ประสบการณ์ไปถ่าย YouTube ล่าท้าผี (หลายที่) จนมีบางคนตามกลับมาบ้านทีมงาน!

         สวัสดีครับ บอกก่อนเลยว่าผมไม่เคยเขียนกระทู้ในพันทิปอย่างจริงจังแบบนี้มาก่อนเลย แต่ในครั้งนี้ประสบการณ์ที่ได้เจอมามันพีค จนเพื่อนแนะนำว่าให้เอามาเล่าในพันทิปดู55 ไม่รู้ว่าจะเขียนรู้เรื่องหรืองงมากกว่ากัน อย่าว่ากันนะครับ555

         นี่คือข่องของพวกเรานะครับ https://www.youtube.com/channel/UCj-fX7FOlO6aj1CymRfGLaQ
         ส่วนนี่คือซีรี่ส์ล่าท้าผีที่พวกเราไปทำมานะครับ https://www.youtube.com/watch?v=WBRW6gIJkdA&list=PLdAE6-7fRJc9AvreqY0zMygHZAC43_rge
         
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าผมเป็นหนึ่งในทีมงานของช่องยูทูปช่องที่ชื่อว่า Hatchtag ซึ่งทีมงานเราทุกคนนับถือคริสต์กันหมดเลย เรื่องมันมีอยู่ว่าผมและเพื่อนๆทีมงานทุกคนก็จะต้องช่วยกันหา content ที่น่าสนใจมาถ่ายกัน ซึ่งในช่วงนั้นเราจะทำแค่ content เบาๆ เช่นการหาอะไรมาทดลองทำต่างๆนาๆ จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว เรามานั่งประชุม content กันแล้วทีมงานคนหนึ่งเสนอไอเดียว่าน่าจะทำอะไรที่มันท้าทายมากกว่านี้หน่อย ทีมงานคนนั้นก็เลยเสนอไอเดียในการทำคลิปล่าท้าผีขึ้นมา ในตอนแรกมีทีมงานบางคนที่ยังไม่อยากทำเพราะกลัวมันจะแรงไป แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ยังไงนะครับ เราก็ได้ทำการสรุป content นี้แล้วเริ่มหาสถานที่ที่จะไปถ่ายทำกันเลย ซึ่งตอนแรกก็มีหลายที่ที่คิดไว้ว่าจะไป แต่สุดท้ายที่คัดเลือกออกมาก็เหลือแค่ บ้านร้าง 9 หลังย่านรังสิต, บ้านบันไดแดง แล้วก็อู่รถเมล์ร้าง บอกเลยว่าแค่ได้ยินชื่อแต่ละที่ผมก็กล้าๆกลัวๆแล้ว555 แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นทีมงานเบื้องหลังก็ต้องไปถ่ายจนได้ ซึ่งในการถ่ายทำโปรเจ็คนี้จะแบ่งเป็น 5 ตอนด้วยกัน จึงใช้เวลาถ่ายทำกันหลายวัน
          
หลังจากประชุมวางแผนเสร็จแล้ว วันต่อมาก็เริ่มเดินทางไปกันเลยครับ สถานที่แรกที่เราไปถ่ายทำกันก็คือบ้านร้าง 9 หลัง ซึ่งอยู่ในตัวหมู่บ้านเมืองเอกย่านรังสิต การเดินทางก็ไปกันโดยรถตู้ 1 คันซึ่งอัดแน่นไปด้วยทีมงานกว่า 7 ชีวิต ซึ่งตอนที่เข้าไปที่หมู่บ้านช่วงแรกตัวหมู่บ้านนั้นลักษณะภายนอกก็ดูเหมือนหมู่บ้านคนรวยทั่วไป ที่จะมีกำแพงสูงๆและมีพื้นที่ด้านในกว้างๆ ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่าๆที่เราเข้าไป ในตอนนั้นรถตู้ก็ขับตรงเข้าไปตามเส้นทางในหมู่บ้านเรื่อยๆ ทุกอย่างดูปกติดี ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่เมื่อรถเริ่มขับเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ข้างทางที่มีไฟส่องมาก็ค่อยๆมืดลงเรื่อยๆครับ จนกระทั่งข้างทางเริ่มมีแต่ป่ากับทุ่งหญ้า เราก็รู้และว่าส่วนที่มีคนอาศัยอยู่เริ่มหมดแล้ว ส่วนทางข้างหน้าก็มืดมากจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร มีแต่ไฟของรถตู้ที่ส่องถนนข้างหน้า ทีมงานที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างและด้านหลังของรถตู้ก็เริ่มส่งเสียงฮือฮาออกมาเป็นระยะๆ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นอาคารสูงๆหลายๆหลังอยู่ด้านหน้าไกลๆ ทุกคนก็เริ่มตื่นเต้นกัน บางคนก็เล่นมุขหัวเราะกันขำๆ แต่ทีมงานผู้หญิงบางคนก็หน้าซีดเพราะกลัวมาก จนกระทั่งเรามาถึงบ้านร้างหลังแรก สภาพตามนี้เลยครับ
 
เมื่อเราลงมาจากรถกันหมดแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการสำรวจสถานที่ก่อน ซึ่งผมกับทีมงานอีก 2 คนจะต้องเดินเข้าไปในบ้านก่อน ทางเข้าก็จะเต็มไปด้วยหญ้ารกและเศษซากไม้ต่างๆ ซึ่งเราก็จะต้องฝ่าเข้าไป ซึ่งลักษณะที่เจอคือบ้านมีทั้งหมด 3 ชั้น แต่หลังแรกที่เข้าไปสำรวจกันนั้นบันไดบ้านยังสร้างไม่เสร็จ เลยไม่สามารถมีใครขึ้นไปชั้นบนได้ การถ่ายทำบ้านหลังแรกจึงต้องถ่ายกันแค่ชั้นล่างเท่านั้น ส่วนด้านหลังของบ้านเมื่อออกไปก็เป็นป่ารกมืดๆ มองไม่เห็นอะไรเลย และจุดสังเกตุอีกอย่างก็คือตามผนังบ้านจะมีรอยพ่นสีสเปรย์เอาไว้เยอะมาก ทำให้เรามั่นใจได้ว่าที่นี่คงเคยมีคนเข้ามาแล้วแน่นอน
          
หลังจากนั้นเราก็เริ่มการถ่ายทำกันใน Episode แรกกันเลย ซึ่งตลอดการถ่ายทำในตอนแรกนี้ยังไม่มีอะไรที่น่ากลัวมาก แฮทและทีมงานอีกสองคนต้องทำการท้าทายผีที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ซึ่งสิ่งที่เราทำก็มีแค่การเรียกผีดังๆ หรือเคาะถ้วยข้าว เป็นต้น แต่เนื่องจากนี่เป็นวันแรกที่เรามาถ่ายทำ จึงมีหลายอย่างที่พวกเราต้องการปรับกันเยอะมาก ทำให้การถ่ายทำกินเวลาถึงดึกมากๆ เมื่อถ่ายจบเราจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปที่สตูกันก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถ่ายหลังถัดไปในวันรุ่งขึ้น ซึ่งตอนที่ทุกคนขึ้นรถจนกลับมาถึงที่สตูแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำและเข้านอน สตูดิโอของเราจะมีสองชั้นครับ ชั้นล่างเป็นออฟฟิศส่วนชั้นบนเป็นห้องนอนของทีมงานทุกคน ซึ่งทีมงานทุกคนจะนอนรวมกันในห้องใหญ่ๆแยกเป็นห้องชายหญิงรวมทั้งหมดพวกผมอยู่กันเจ็ดคน ตอนเวลาประมาณตีสามกว่าๆ มันก็เริ่มเลยครับคืนแรกด้วยเสียงเก้าอี้ตรงออฟฟิศข้างล่างเลื่อนไปมาอยู่สักพัก ตามด้วยเสียงประตูเลื่อนตรงห้องครัวเลื่อนไปมาอยู่สองสามครั้ง คนแรกที่ได้ยินคือทีมงานที่ชื่อนัท นัทสะกิดเพื่อนสักคนในห้องแล้วทุกคนก็สลืมสลือตื่นขึ้นมาฟังเสียงด้วย ปรากฏว่าทุกคนได้ยินพร้อมกันหนึ่งครั้งแต่ไม่มีใครกล้าลงไป แฮทตัดสินใจลงไปข้างล่างพร้อมกับผมและทีมงานผู้ชายอีกหนึ่งคน ซึ่งแฮทมันเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้ว แต่พอลงมาก็ไม่ได้เจอใคร ทั้งที่จริงๆแล้วคิดว่าเป็นขโมยด้วยซ้ำ แต่บ้านล็อคอยู่เหมือนเดิมปกติ ไม่มีร่องรอยของข้าวของที่หายไป แต่เก้าอี้ถูกเลื่อนจากอีกจุดไปอยู่อีกจุดหนึ่ง
         
