนำหลายวิธีในการฆ่าสามี ทั้งการใช้ปืน มีด ยาพิษ หรือแม้กระทั่งมือสังหาร
Cr.khaosod.co.th/
ปิดค
ดีฆาตกรรม 3,000 ปี
เป็นคดีฆาตกรรมที่ใช้เวลาถึง 3,000 กว่าปี จึงจะสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ปรากฏแก่ชาวโลกได้
พระองค์คือฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่18 ยุคราชธานีใหม่ของอียิปต์ ครองราชย์ระหว่าง 1325-1334 ปี ก่อนคริสตกาล ทรงเป็นโอรสของอาเมนโฮเทปที่ 4 ผู้ปฎิรูปลัทธิเทวนิยมของอียิปต์ จากการนับถือเทพเจ้าหลายองค์มาเป็นการนับถือสุริยเทพอาเตนเพียงองค์เดียว โดยทรงเปลี่ยนพระนามของพระองค์จาก อมเมนโฮเทป เป็น อาเคนเตน และตั้งชื่อลูกชายว่าตุตันคาเตน ซึ่งหมายถึงรูปอันมีชีวิตของสุริยเทพอาเตน เมื่ออาเคนเตนสิ้นพระชนม์ ตุตันคาเตนได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา โดยใช้พระนามว่าตุตันคามุน
เนื่องจากในเวลาที่ขึ้นครองราชย์นั้น ตุตันคามุนมีอายุเพียง 10 ชันษา การบริหารบ้านเมืองจึงอยู่ในมือของอำมาตย์หรือวิเซียร์อัยย์ พระองค์อภิเษกสมรสกับอังเคเซนปาอาเตน พี่สาวร่วมบิดาซึ่งเป็นธิดาของพระนางเนเฟอร์ติตี ตุตันคามันครองรายช์เพียง 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน วิเซียรร์อัยย์ได้สร้างสุสานให้พระองค์ที่หุบผากษัตริย์ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพระศพของฟาโรห์ พร้อมทั้งนำเครื่องใช้และเครื่องบูชาซึ่งส่วนใหญ่ทำด้วยทองคำบรรจุไว้ในสุสานกว่า 3,000 ชิ้น เพื่อให้พระองค์ได้นำไปใช้ในปรโลกตามคตินิยม อย่างไรก็ตามโดยที่ทรงครองราชย์เพียงระยะสั้น ๆ และไม่ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญ ทำให้พระองค์ไม่เป็นที่รู้จัก และไม่ปรากฏพระนามในประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำ
กาลเวลาผ่านไปถึง 3,000 ปี จนถึงต้นทศวรรษที่1900 “ได้มีการขุดค้นโบราณสถานในอียิปต์อย่างกว้างขวาง และเริ่มพบหลักฐานเกี่ยวกับตุตันคามุนเป็นครั้งแรก ลอร์ดคาเนวอน เศรษฐีชาวอังกฤษ ได้ให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาติเดียวกันเพื่อทำการสำรวจหาสุสานตุตันคามุน
จนถึงเดือนพฤศจิกายนปี 1922 ขณะขุดค้นใกล้ ๆ สุสานของฟาโรห์รามซิสที่ 6 ก็ได้พบทางลับที่ลงไปสู่สุสานของตุตันคามุนโดยบังเอิญ ซึ่งนับเป็นการค้นพบโบราณสถานครั้งสำคัญของโลก เพราะสุสานไม่เคยถูกเปิดมาก่อน และสมบัติมีค่าทุกชิ้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และที่น่าตื่นเต้นก็คือมัมมี่ที่เก็บรักษาไว้ได้อย่างดี และหน้ากากปิดพระพักตร์พระศพที่ทำด้วยทองคำประดับอัญมณีอย่างประณีตงดงาม ซึ่งทำให้ตุตันคามุนกลายเป็นฟาโรห์ที่โด่งดังที่สุดและมีผู้รู้จักมากที่สุดไปในทันที
