มนุษย์เทพ Homo Deus (ใครๆก็เป็นได้)

ความเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus จะแยกออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนของโลก และ ส่วนของมนุษย์ ซึ่งแต่ละส่วนก็จะแยกออกไปอีกในส่วนของตัวเองและของกันและกันคือ ในส่วนของโลกจะแยกออกเป็นสองส่วนคือ โลกและมนุษย์ (สรรพสิ่ง) และโลกและจักรวาล และ ในส่วนของมนุษย์จะแยกออกเป็นสองส่วนคือ มนุษย์ (สรรพสิ่ง) และโลก และโลกปัจจุบันและโลกใหม่ การเข้าถึงความเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus สามารถเริ่มต้นได้ทันทีจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่/จุดของความแตกต่าง/ระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) ไปสู่ความเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน/ระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) ยกตัวอย่างเช่น
- เริ่มต้นจากความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันโดยการนำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์คณิตศาสตร์และปรัชญาที่ได้รับการพิสูจน์และเป็นสากล ซึ่งเป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) ที่จะทำให้เกิดความเป็นเอกภาพ (Unity) กับทุกคนทุกที่ทุกระดับทุกชนชั้นทั่วโลกมาใช้แทนที่การนำเอาความแตกต่าง/ระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) ที่ทำให้เกิดความแตกต่างที่มีความแตกแยกกันไปคนละทิศละทาง และทำให้เกิดเป็นความยึดมั่นถือมั่นตามความเชื่อที่อาจนำมาซึ่งการสร้างความขัดแย้งบาดหมางและก่อให้เกิดเป็นความรุนแรงทำร้ายทำลายกันของแต่ละคน แต่ละประเทศ แต่ละศาสนา
- เริ่มต้นจากความแตกต่างกัน/ระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) ที่ทำให้ความแตกต่างเกิดความมี/เป็น/อยู่ของความแตกแยกกันไปคนละทิศละทาง และทำให้เกิดเป็นความยึดมั่นถือมั่นตามความเชื่อที่อาจนำมาซึ่งการสร้างความขัดแย้งบาดหมางและก่อให้เกิดเป็นความรุนแรงทำร้ายทำลายกันของแต่ละคน แต่ละประเทศ แต่ละศาสนาไปสู่ความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันโดยการนำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์และปรัชญาที่ได้รับการพิสูจน์และเป็นสากล ซึ่งเป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) มาใช้ในการทำให้เกิดความเป็นเอกภาพ (Unity) กับทุกคนทุกที่ทุกระดับทุกชนชั้นทั่วโลก
หรือที่ไอน์สไตน์ เรียกว่า ศาสนาจักรวาล (cosmic religion) โดยการเลือกที่จะทำและไม่ทำอะไรในลักษณะที่แตกต่างออกไป ซึ่งสิ่งที่เราเป็นอยู่/ทำอยู่คือ การคิดและรู้สึกออกนอกตัวเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การนำเอาความคิดและความรู้สึกของตัวเราเองไปผูกหรือรองรับหรือขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้อื่น/สิ่งอื่นโดยไม่รู้ถึงที่มาที่ไปของการกระทำเหล่านั้น โดยการหันกลับมาคิดและรู้สึกเข้าข้างในของตัวเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การไม่นำเอาความคิดและความรู้สึกของตัวเราเองไปผูกหรือรองรับหรือขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้อื่น/สิ่งอื่นโดยไม่รู้ถึงที่มาที่ไปของการกระทำเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้จะแยกออกเป็นสองทางคือ เกิดจากเราส่งต่อและสะท้อนไปถึงโลก