ในวันต่อมาเราก็เดินทางไปที่บ้านร้าง 9 หลังกันเหมือนเดิมเพื่อถ่ายหลังที่สองและสาม ซึ่งในตอนที่ทีมงานกำลังเดินเข้าไปสำรวจตัวบ้านก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำกัน ผมก็เดินไปดูหลังที่หก เจ็ด แปด เก้า ที่อยู่ริมสุด ซึ่งต้องบอกก่อนเลยครับว่าบรรยากาศในตอนนั้นคือข้างทางมันเงียบมาก ไม่มีรถสัญจรมาแถวนั้นเลย บรรยากาศคือเป็นหมู่บ้านร้างจริงๆแล้วในตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาคือหลังที่เจ็ดขึ้นไปจนถึงหลังที่เก้า ไม่มีรอยพ่นสเปรย์เอาไว้เลย ทั้งๆที่ทางเข้าบ้านของสามหลังนี้โล่งมาก แทบจะไม่มีต้นไม้หรือหญ้าขึ้นมาบังทางเข้าบ้านเอาไว้เหมือนหลังก่อนๆเลย ผมส่องไฟฉายไปรอบๆ ใจนึงก็อยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน555 แต่อีกใจนึงก็โคตรกลัว จากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือมีเสียงกระทืบเท้าดังมาจากชั้นสองหรือสามของบ้านหลังที่เจ็ด ผมถอยกลับไปตรงจุดรวมตัวเลย555

