หลังจากที่ได้ไปดูมาแล้วก็เลยอยากมาตั้งกระทู้รีวิวครับ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยล่วงหน้านะครับ

สำหรับผม ผมให้คะแนนที่ 8.5 ครับ (ประมาณ A ค่อนๆ A+) เพราะโดยภาพรวมทั้งหมดแล้วใช้ได้ครับ ทั้งกราฟฟิค ความสวยงาม ความคิดสร้างสรรค์ ความสัมพันธ์ของตัวละคร อยู่ในระดับที่ดีเลย เพียงแต่อาจจะยังมีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่ที่ทำให้หนังยังดูไปไม่สุด

ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ก็มีอยู่หลักๆ สองข้อครับ

ข้อแรกคือเรื่อง "เพลง" ครับ

ผมมองว่าภาคนี้เพลงเยอะไปหน่อยแล้วก็ร้องถี่มากๆ ประมาณว่าเพิ่งร้องจบไปเพลงนึง แป๊บเดียวก็ร้องอีกเพลงแล้ว หนังมีความยาวแค่ประมาณชั่วโมงกว่าๆ การใส่เพลงเยอะเกินไปเลยทำให้ดูแน่นไปหน่อยครับ แล้วเนื้อเรื่องบางช่วงก็ไม่ได้อยู่ในจังหวะอารมณ์ที่เหมาะจะร้องเพลง เช่น เพลงที่โอลาฟร้องในป่า (+ กระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน) ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังถูกจิตวิญญาณแห่งลมโจมตีอย่างหนัก หรือเพลงของคริสตอฟที่แสดงถึงความเสียใจที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง (น่าจะเอาเวลาที่ร้องเพลงนี้รีบตามไปหรือไม่ก็ทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่านี้)

ข้อสองคือเรื่อง "เนื้อเรื่อง" ที่ผมมองว่ายังมีส่วนที่ทั้งขาดทั้งเกินอยู่ครับ

เริ่มจากส่วนที่ขาดก่อนนะครับ ผมมองว่าส่วนที่ขาดไปคือ "ความสำคัญของชาวนอร์ททรันดร้า" ครับ เพราะบทของชนเผ่านี้ค่อนข้างเบาบางมากๆ ผิดจากตัวอย่างหนังที่มันเหมือนจะปูทางมาว่าชาวนอร์ททรันดร้ามีพลังวิเศษ สามารถใช้พลังแห่งสี่ธาตุได้อะไรประมาณนี้ แต่พอเอาจริงๆ ไม่มีอะไรเลยครับ เป็นแค่ชนเผ่าธรรมดาๆ ชนเผ่าหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีพลังวิเศษหรือความวิเศษใดๆ เลย แล้วก็แทบไม่มีบทบาทสำคัญที่ส่งผลอะไรมากกับเนื้อเรื่องเลยครับ 

อย่างน้อยก็น่าจะมีตัวละครสักตัวจากชนเผ่านี้เป็นหนึ่งในตัวเอกของเรื่อง และร่วมผจญภัยไปกับเหล่าตัวเอกเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จประมาณนี้ เราจะได้เห็นความสำคัญของชนเผ่านี้สักหน่อยว่าทำอะไรได้บ้าง

ต่อมาก็ส่วนที่เกินนะครับ ส่วนที่เกินมานี้สำหรับผมคือเรื่อง "ธาตุทั้งสี่" ครับ ผมมองว่าความจริงไม่จำเป็นต้องนำเสนอเรื่องนี้เลยครับ ในตัวอย่างหนังค่อนข้างเน้นประเด็นนี้เอามากๆ จนคนนำไปตั้งทฤษฎีเยอะแยะมากมาย แต่ในเนื้อเรื่องจริงๆ ธาตุเหล่านี้แทบไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเนื้อเรื่องเลยครับ แม้จะมีการสรุปในตอนจบว่าเอลซ่ากับอันนาคือสะพานที่เชื่อมทั้งสี่ธาตุ แต่มันก็ยังดูไม่หนักแน่นพออยู่ดี เพราะเนื้อเรื่องก็ไม่ได้แสดงให้เห็นมาตั้งแต่ต้นว่าธาตุทั้งสี่มีความสำคัญอะไรมากมายขนาดนั้น