ในปี 1968 และ 1978 ได้มีการชันสูตรมัมมี่ของตุตันคามุน และพบเศษกระดูกแตกในกะโหลกพระเศียร กระดูกพระอุระและซี่โครงด้านหน้าหายไป ทำให้มีการสันนิษฐานว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยการถูกตีด้านหลังพระเศียร หรืออาจมีบาดแผลฉกรรจ์ที่พระอุระ และผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมรายนี้ก็คือวิเซียร์อัยย์นั่นเอง
ในปี 2005 มัมมี่ของตุตันคามุนได้รับการสแกนด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยตลอดทั้งร่าง และได้ข้อสรุปว่า ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย เศษกระดูกในกะโหลกน่าจะเกิดขึ้นภายหลังการสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนกระดูกระอุระและซี่โครงด้านหน้าที่หายไปยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็ไม่น่าจะเกิดจากบาดแผลหรือการถูกทำร้าย สำหรับสาเหตุของการสิ้นพระชนม์นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากไข้มาเลเรีย คดีฆาตกรรมตุตันคามุนได้ปิดลงเรียบร้อยแล้ว และทำให้วิเซียร์อัยย์หลุดพ้นจากการเป็นจำเลยของสังคม
Cr.psevikul.com/
ทำความรู้จัก “แดเนียล เคร็ก” จากสายลับ “เจมส์ บอนด์” สู่คาแร็กเตอร์ใหม่ “เบอนัวต์ บลองก์” ยอดนักสืบไขคดีฆาตกรรม
ช่วงวัยรุ่นเขาเคยเล่นรักบี้ให้กับทีม “Hoylake Rugby Club” และเมื่อปี 2013 เขายังเคยเดินทางไปทั่วประเทศออสเตรเลียเพื่อชมทัวร์รักบี้ของ “British & Irish Lions” และเป็นแฟนทีมฟุตบอล “Liverpool” อีกด้วย
เคร็กได้เข้าร่วมและสนับสนุนองค์การกุศลหลายองค์กร เช่น ร่วมกับเครือข่ายธุรกิจของนิวยอร์ก เพื่อช่วยเหลือนักเรียนรายได้น้อยให้มีโอกาสทางการศึกษา, ร่วมกับองค์การสหประชาชาติ (UN) เป็นผู้สนับสนุนช่วยขจัดการทำเหมืองแร่และอันตรายจากระเบิด
เคร็กโดนกระแสต่อต้านจากเหล่าแฟนของ 007 เมื่อชื่อเขาถูกประกาศว่าคือ “เจมส์ บอนด์” คนใหม่ ด้วยเหตุผลที่ดูไม่หล่อ ไม่มีเสน่ห์คารม แก่เกินไป แต่เมื่อ “Casino Royale” (2006) ออกฉาย คำวิจารณ์แง่ลบเหล่านั้นกลับกลายเป็นเสียงชื่นชมถึงการพลิกคาแร็กเตอร์นี้ให้ดูหนักแน่นสมจริงขึ้นตามยุคสมัย
เคร็กเคยเล่าว่าเขาโตมากับหนังที่สร้างจากผลงานของอกาธา คริสตี้ และชอบหนังเรื่อง “Sleuth” (1972) มาก ทำให้เขารีบคว้าโอกาสสุดพิเศษเพื่อรับบทสไตล์เดียวกันใน “Knives Out”
เคร็กต้องพลิกบทบาทปรับทั้งท่าทีบุคลิก สำเนียงการพูด และสีหน้าแววตาเพื่อสวมบทเป็นนักสืบผู้โด่งดัง “เบอนัวต์ บลองก์” ที่มีบุคลิกขรึมสุขุม ทุ่มเทกับคดี และกัดไม่ปล่อยในการสืบหาฆาตกรตัวจริง
“Knives Out ” เปิดรอบพิเศษเริ่ม 5 ธันวาคม สองทุ่มเป็นต้นไป ฉายจริง 10 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
Cr. sahamongkolfilm.com/
ผู้ไขคดีฆาตกรรมในชีวิตจริง
เป็นอีกหนึ่งการไขปริศนาคดีฆาตกรรม ที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้ โดยสืบจากประโยคของนกแก้วที่พูดว่า ‘อย่ายิงนะ..’