จนกระทั่งมาถึงคืนที่สามซึ่งเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะต้องถ่ายที่บ้านร้างเก้าหลัง คืนนี้แปลกที่สุดเพราะตลอดการถ่ายทำ ซอยที่เงียบมาตลอดทุกคืนกลับมีเสียงแปลกๆจากในป่ารอบๆและหลังบ้าน รวมถึงมีเสียงเบาๆเหมือนจะเป็นบทสวดละหมาดดังมาจากไกลๆ ซึ่งเราก็พยายามคิดว่าน่าจะเป็นเสียงจากที่ไหนไกลๆสักแห่ง หลังจากถ่ายทำเสร็จสิ้นในคืนนั้น ในตอนที่กลับมาถึงสตูแล้วทุกคนก็เข้าห้องเตรียมตัวนอนตามปกติ หนึ่งในทีมงานที่ชื่อว่า “อาร์ท” เล่าว่าตอนที่ทุกคนนอนกันหมดแล้วได้ยินเสียงทีมงานคุยกันแบบกระซิบในห้อง ซึ่งอาร์ทรู้ตัวในตอนนั้นแต่ลุกขึ้นมาไม่ได้ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครคุยกันในตอนนั้น 
ผ่านมาจนถึงคืนสุดท้ายที่เราไปถ่ายทำกันที่บ้านบันไดแดง บรรยากาศในคลิปจะเป็นยังไงก็คงจะต้องไปดูในคลิป แต่บรรยากาศเบื้องหลังนั้นน่ากลัวกว่าที่คิด จากนั้นเราได้ไปถ่ายทำสำหรับเป็นตอนพิเศษของซีรี่ส์นี้ เราไปกันที่อู่รถเมล์ร้าง ที่นี่มีประวัติที่แรงกว่าทุกที่ที่เราไปมาเพราะมันเป็นที่ที่รวบรวมรถที่ประสบอุบัติเหตุจนมีคนตายในหลายๆเหตุการณ์เอามารวมกันไว้ที่นี่ ทั้งรถบัสที่พลิกคว่ำจนมีนักเรียนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก หรือรถบรรทุกที่ชนคนท้องจนเสียชีวิตคาที่ เป็นต้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือสิ่งที่พวกเราจะต้องไปเจอกันเป็นที่สุดท้าย คุณป้าท่านหนึ่งที่เฝ้าอยู่ที่อู่รถเมล์บอกว่าที่นี่ไม่มีอะไรมานานมากแล้ว ทีมฝ่ายซับพอร์ตถามกับป้าว่าป้าเคยเจออะไรบ้างหรือเปล่า ป้าแกก็ยืนยันว่าเมื่อก่อนอาจจะมีบ้างแต่เดี๋ยวนี้เงียบไปหมดแล้ว ป้าอยู่มานานหลายปีแล้ว พวกเราก็โล่งใจขึ้นนิดหน่อยที่มันไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด เราเลยเริ่มถ่ายทำกันหลังจากนั้น สิ่งแรกที่ผมกับน้องตากล้องได้ยินคือเสียงหึ่งๆดังอยู่รอบๆ ตอนที่พวกผมไปถ่ายกันตรงรถบรรทุกที่ชนคนท้องเสียชีวิต ซึ่งพอถามทีมงานทุกคนแล้วทุกคนก็ยืนยันว่าไม่มีใครได้ยินอะไร ผ่านมาจนถึงซีนที่ต้องเคาะข้าว แฮทกับทีมงานจะต้องขึ้นไปบนรถบัสที่มีนักเรียนเสียชีวิต ซึ่งรถบัสคันนี้มีขนาดใหญ่มาก และบนรถมี "โลงศพ" 5555 ตอนที่เริ่มถ่ายกัน ทีมซับพอร์ตเดินกลับไปคุยกับป้าที่ทางเข้า เหลือแค่พวกผมที่รถบัส ซึ่งเมื่อเริ่มถ่ายซีนเคาะข้าวทีมงานคนหนึ่งก็บอกแฮทว่าให้เอาแรงๆเลยไม่ต้องกลัวเพราะมันไม่มีอะไร คนที่อยู่หน้ากล้องก็เลยใส่เต็มเลยครับ55 จนกระทั่งพอถ่ายจบทีมซับพอร์ตเดินกลับมาพร้อมกับสีหน้าซีดๆ ทีมงานคนหนึ่งบอกว่า "มีอะไรเดี๋ยวกลับไปคุยกันที่บ้านนะ" พวกผมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ 