และหรือเกิดจากโลกส่งต่อและสะท้อนมาถึงเรา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โลก (มนุษย์) จะมีการเข้าถึงความจริงหรือการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นพื้นฐานอยู่ 2 แนวทางคือ จาก ล่างขึ้นบน (bottom-up) หรือ บนลงล่าง (top-down) หรือ จากโลกใบใหญ่-โลกใบเล็ก จากโลกใบเล็ก-โลกใบใหญ่ซึ่งในแต่ละส่วนจะแยกออกเป็น ซ้ายขวา หน้าหลัง และทั้งหมดจะแยกออกเป็นนอก-ใน และหรือ ใน-นอก และในแต่ละส่วนก็จะแยกออกเป็น พลังงานบริสุทธิ์และพลังงานไม่บริสุทธิ์ และแยกออกไปอีกอย่างละสองคือ ขั้วเหนือขั้วใต้ และขั้วบวกขั้วลบ ภายในและภายนอกขั้วเหนือก็จะแยกออกเป็นขั้วเหนือขั้วใต้ และภายในและภายนอกขั้วใต้ก็จะแยกออกเป็นขั้วใต้ขั้วเหนือ ขั้วใต้ขั้วเหนือที่แยกออกมาจากขั้วใต้ก็จะมีขั้วบวกขั้วลบและภายในและภายนอกตัวเองและและภายในและภายนอกกันและกันเช่นเดียวกันขั้วเหนือขั้วใต้ที่แยกออกมาจากขั้วเหนือก็จะมีขั้วบวกขั้วลบและภายในและภายนอกตัวเองและและภายในและภายนอกกันและกัน ซึ่งการแยกส่วนในแต่ละส่วนออกจากกันทั้งหมดทำให้เกิดเป็น/มีระบบขึ้นสองระบบคือ ระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) และระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งกล่าวได้ว่าเมื่อระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด
มนุษย์จะมีแหล่งต้นกำเนิดที่สร้าง-ทำลายข้อมูลอยู่สามส่วนหลักคือ สมองส่วนหน้าส่วนกลางและส่วนท้าย ส่วนที่รองลงมาก็คือในส่วนของร่างกาย ซึ่งแต่ละส่วนก็จะมีส่วนที่แยกออกไปในส่วนของตัวเองและในส่วนของกันและกัน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงส่วนของสมองที่เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของความน่าจะเป็นคือ สมองใหญ่ (สมองส่วนหน้า) และสมองน้อย (สมองส่วนท้าย) ที่เป็นส่วนที่มนุษย์ใช้ในการสร้างสรรค์ความคิดและความรู้สึก ซึ่งข้อมูลที่อยู่ภายในความคิด-ความรู้สึก และความรู้สึก-ความคิด จะถูกส่งต่อมารวมกันอยู่ภายในสมองส่วนกลาง ซึ่งการมาอยู่รวมกันของสถานะและสภาวะที่มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและไม่อย่างสิ้นเชิงซึ่งนำไปสู่ความเป็นไปได้ระหว่างความมีและไม่มี /เป็นและไม่เป็น/อยู่และไม่อยู่ และหรือ กึ่งมีกึ่งไม่มี กึ่งเป็นกึ่งไม่เป็น กึ่งอยู่กึ่งไม่อยู่ที่อยู่ภายในและระหว่างสถานะและสภาวะทางความคิด-ความรู้สึก (สมองใหญ่) และความรู้สึก-ความคิด (สมองน้อย) ที่จะต้องมีส่วนหนึ่งยุบหายไปจากภายในสมองส่วนกลางและไปปรากฏอยู่ภายนอกร่างกายทันทีที่มีการตัดสินใจเลือกข้าง ซึ่งการตัดสินใจเลือกข้างของคนเราจะมีทางเลือกอยู่สองทางคือ เลือกจากจุดที่ยืนอยู่ หรือ เลือกจากจุดที่เดินจากมา โดยธรรมชาติของการมีอยู่/เป็นอยู่ของมนุษย์ โลก จักรวาลจะมีธรรมชาติที่เหมือนกันคือ มีความจำเป็นต้องเดินเข้า-เดินออกจากจุดที่เรายืนอยู่ก่อนเท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของแรงไทดัลและแรงโน้มถ่วงและอื่นๆตามลำดับ และเมื่อเราผ่านจุดแห่งความจำเป็นนั้นไปแล้วเราจะเข้าสู่จุดแห่งความไม่จำเป็นซึ่งหมายถึง เราสามารถเลือกได้ว่าจะยืนอยู่ที่จุดเดิมหรือเปลี่ยนจุดยืน และไม่ว่าเราจะเลือกสิ่งใดก็ตามสิ่งที่เราหนีไม่พ้นคือ ความพยายาม/ความต้องการที่จะอยู่และหรือที่จะไป