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2015 Martin Duram สามีของ Glenna Duram ถูกยิงเสียชีวิต ทว่าด้วยหลักฐานอะไรต่างๆ ทำให้ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
ดูเหมือนว่าคดีความทุกอย่างจะจบลง นกแก้วที่เป็นสัตว์เลี้ยงของสามีผู้เสียชีวิต ได้ถูกนำไปเลี้ยงต่อโดย Christina Keller (ภรรยาเก่า)
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้า Bud ได้ย้ายมาอยู่กับ Keller เธอก็สังเกตเห็นพฤติกรรมที่แปลกออกไปบางอย่าง มันชอบพูดคำว่า ‘อย่ายิงนะ..’
ประโยคสั้นๆ ที่ออกมาจากปากของนกแก้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องกลับมารื้อฟื้นคดีความนี้ใหม่หมดอีกครั้ง โดยญาติฝั่งผู้ตายเชื่อว่าประโยคคำพูดนั้น เป็นประโยคสุดท้ายที่ออกจากปากของผู้ตาย
Lilian Duram มารดาของผู้ตายได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันคิดว่าตอนเหตุการณ์เกิดเจ้านกแก้วคงอยู่ตรงนั้น เธออาจลืมไปว่านกแก้วมักจะจดจำทุกอย่างรอบตัว แม้กระทั่งคำพูดโดยที่พวกมันไม่สนแม้แต่ความหมาย
ครอบครัวเราเจ็บปวดมากตลอดเวลา 2 ปี ที่ต้องเห็นฆาตกรใช้ชีวิตอย่างอิสระ โดยที่เราไม่มีหลักฐานมากพอจะไปมัดตัวเธอได้เลย”
เรียกได้ว่าเจ้านกแก้วกลายมาเป็นพยานปากเอกที่ช่วยไขรูปคดี โดยฆาตกรสาว Glenna Duram จะต้องเข้ารับการตัดสินโทษจากศาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2017 ก่อนจะถูกส่งตัวไปยังเรือนจำตามฐานความผิดของเธอ
Cr.catdumb.com/
สืบต้นตอจากภาพเซลฟี
การเซลฟีไม่ได้มีแค่ข้อเสียหรือเป็นเรื่องไร้สาระเสมอไป เพราะบางครั้งมันสามารถใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการคลี่คลายคดีได้
และด้วยภาพเซลฟีนี้เองที่ทำให้ Cheyenne Rose Antoine หญิงสาววัย 23 ปี จากรัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา ถูกตัดสินจำคุก 7 ปี หลังมีหลักฐานว่าเธอฆาตกรรม Brittney Gargol ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเธอ
ย้อนกลับไปในปี 2015 มีการพบศพของ Brittney วัย 18 ปี ถูกฝังอยู่ใกล้กับเมืองซาซคาทูน โดยมีรอยรัดคอปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าเธอถูกฆาตกรรมโดย Antoine หลังจากที่พบภาพการเซลฟีที่ถูกโพสต์ลงในสื่อออนไลน์
ในภาพดังกล่าวนั้น Antoine ใส่สร้อยสีทองและได้โพสต์ภาพนี้ 1 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการพบศพ Brittney โดยข้างศพมีสร้อยที่ Antoine ใส่ตกอยู่ นั่นจึงกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการไขคดีนี้
ในชั้นศาล อัยการสูงสุด Robin Ritter ได้ให้ความสนใจกับวิธีการไขคดีของตำรวจที่นำภาพเซลฟีมาเชื่อมโยงกับสร้อยคอที่เจอ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
อย่างไรก็ตามคดีนี้ก็ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ปี เนื่องจาก Antoine สร้างความสับสนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เธอบอกว่าที่โพสต์ภาพดังกล่าวเพราะต้องการรู้ว่า Brittney อยู่ที่ไหน
นอกจากนี้เธอบอกกับตำรวจว่าหลังจากที่ไปช้อปปิ้งด้วยเสร็จ Brittney ได้กลับบ้านไปพร้อมกับชายคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก
แต่แล้วความจริงก็ปรากฏเมื่อเพื่อนคนหนึ่งของ Antoine ไปสารภาพกับตำรวจว่าคืนนั้น Antoine ได้กลับมาบ้านด้วยสภาพเมาหนักก่อนจะลงมือฆ่า Brittney
ในที่สุด Antoine ก็ยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าเพื่อนสาวจริง โดยคืนนั้นเธอเมากลับมาและมีปากเสียงกับ Brittney ก่อนจะลงมือฆ่าเธอในที่สุด ส่วนรายละเอียดอื่นๆ หญิงสาวบอกว่าจำไม่ได้
Cr.ที่มา ladbible
ก่อนที่จะมี CSI เรามี “นักสืบ X
วิลเมอร์ ซาวเดอร์ นักฟิสิกส์ของสถาบัน NIST เป็นลูกชาวไร่ชาวนาจากรัฐอินดีแอนาทางใต้ จบการระดับมหาวิทยาลัยและกลายมาเป็นนักฟิสิกส์ หลังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตในปี 1916 เขาเริ่มงานที่สถาบันมาตรฐานแห่งชาติ (National Bureau of Standards: NBS ซึ่งต่อมากลายเป็น NIST) ทำหน้าที่วัดตวงทุกสิ่งในสหรัฐฯ
ซาวเดอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบันทึกทันตกรรมและในภายหลังยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และระบุลายมือ (handwriting identification specialist) มีบทบาทสำคัญในการสืบสวนคดีของรัฐบาลกลาง รวมถึงการพิจารณาคดีในศาลของคดีลักพาตัวบุตรตระกูลลินด์เบิร์ก (บุตรชายของนักบิน ชาร์ลส์ ลินด์เบิร์ก) คดีเด็กหายอันโด่งดัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 85 ปีก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ซาวเดอร์จึงทำงานภายใต้นามแฝงว่า “นักสืบ X”
ก่อนหน้านี้ งานส่วนใหญ่ของซาวเดอร์ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งการวิจัยวัสดุทำฟัน” จะเน้นไปที่การพัฒนาวัสดุอุดฟัน และในเอกสารของสถาบัน NIST ระบุว่า ชายผู้นี้มีบทบาทในการวิจัยวัสดุทันตกรรม
ตลอดช่วงหลายปี ซาวเดอร์ทำงานไขคดีทุกรูปแบบที่มีการนำส่งทางไปรษณีย์มาถึงสำนักงานมาตรฐานฯ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นๆของรัฐ นอกเหนือจากการไปให้ปากคำในศาลในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่เป็นพยานแล้ว เขายังช่วยปูทางในการสร้างเทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของสหรัฐฯอีกด้วย
เขาใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อเปรียบเทียบกระสุนเพื่อดูว่ามาจากปืนกระบอกเดียวกันหรือไม่ และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ก่อตั้งห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ของเอฟบีไอเมื่อ ปี 1932
Cr.ngthai.com/
ฆาตกรรมตามบท “วิธีปลิดชีพสามี”
เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2561 เว็บไซต์ข่าว เอเจซี รายงานคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญในรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา เมื่อหญิงนักเขียนนวนิยายแนวโรมานซ์ ก่อเหตุฆาตกรรมสามีตัวเองที่อยู่กินด้วยกันกว่า 26 ปี หลังจากเคยเขียนบรรยายวิธีฆาตกรรมสามีโดยไม่ให้ถูกจับได้ หรือ ‘How to Murder Your Husband’ เมื่อ 7 ปีก่อน
