ผมไม่ได้ปลื้ม Frozen ภาคแรกอะไรมากมายนะครับ แต่ก็เป็นหนังแอนิเมชั่นของ Disney ที่ทำออกมาได้ดีในระดับนึงเลย แต่ก็ยังไม่ได้ประทับใจมากเท่าไหร่ สำหรับภาคนี้ ทีแรกผมก็ไม่ได้อยากดูมากแต่ก็คงคิดว่าต้องไปดูแน่นอน แต่หลังจากได้ดูตัวอย่างแรกที่ปล่อยออกมา ผมสนใจมากครับ เพราะเราได้เห็นอะไรใหม่ๆ เยอะมาก และเนื้อหาที่เราไม่รู้ว่าหนังจะเล่นประเด็นอะไร ผมเลยชวนเพื่อนไปดูถึง 5 คนครับ เพราะหนังแนวนี้ต้องดุกับเพื่อนฝูงถึงจะสนุก ไปถึงหน้าโรงคนเยอะพอสมควรครับ แถวบนนี่ไม่มีที่ว่างเลย(ส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองพาลูกพาหลานมาดู ระหว่างดูเลยอาจจะได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวบ้างแต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาณให้ผมแต่อย่างใด ถือว่าดี555) ผมดูรอบบ่ายคนเลยไม่เยอะมาก แต่รอบเช้าเต็มทุกที่นั่งเลย555
เอลซา (Idina Menzel) ราชินีเอเรนเดลผู้มีพลังแห่งหิมะได้ยินเสียงพรากจากแดนไกลที่มาพร้อมภัยพิบัติครั้งใหญ่ต่อเอเรนเดล จนเธอ และอันนา (Kristen Bell) น้องสาวของเธอ คริสทอฟ (Jonathan Groff) โอลาฟ (Josh Gad) และสเวน จึงออกเดินทางเพื่อตามหาที่มาพลังของเอลซา และได้ล่วงรู้ความลับของตำนานความขัดแย้งระหว่าง เอเรนเดล กับ นอร์ธัลดรา ที่อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่คำตอบที่พวกเธอหาอยู่
หลังดุจบแล้ว เพื่อนผมทุกคนชอบมากครับ แต่ละคนก็บอกว่าเนื้อเรื่องน่าติดตามและมุขตลกก็ฮามาก หนึ่งในเพื่อนผมร้องไห้ด้วย ซึ่งผมอึ้งมากเพราะไม่นึกว่าเขาจะอินขนาดนี้555 ส่วนตัวผมนั้นผมก็ค่อนไปทางชอบครับ แต่ก็ไม่ได้ชอบมากเป็นพิเศษ เพราะมีหลายอย่างที่มันดีและก็ด้อยกว่าภาคแรก ขอบอกก่อนนะครับว่ารีวิวนี้ยาว ถ้าใครขี้เกียจอ่านก็เลื่อนไปอ่านสรุปที่ย่อหน้าสุดท้ายได้เลย เพราะผมเขียนยาวแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะมีสปอยโผล่เข้ามาด้วย
จุดที่ยอดเยี่ยมมากในภาคนี้ก็คืองานภาพครับ ภาพที่คมกริ๊บทุกจุด มีหลายฉากที่สมจริงมากจนน่าตกใจ ก็ถือว่าเป็นงานมาตรฐานของ Disney ครับ งานภาพนี่ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ และดนตรีประกอบของ Christophe Beck ที่เสริมความอลังการของงานภาพให้ยอดเยี่ยมมากขึ้น ทางด้านตัวละครก็มีพัฒนาการที่น่าสนใจจนแอบคิดว่าถ้ามีภาคต่อคงน่าสนใจแน่ๆ ส่วนเพลงประกอบนั้นก็ทำได้ดีมาก ส่วนตัวคิดว่าเพลง Into the Unknow กับ Lost in the Woods นั้นมี impact มากกว่า Let It Go ในภาคแรกเสียอีก ในเพลง Let it Go นั้นจะได้ฟิลแบบเป็นอิศระ ส่วน Into the Unknow จะได้ฟิล epic adventure เสียมากกว่า แล้วพอมาผสมผสานกับเนื้อเรื่องของภาคนี้แล้ว ก็นับได้ว่าเป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวมากๆ เลย
ทางด้านเนื้อเรื่อง ผมว่าน่าสนใจที่จะเลือกเล่าถึงที่มาที่ไปของพลังวิเศษของเอลซ่า และปมปริศนาก็ถือว่าคลี่คลายได้ไม่ติดขัดอะไรมากมาย แต่ผมว่าจังหวะการเล่าเรื่องในภาคนี้ยังมีปัญหาอยู่มาก ในช่วงแรกถึงกลางเรื่องนั้นยังถือว่าสะดุดเยอะมาก นั่นทำให้เกิดปัญหาอันใหญ่หลวงตามมานั่นก็คือ "plot hole"
ในที่นี้อาจจะสรุปง่ายๆ ได้ว่า "หนังมีพล็อตที่น่าสนใจ+การเล่าเรื่องที่ไม่ลงรายละเอียดลึกมาก=บทหนังที่ดูมีปัญหา" พล็อตดีที่ว่าก็คือป่าลึกลับที่มีพลัง 4 ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้สถิตอยู่ในป่าลึกลับแห่งนั้น ทีนี้มีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นทำให้อำนาจของธาตุทั้ง 4 ธาตุใช้พลังหมอกปกปิดผืนป่าไว้ ทีนี้เอลซ่า ได้ยินเสียงเรียกมาจากป่าแห่งนั้น มันคือเสียงอะไรกันแน่? แล้วเสียงนั้นจะเรียกเอลซ่าไปทำไม? ถือว่าเป็นการเขียนพล็อตที่น่าสนใจมากๆ เลยครับว่าหนังจะไปลงเอยแบบไหน