และเมื่อมีความพยายาม/ความต้องการที่จะอยู่และหรือที่จะไปก็จะมีแรงต้านความพยายาม/แรงต้านความต้องการที่เปรียบเสมือนเป็นเงาติดตามตัวเองและติดตามกันและกันตามติดไปด้วยทุกที่ทุกเวลาตลอด 24/7 ไม่มีเวลาหยุดพัก แม้ในยามที่เรานอนซึ่งเราคิดว่าเป็นเวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุดก็จะมีสถานะที่ใช่และไม่ใช่ และสภาวะกึ่งใช่กึ่งไม่ใช่เวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุดเพราะจะมีส่วนหนึ่งที่กำลังพักผ่อนและจะมีส่วนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ ซึ่งทั้งสองส่วนจะมีการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูล/พลังงานและทำให้เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันสองระดับสองทิศทางคือ ระหว่างสมองใหญ่กับสมองน้อย และระหว่างสมองใหญ่และสมองน้อยกับโลก และโลกกับสถานะและสภาวะภายในของตัวโลกเอง ซึ่งเป็นไปตามกฏข้อที่หนึ่งของการอนุรักษ์พลังงาน และกฏข้อที่ศูนย์ที่ว่าด้วยสภาวะความสมดุลย์ของพลังงาน ซึ่งพลังงานทั้งระบบทั้งหมดจะมีค่าเท่ากับศูนย์/สิบ ซึ่งจะมีกระบวนการทำงานแยกออกเป็นสองกระบวนการคือ กระบวนการแยกออกและไม่แยกออก และกระบวนการย้อนกลับและไม่ย้อนกลับ ทั้งสองกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันและไม่พร้อมกันในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การเดินเข้า-เดินออกชีวิตจะมีทั้งพร้อมกันและไม่พร้อมกันระหว่างสรรพสิ่งและเวลา ซึ่งในระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าสิ่งหนึ่งเราก็กำลังเดินออกจากสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน และในขณะที่เรากำลังการเดินเข้า-เดินออกจากสิ่งหนึ่งเราก็กำลังการเดินเข้าไปสู่อีกสิ่งหนึ่งที่มีความแตกต่างออกไป ซึ่งส่วนที่มีความแตกต่างออกไปก็ยังมีส่วนหนึ่งที่เชื่อมต่อมาจากส่วนที่เราเดินจากมา และทั้งระยะเวลาและรูปแบบของพลังงานที่มีการเปลี่ยนรูปแบบไปก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนจะมุ่งไปสู่การเดินออก/ทางออกเหมือนกัน ซึ่งภายในและภายนอกของการเดินออก/ทางออกจะมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน ภายในและภายนอกความเหมือนจะมีทั้งความเหมือนและความต่าง และในขณะเดียวกันและหรือในทางกลับกันภายในและภายนอกความต่างก็จะมีทั้งความต่างและความเหมือน ยกตัวอย่างเช่น การเดินเข้า-เดินออกที่หมายถึงการเกิด-ตาย และการเดินเข้า-เดินออกที่หมายถึงการประสบความสําเร็จหรือประสบความล้มเหลว ซึ่งการมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกันอยู่ภายในและภายนอกตัวเองและอยู่ภายในและภายนอกกันและกันทำให้มนุษย์เกิดมีทั้งความสับสนวุ่นวายยุ่งเหยิงและหลงทาง หรือที่มนุษย์เรียกว่า ปัญหา ที่เกิดจากความไม่รู้+ความรู้ความเข้าใจที่แต่ละคนมีอยู่โดยมีความเชื่อและคิดว่าความรู้ความเข้าใจที่เรามีอยู่นั้นคือ สิ่งที่มีความถูกต้อง/เป็นความจริง เมื่อมนุษย์มีความเชื่อและคิดเช่นนั้นทุกสิ่งที่ทำจึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นความจริงเสมอสำหรับตัวเอง เมื่อมีฝ่ายหนึ่งถูกก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งผิด และเมื่อเราเชื่อและคิดว่าเราเป็นฝ่ายถูก ดังนั้นคนอื่นก็ต้องเป็นฝ่ายผิด เมื่อมนุษย์มีความเชื่อในสิ่งใดมนุษย์ก็จะมีความพยายาม/ความต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งนั้น