นางแนนซี แครมป์ตัน โบรฟี อายุ 68 ปี นักเขียนนวนิยายรัก มีกำหนดขึ้นศาลในเมืองมัลต์โนมาห์ วันที่ 13 ก.ย. เพื่อรับแจ้งข้อกล่าวหาฆาตกรรม แดเนียล ซี. โบรฟี สามี อายุ 63 ปี อาชีพเป็นครูสอนทำอาหาร ที่สถาบันสอนทำอาหารโอเรกอน ในเมืองพอร์ตแลนด์ พนักงานและนักเรียนพบศพแดเนียล สภาพถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2561
ผลการสอบสวนพบว่า เมื่อปี 2554 นางแนนซีเขียนบทความเรื่อง “จะฆาตกรรมสามีคุณอย่างไร” แม้จะไม่ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ แต่มีเนื้อหาเผยแพร่ในออนไลน์ เบื้องต้นพบว่า ส่วนหนึ่งของบทความเขียนถึงแรงจูงใจของภรรยาที่คิดฆ่าสามีตามปัจจัยต่างๆ เช่น การคบชู้ การใช้ความรุนแรง และความโลภ
นางแนนซีเขียนด้วยว่า การฆาตกรรมจะทำให้ตนเองเป็นอิสระ และเรื่องเงินทองก็เป็นปัจจัยสำคัญ
นอกจากนี้ นางแนนซียังเขียนนิยายเรื่อง “สามีที่เลือกมาผิด” หรือ The Wrong Husband และเรื่อง The Wrong Cop มีคำแนะนำหลายวิธีในการฆ่าสามี ทั้งการใช้ปืน มีด ยาพิษ หรือแม้กระทั่งมือสังหาร
Cr.khaosod.co.th/
ปิดคดีฆาตกรรม 3,000 ปี
เป็นคดีฆาตกรรมที่ใช้เวลาถึง 3,000 กว่าปี จึงจะสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ปรากฏแก่ชาวโลกได้
พระองค์คือฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่18 ยุคราชธานีใหม่ของอียิปต์ ครองราชย์ระหว่าง 1325-1334 ปี ก่อนคริสตกาล ทรงเป็นโอรสของอาเมนโฮเทปที่ 4 ผู้ปฎิรูปลัทธิเทวนิยมของอียิปต์ จากการนับถือเทพเจ้าหลายองค์มาเป็นการนับถือสุริยเทพอาเตนเพียงองค์เดียว โดยทรงเปลี่ยนพระนามของพระองค์จาก อมเมนโฮเทป เป็น อาเคนเตน และตั้งชื่อลูกชายว่าตุตันคาเตน ซึ่งหมายถึงรูปอันมีชีวิตของสุริยเทพอาเตน เมื่ออาเคนเตนสิ้นพระชนม์ ตุตันคาเตนได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา โดยใช้พระนามว่าตุตันคามุน
เนื่องจากในเวลาที่ขึ้นครองราชย์นั้น ตุตันคามุนมีอายุเพียง 10 ชันษา การบริหารบ้านเมืองจึงอยู่ในมือของอำมาตย์หรือวิเซียร์อัยย์ พระองค์อภิเษกสมรสกับอังเคเซนปาอาเตน พี่สาวร่วมบิดาซึ่งเป็นธิดาของพระนางเนเฟอร์ติตี ตุตันคามันครองรายช์เพียง 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน วิเซียรร์อัยย์ได้สร้างสุสานให้พระองค์ที่หุบผากษัตริย์ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพระศพของฟาโรห์ พร้อมทั้งนำเครื่องใช้และเครื่องบูชาซึ่งส่วนใหญ่ทำด้วยทองคำบรรจุไว้ในสุสานกว่า 3,000 ชิ้น เพื่อให้พระองค์ได้นำไปใช้ในปรโลกตามคตินิยม อย่างไรก็ตามโดยที่ทรงครองราชย์เพียงระยะสั้น ๆ และไม่ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญ ทำให้พระองค์ไม่เป็นที่รู้จัก และไม่ปรากฏพระนามในประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำ
กาลเวลาผ่านไปถึง 3,000 ปี จนถึงต้นทศวรรษที่1900 “ได้มีการขุดค้นโบราณสถานในอียิปต์อย่างกว้างขวาง และเริ่มพบหลักฐานเกี่ยวกับตุตันคามุนเป็นครั้งแรก ลอร์ดคาเนวอน เศรษฐีชาวอังกฤษ ได้ให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาติเดียวกันเพื่อทำการสำรวจหาสุสานตุตันคามุน