ถ้าจะเน้นเรื่องอำนาจวิเศษจริงๆ ก็ให้เน้นไปที่เรื่องแม่น้ำแห่งความทรงจำซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพลังของเอลซ่าไปเลย ไม่ต้องมีเรื่องสี่ธาตุมาให้ดูเยอะเกินไป ซึ่งหากเนื้อเรื่องเน้นไปที่เรื่องของต้นกำเนิดพลังของเอลซ่าแบบจริงๆ จังๆ เลยน่าจะทำให้คนดูรู้สึกอินกว่านี้ ส่วนเรื่องที่สรุปให้เอลซ่ากับอันนาเป็นสัญลักษณ์ของสะพานเชื่อมสี่ธาตุ ผมคิดว่าให้เอลซ่ากับอันนาคือสัญลักษณ์ของสะพานที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองชนเผ่าน่าจะทำให้เนื้อเรื่องตรงจุดนี้ดูมีความหมายมากกว่า

ก็ประมาณนี้นะครับสำหรับการรีวิว โดยรวมจัดว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีครับ มีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ แค่สองเรื่องนี้เท่านั้นเองครับ จัดว่าไปดูได้ไม่รู้สึกว่าไม่คุ้มกับค่าตั๋วครับ ;)

คราวนี้ก็มาพูดถึงข้อคิดดีๆ ที่ได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้กันบ้างดีกว่าครับ

สำหรับผม Frozen ภาคนี้มีข้อคิดดีๆ เยอะครับ มากกว่าภาคแรกที่มีเนื้อเรื่องแบบใสๆ น่ารักๆ เน้นไปที่เรื่องความรักกับเรื่องครอบครัวตามสไตล์ดิสนีย์เสียอีก

ในภาคนี้จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของ "การเติบโตเป็นผู้ใหญ่" โดยเราจะได้เห็นพัฒนาการทางจิตใจของตัวละครแต่ละตัวที่ลดความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาลงและตระหนักถึงหน้าที่กับความรับผิดชอบมากขึ้น

เช่นเอลซ่าที่ต้องก้าวผ่านความหวาดกลัวในใจของตนเอง หันไปเผชิญหน้ากับปัญหา และก้าวออกไปข้างหน้าสู่ "สิ่งที่ไม่รู้" ค้นหาความจริงและเป้าหมายในชีวิตของตนเอง

อันนาที่ต้องหยัดยืนขึ้นมาด้วยความแข็งแกร่งของตนเองในยามที่ไม่เหลือใครอยู่ข้างกายแล้วก็ตาม เพราะหากเธอยังทำตัวเหยาะแหยะ เอาชีวิตตัวเองไปเกาะติดอยู่กับพี่สาวหรือคนรักเหมือนที่ผ่านๆ มา เธอก็จะไม่สามารถหยัดยืนขึ้นมาด้วยตัวของตัวเองได้เลย

โอลาฟที่ต้องเรียนรู้ว่าไม่มีสิ่งใดคงเดิมตลอดไป เมื่อเวลาผ่านไปและเราเติบโตขึ้น หลายๆ สิ่งก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่เลวร้าย มันอยู่ที่ตัวของเราเอง ถ้าเรามีทัศนคติที่ดี มองการเปลี่ยนแปลงนั้นในทางดีก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย

และนี่ก็คือข้อคิดดีๆ ที่ผมได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ

ถ้าใครมีข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อะไรก็มาพูดคุยกันได้นะครับ ถ้ามีข้อผิดพลาดตรงไหนก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และสุดท้ายขอฝากคลิปที่ผมได้ทำเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