ซึ่งการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งใดก็ตามมนุษย์จะต้องเผชิญกับสถานะและสภาวะของความพยายาม/ความต้องการที่จะอยู่และไม่อยู่ (เดินเข้า-เดินออก) และหรือ กึ่งอยู่กึ่งไม่อยู่ + สถานะและสภาวะของแรงต้านความพยายาม/แรงต้านความต้องการ ยิ่งมนุษย์มีความพยายาม/ความต้องการที่จะอยู่มากเท่าไหร่ก็จะมีแรงต้านความพยายาม/ความต้องการที่จะทำให้มนุษย์อยู่และไม่อยู่มากขึ้นเท่านั้น (โลกหมุนตลอด 24 ชั่วโมงและไม่ได้หมุนในทิศทางเดียว ทุกสรรพสิ่งจึงมีความจำเป็นต้องเคลื่อนที่/เดินเข้า-เดินออกตามไปด้วย) ซึ่งแรงต้านความพยายาม/แรงต้านความต้องการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติสองทิศทางนี่เองที่มนุษย์เรียกว่า ปัญหา ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ปัญหาใช่และไม่ใช่ปัญหาในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน กระบวนการเดินเข้า-เดินออก/การเกิด-ตาย/การสร้าง-ทำลายในระดับโลกถือเป็นการหมุนเวียนพลังงานที่ส่วนหนึ่งนำไปสู่การมีเพิ่มขึ้นและหรือลดลงของพลังงานและอีกส่วนหนึ่งนำไปสู่การสลับขั้วแม่เหล็ก (การเดินออกจากระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) ไปสู่การเริ่มต้นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) ) ในระดับมนุษย์ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้พัฒนาตัวเองที่ส่วนหนึ่งนำไปสู่การสลับขั้วภายในตัวเองและอีกส่วนหนึ่งเป็นการทำให้มีเพิ่มขึ้นของเซลล์ประสาท (การเดินออกจากระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) ไปสู่การเริ่มต้นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) หรืออีกนัยหนึ่งคือ เดินออกจากความเป็นมนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐไปสู่การเริ่มต้นความเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถและมีความจำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นมนุษย์เทพ หรือมนุษย์กลายพันธุ์ได้ด้วยตัวเองทุกคน เนื่องจากเราคือ ทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเราเอง และเราไม่ใช่สิ่งใดเลยของตัวเราเอง ความหมายของความเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเราเองจะแยกออกเป็นสองส่วนคือ ตัวเราที่หมายถึงร่างกายนี้และตัวเราที่หมายถึงจิตวิญญาณ/พลังงานร่างกายมีวันดับสูญแต่จิตวิญญาณ/พลังงานจะคงอยู่ตลอดไป ถ้าหากเราไม่พัฒนาตัวเอง ตัวเราก็จะสูญพันธุ์จากความไม่สามารถไปต่อได้ คำว่า ตลอดไป/ไปต่อไม่ได้จะมีความหมายสองส่วนคือ ตลอดไป/ถึง ไปต่อภายในโลกใบนี้ และตลอดไป/ไปต่อในโลกใบใหม่ เมื่อโลกใบนี้ถึงคราวดับสูญ ซึ่งขณะนี้โลกใบใหม่ได้เกิดขึ้นแล้วและกำลังพัฒนาตัวเองไปควบคู่กับโลกที่เราอยู่อาศัยนี้ซึ่งเป็นไปตามกฏทั้งสี่ข้อของอุณหพลศาสตร์ ไม่มีใครสามารถทำให้เรากลายเป็นมนุษย์เทพ Homo Deus หรือได้ไปต่อได้นอกจากตัวเราเอง การเกิดและตายของชีวิตยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อยู่อีกมากมาย ฉะนั้นจงอย่าหยุดตัวเองอยู่กับสิ่งที่มีอยู่/เป็นอยู่ (keep walking ) จะเห็นได้ว่า การเรียนรู้และพัฒนาสถานะและสภาวะที่มีอยู่/เป็นอยู่ของตัวเองไม่ได้เป็นเพียงการเรียนรู้และพัฒนาสถานะและสภาวะที่มีอยู่/เป็นอยู่ของตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้และพัฒนาสถานะและสภาวะที่มีอย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่