พอพวกเราทุกคนกลับมาถึงที่บ้าน "บี" ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมซับพอร์ตก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เดินกลับไปคุยกับป้าเจ้าของอู่รถ บีมันเซ้าซี้ถามแกอีกรอบว่าไม่เคยเจออะไรที่นี่จริงๆหรอ? ป้าแกก็เลยบอกว่าเจอ บางคืนที่แกนอนๆอยู่ก็มีเสียงตุ๊บ!เหมือนมีของหนักๆหล่นลงมาจากหลังคาบ้านแก เหมือนมีคนกระโดดลงมา บางคืนก็มีเสียงเด็กหัวเราะวิ่งเล่นอยู่ไกลๆตอนดึกๆ หรือบางคืนที่เป็นวันก่อนวันพระก็จะเห็นคนยืนหรือเดินไปมาอยู่ในอู่รถบางครั้ง บีมันเลยบอกป้าว่า "พวกหนูเป็นคริสต์กันหมดเลย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะมีวิธีแก้มั้ยคะ?" ป้าแกก็พูดว่า "พวกคริสต์เนี่ยแหละตัวดีเลย คราวก่อนพวกนักเรียนคริสต์อะไรสักอย่างก็มาลอง เจอเต็มเลย ยืนเรียงกันอยู่เต็มเลยตรงหน้ารถเมล์เนี่ยแหละ" พอบีเดินกลับไปที่รถบัสที่พวกผมกำลังถ่ายกันมันเลยหน้าซีดในตอนนั้น แล้วเพื่อนอีกคน สมมติชื่อซี ก็เล่าต่อเลยว่าตอนที่ถ่ายบนรถบัส มันได้ยินเสียง "แก๊ง!" ดังมาจากหลังรถ แล้วก็เห็นเงาแวบๆผ่านหน้าต่างรถบัสไปเร็วๆ ซึ่งด้านหลังรถบัสเป็นป่าทีบๆนะครับ แล้วนั่นก็เป็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เราคิดว่าจบแล้วหลังจากถ่ายเสร็จ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้เริ่มจากที่น้องตากล้องที่ชื่ออาร์ท อาบน้ำตอนตี 5 ก่อนไปเรียน (น้องยังเรียนมหาลัยอยู่) แล้วมีเสียงคนมาเคาะประตูห้องน้ำ อาร์ทมันเข้าใจว่าเป็นผม เพราะผมกับน้องยังเรียนอยู่เหมือนกันแล้วจะออกไปเรียนพร้อมกันบางวัน แต่วันนั้นผมยังนอนอยู่ และยังไม่มีใครตื่นเพราะเช้ามาก หลังจากนั้นกลางดึกคืนนึงอาร์ทมันจะลงไปเอาเตารีดข้างล่างขึ้นมารีดผ้าบนห้อง น้องมันก็เดินลงไปตามปกติ ส่วนทีมงานทุกคนก็อยู่บนห้อง ทุกคนได้ยินเสียงอาร์ทร้องลั่นเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง อาร์ทวิ่งขึ้นมาบนห้องแล้วบอกว่าผีหลอก พวกผมก็งง อาร์ทมันเลยเล่าว่าตอนที่ลงไปเอาเตารีด ตอนกำลังเดินลงบันไดไปมันเห็นหน้าคนยื่นมาส่องตรงมุมเลี้ยวของบันไดแว้บนึง มันเข้าใจว่าเป็นผม(อีกแล้ว) แต่พอลงไปแล้วไม่เจอใครมันเลยสะดุ้งเพราะคิดว่าผีหลอก เพราะพอขึ้นมาแล้วผมอยู่บนห้อง55 ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับคนที่อยู่ในบ้านมากยิ่งขึ้น มีคืนหนึ่งที่ทุกคนนั่งประชุมงานกันอยู่ชั้นล่าง ซึ่งตรงที่เป็นออฟฟิศจะติดกับหน้าบ้าน หน้าต่างจะเป็นกระจกใสและประตูบ้านด้านหน้าจะเป็นประตูเลื่อนขึ้น ทำให้เรามองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านหน้าบ้านได้ ในคืนนั้นการประชุมไม่ค่อยราบรื่น บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด กระดานไวท์บอร์ดอันเล็กที่ตั้งซ้อนอยู่บนกระดานใหญ่หล่นลงมาที่พื้นเสียงดังมาก ทำให้ทุกคนที่กำลังตึงๆตกใจกันหมด หลังจากกระดานตกสิ่งที่ตามมาคือประตูหน้าบ้านที่เราเลื่อนไว้ต่ำๆ เลื่อนขึ้นเองแบบงงๆ ทุกคนมองเห็นประตูที่กำลังเลิ่อนขึ้นเสียงดังแล้วหันมองหน้ากัน ทุกคนเริ่มกลัวและรู้สึกแปลกๆ ไอซีบอกว่าถ้าเป็นผีจริงๆมันจะตั้งชื่อว่า "สมศรี" จากนั้นหลังจากนี้ผมจะขอเรียกสิ่งนี้ว่า สมศรี ครับ สิ่งที่สมศรีทำคือเปิดปิดประตูเลื่อนให้ห้องครัว เลื่อนเก้าอี้ในออฟฟิศให้ดู ทำไฟในบ้านกระพริบ 1 ครั้งและต่างๆนาๆ เราไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน แต่สมศรีก็ไม่เคยทำร้ายคนในบ้านเลย ทำให้พวกเราที่กลัวๆอยู่ลดความกลัวลงในระดับหนึ่ง แต่ทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าเขามายังไง แล้วเราจะต้องทำอะไรหลังจากนี้หรือเปล่า หรือจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ เพราะพวกเรานับถือคริสต์ สิ่งที่พวกผมทำได้คือการอธิฐานร่วมกันแค่นั้น ทุกวันนี้สมศรีก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่ไปไหน
          
 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่