จนถึงเดือนพฤศจิกายนปี 1922 ขณะขุดค้นใกล้ ๆ สุสานของฟาโรห์รามซิสที่ 6 ก็ได้พบทางลับที่ลงไปสู่สุสานของตุตันคามุนโดยบังเอิญ ซึ่งนับเป็นการค้นพบโบราณสถานครั้งสำคัญของโลก เพราะสุสานไม่เคยถูกเปิดมาก่อน และสมบัติมีค่าทุกชิ้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และที่น่าตื่นเต้นก็คือมัมมี่ที่เก็บรักษาไว้ได้อย่างดี และหน้ากากปิดพระพักตร์พระศพที่ทำด้วยทองคำประดับอัญมณีอย่างประณีตงดงาม ซึ่งทำให้ตุตันคามุนกลายเป็นฟาโรห์ที่โด่งดังที่สุดและมีผู้รู้จักมากที่สุดไปในทันที
ในปี 1968 และ 1978 ได้มีการชันสูตรมัมมี่ของตุตันคามุน และพบเศษกระดูกแตกในกะโหลกพระเศียร กระดูกพระอุระและซี่โครงด้านหน้าหายไป ทำให้มีการสันนิษฐานว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยการถูกตีด้านหลังพระเศียร หรืออาจมีบาดแผลฉกรรจ์ที่พระอุระ และผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมรายนี้ก็คือวิเซียร์อัยย์นั่นเอง
ในปี 2005 มัมมี่ของตุตันคามุนได้รับการสแกนด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยตลอดทั้งร่าง และได้ข้อสรุปว่า ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย เศษกระดูกในกะโหลกน่าจะเกิดขึ้นภายหลังการสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนกระดูกระอุระและซี่โครงด้านหน้าที่หายไปยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็ไม่น่าจะเกิดจากบาดแผลหรือการถูกทำร้าย สำหรับสาเหตุของการสิ้นพระชนม์นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากไข้มาเลเรีย คดีฆาตกรรมตุตันคามุนได้ปิดลงเรียบร้อยแล้ว และทำให้วิเซียร์อัยย์หลุดพ้นจากการเป็นจำเลยของสังคม
Cr.psevikul.com/
ทำความรู้จัก “แดเนียล เคร็ก” จากสายลับ “เจมส์ บอนด์” สู่คาแร็กเตอร์ใหม่ “เบอนัวต์ บลองก์” ยอดนักสืบไขคดีฆาตกรรม
ช่วงวัยรุ่นเขาเคยเล่นรักบี้ให้กับทีม “Hoylake Rugby Club” และเมื่อปี 2013 เขายังเคยเดินทางไปทั่วประเทศออสเตรเลียเพื่อชมทัวร์รักบี้ของ “British & Irish Lions” และเป็นแฟนทีมฟุตบอล “Liverpool” อีกด้วย
เคร็กได้เข้าร่วมและสนับสนุนองค์การกุศลหลายองค์กร เช่น ร่วมกับเครือข่ายธุรกิจของนิวยอร์ก เพื่อช่วยเหลือนักเรียนรายได้น้อยให้มีโอกาสทางการศึกษา, ร่วมกับองค์การสหประชาชาติ (UN) เป็นผู้สนับสนุนช่วยขจัดการทำเหมืองแร่และอันตรายจากระเบิด
เคร็กโดนกระแสต่อต้านจากเหล่าแฟนของ 007 เมื่อชื่อเขาถูกประกาศว่าคือ “เจมส์ บอนด์” คนใหม่ ด้วยเหตุผลที่ดูไม่หล่อ ไม่มีเสน่ห์คารม แก่เกินไป แต่เมื่อ “Casino Royale” (2006) ออกฉาย คำวิจารณ์แง่ลบเหล่านั้นกลับกลายเป็นเสียงชื่นชมถึงการพลิกคาแร็กเตอร์นี้ให้ดูหนักแน่นสมจริงขึ้นตามยุคสมัย
เคร็กเคยเล่าว่าเขาโตมากับหนังที่สร้างจากผลงานของอกาธา คริสตี้ และชอบหนังเรื่อง “Sleuth” (1972) มาก ทำให้เขารีบคว้าโอกาสสุดพิเศษเพื่อรับบทสไตล์เดียวกันใน “Knives Out”
เคร็กต้องพลิกบทบาทปรับทั้งท่าทีบุคลิก สำเนียงการพูด และสีหน้าแววตาเพื่อสวมบทเป็นนักสืบผู้โด่งดัง “เบอนัวต์ บลองก์” ที่มีบุคลิกขรึมสุขุม ทุ่มเทกับคดี และกัดไม่ปล่อยในการสืบหาฆาตกรตัวจริง
“Knives Out ” เปิดรอบพิเศษเริ่ม 5 ธันวาคม สองทุ่มเป็นต้นไป ฉายจริง 10 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
Cr. sahamongkolfilm.com/