ซึ่งหนังก็ลงเอยได้ดีครับ แต่ระหว่างทางก่อนที่จะมาถึงบทสรุปเนี่ย หนังก็มีแผลเยอะอยู่พอสมควร ตั้งแต่ปมการสร้างเขื่อนที่ให้รายละเอียดกับคนดูน้อยเกินไป ทำให้บางคนอาจจะไม่อินกับฉากไคล์แมกซ์ได้เลย ชาวบ้านในป่าลึกลับผมก็ยังไม่ได้รู้เรื่องราวของพวกเขามาก และสุดท้ายผมก็ไม่อินกับทัศนคติและการตัดสินใจของคิงรูนาร์ด เพราะหนังไม่ได้ผูกปมตรงนี้ให้คนดูอิน แต่เป็นเล่าให้คนดูรู้ว่า "เอ้อ ไอ้คิงรูนาร์ดมันทรยศนะ มันเลยสร้างเขื่อนไว้เพื่อให้มีอำนาจต่อไป" ซึ่งการเล่าแบบนี้+ระยะเวลาของหนังที่มี มันไม่สามารถทำให้ปมนี้เป็นปมที่ทำให้ฉากไคล์แมกซ์น่าสนใจขึ้นเลย ในช่วงฉากไคล์แมกซ์นั้นผมก็ไม่ได้ลุ้นอะไรมาก เพราะมีแปปเดียวก็จบแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เกิดอารมณ์ร่วมอะไรกับปมก่อนหน้านั้นเลย ทำให้ผมเฉยๆ กับฉากบนเขื่อน หนังมาทำคะแนนดีขึ้นตรงฉากหยุดคลื่นของเอลซ่าที่บอกเลยว่าอลังการมาก แต่จะพีคกว่านี้มากถ้าปมผูกมาดีและฉากบนเขื่อนทำได้ลุ้นกว่านี้
แต่กระนั้นผมว่าปมอื่นของหนังก็ทำได้ดี เช่นปมการตามหาตนเองที่เอลซ่าพยายามทำมาตลอด พ่อแม่ของเธอยอมสละชีวิตเพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าเอลซ่าคืออะไรกันแน่ การสละชีวิตครั้งนี้ทำให้เอลซ่าตระหนักได้ว่า พ่อแม่ของเธอนั้นได้สร้างความมหัศจรรย์ไว้กับเธอ ให้เธอเอาไว้ใช้ปกป้องน้องสาวอย่างอันนา แม้ความมหัศจรรย์ครั้งนี้จะสร้างบาดแผลไว้ในอดีต แต่ถ้ายอมที่จะ "Let It Go" แล้วยอมรับในสิ่งที่เป็นเพื่อใช้มันให้ถูกทาง นั่นคือ "The Next Right Thing" ที่แท้จริง
จริงๆ ปมดีครับ แต่ว่าการนำเสนอและการเล่าเรื่องยังไม่จับใจนัก ปมเหล่านี้เลยเป็นแค่สาระข้างฝาเท่านั้น ถ้าหนังยาวกว่านี้สัก 2 ชั่วโมงครึ่งเนี่ย แล้วเล่าแบบเต็มเหนี่ยวกว่านี้นะ ผมว่าจะสุดยอดกว่าภาคแรกแน่นอน
ผมว่าฝีมือของ Chris Buck และ Jennifer Lee ยังดีอยู่จากภาคแรกครับ ถึงแม้บทของหนังจะมีช่องโหว่บ้างตามที่ผมบ่นมา แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าแกเอาใจกลุ่มเป้าหมายได้ดีครับ เพราะส่วนใหญ่ตอนที่ผมดูเนี่ย ทุกคนในโรงจะแฮปปี้กันทั้งนั้น ผมได้ยินเสียงขำดังมาเรื่อยๆ ระหว่างดู ซึ่งทำให้ผมก็อดที่จะขำตามไม่ได้ อย่างฉากการร้องเพลง "When I Am Older" ของโอลาฟเนี่ย ผมขำหนักมาก และก็ฉาก "Lose in the Woods" ผมก็ขำหนักมากเหมือนกัน ฉะนั้นในแง่ความบันเทิงผมว่า Frozen 2 สอบผ่านฉลุย แต่ในแง่ความดีงาม ผมว่ายังไม่มากเท่าที่ Moana, Tangled หรือว่า Mulan เคยทำไว้ แต่ก็สนุกไม่เสียชื่อ Disney กับ Frozen ครับ
สรุปแล้ว Frozen 2 ก็เป็นภาคต่อของ Frozen ที่ดูสนุกแบบที่ภาคแรกเคยทำไว้ ด้วยภาพที่งดงามกับเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ และเพลงที่อลังกว่าภาคแรก มาเจอกับการดำเนินเรื่องที่กระตุกกระตักและบทที่แหว่ง ทำให้ผลที่ออกมาผมยังไม่ได้ประทับใจกับ Frozen ภาคนี้มาก แต่ผมว่าผมแอบชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกตรงที่มุขตลกและเพลง ถ้าบทดีกว่านี้ผมว่าหนังจะยอดเยี่ยมแน่นอน แต่ก็ยังแนะนำให้ดูครับ ไม่เสียดายตังค์แน่นอน
ปล. ดูจบต้องเปิด Spotify แล้วฟัง "เต่างอย" กับ "น้ำตาย้อยโป๊ก" ทันที
คะแนนเฉลี่ยรวม : 8/10
เรตหนัง : หนังดีที่ควรดู
[CR] [##REVIEW##] Frozen 2 (2019) ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ | ดินแดนที่ไม่รู้ [มีส้มป่อย]
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้