เมื่อประมาณเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีโอกาสได้กลับบ้านต่างจังหวัด เลยนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านมีกล้องฟิล์มอยู่ตัวนึง
ซึ่งเป็นของพ่อแม่ตั้งแต่สมัยยังหนุ่มสาว และเราเคยจับๆ เล่นสมัยยังเป็นเด็กน้อย
ลองไปรื้อๆ ดูก็เจอเจ้า Nikon L35 AD ที่สภาพยังดูคุ้นตาเหมือนเดิมครับ แม้จะไม่ได้ถูกหยิบมาใช้การประมาณเวลาน่าจะร่วมๆ 15 ปี เป็นอย่างน้อย
เพราะตั้งแต่เข้ามหาลัยปี 1 จำความได้ว่าตอนนั้นเริ่มนำกล้องดิจิตอลมาใช้แล้วครับ
เมื่อได้กล้องมาแล้ว สิ่งแรกที่ภาวนาให้สำเร็จคือ เมื่อซื้อถ่านพานาโซนิค อัลคาไลน์ มาใส่ และเลื่อนสวิตช์เป็น on แล้ว ขอให้ได้ยินเสียงกล้องทำงานอยู่
ซึ่งปรากฏว่าสำเร็จตามความตั้งใจ ลองกดถ่าย ยิงแฟลช ทุกอย่างยังทำงานได้เหมือนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหาซื้อฟิล์มครับ
หลังจากหาอ่านรีวิวอยู่พอสมควรว่าจะเลือกฟิล์มยี่ห้อ/รุ่น ไหนดี สุดท้ายหวยก็มาตกที่ Fujifilm Fujicolor C200 เนื่องจาก
1. คงจะเน้นถ่ายในที่ที่มีแสง เลยขอเกาะ ISO 200 ไว้ก่อน
2. โทนสีภาพ อยากได้ออกเขียวๆ ภาพโทนญี่ปุ่นๆ นิดๆ ด้วยความเคยชินเวลาดูภาพจากกล้องฟิล์มมักจะภาพจากทางญี่ปุ่นออกมาให้ดูซะเยอะ
3. ความฝังใจตั้งแต่วัยเด็ก พ่อแม่มักจะบอกว่าภาพจาก Fujifilm สวยกว่ายี่ห้ออื่นเสมอๆ
4. หาซื้อได้ใกล้บ้านพอดี (ได้จากร้าน Digital Cafe เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ จำราคาไม่ผิดน่าจะม้วนละ 180 บาท)
ฟิล์มม้วนนี้ม้วนเดียวใช้เวลาไปยาวนานมากๆๆๆ ร่วมๆ 8 เดือน กว่าจะถ่ายหมดม้วน ด้วยความที่ไม่ค่อยได้ไปไหน
หรือพอไปก็มักจะคว้า DSLR หรือ Mirrorless ไปก่อน เจ้ากล้องฟิล์มตัวนี้เลยเป็นตัวเลือกลำดับสุดท้าย นึกได้ทีก็ถึงจะถูกหยิบมากดซักที
แถมกดไปแต่ละทีก็รู้สึกขาดความมั่นใจในชีวิตการถ่ายรูปไปเรื่อยๆ กลายเป็นหลายๆ ครั้งรู้สึกขยาดกับมันด้วยซ้ำ
(เคยวางมันไว้นิ่งๆ จนฝุ่นเกาะอยู่ร่วม 2-3 เดือน)
ท้ายที่สุดก็กดจนหมด 37 ช็อต (มันแปะกล่องว่าได้ 36 ภาพ แต่นี่กดได้เกินมาภาพนึงแบบงงๆ)
เอาไปให้ร้านที่ซื้อฟิล์มมาล้างสแกนฟิล์ม ใช้เวลาไป 1 วัน ก็ได้ชมผลงานจนได้ และนี่คือภาพผลงานบางส่วนครับ
บางภาพมีวันที่กำกับ เพราะลองไปซื้อถ่านกระดุมมาใส่ แต่ตั้งค่าเกินปี 94-95 ไม่ได้ครับ (จำปีได้ไม่แน่ชัดแต่ประมาณนั้นครับ)
ภาพที่ 1 ถ่ายที่ตลาดนกฮูก ใกล้ๆ สถานี MRT แยกนนทบุรี 1
ภาพที่ 2 ถ่ายที่บ้านขนมคุณภัทรา อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา
ภาพที่ 3-6 เกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ภาพที่ 7 ถ่ายที่แม็คโดนัลด์ สาขาถนนมิตรภาพ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ภาพที่ 8-9 ถ่ายที่เอสซีจี สเตเดี้ยม อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ภาพที่ 10-11 ถ่ายที่อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี
ภาพสุดท้าย ถ่ายที่หน้าบ้านตัวเอง จังหวัดบุรีรัมย์
หลังจากเห็นภาพแล้วรู้สึกหลงใหลไปกับสีและอารมณ์จากภาพมากๆ ครับ
แต่ความรู้สึกเสพติดจริงๆ กลับไม่ได้รู้สึกว่ามาจากความสวยงามหรือภาพที่ปรากฏตรงหน้า แต่เหมือนเราเสพติดความทรงจำที่อยู่ในภาพนั้นๆ
เปรียบเทียบกับเวลาเราถ่ายภาพด้วยกล้อง DSLR หรือ Mirrorless หรือกล้องมือถือ เราจะได้เห็นภาพทันที ได้รู้ทันทีว่าภาพนี้เกิดจากเหตุการณ์นั้นๆ
แต่กับภาพจากฟิล์ม กว่าที่เราจะได้เห็นภาพที่ปรากฏออกมา เหมือนมันได้ผ่านระยะเวลานั้นๆ มาซักระยะนึงแล้ว
ทำให้เวลาเรานั่งดูภาพถ่าย เหมือนทำให้เราได้ทบทวนกับช่วงเวลาที่ปรากฏในภาพนั้นๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ขอบพระคุณสำหรับการรับชมครับ
เมื่อผมไปขุด Nikon L35AD ของคุณพ่อคุณแม่มาเล่น
ซึ่งเป็นของพ่อแม่ตั้งแต่สมัยยังหนุ่มสาว และเราเคยจับๆ เล่นสมัยยังเป็นเด็กน้อย
ลองไปรื้อๆ ดูก็เจอเจ้า Nikon L35 AD ที่สภาพยังดูคุ้นตาเหมือนเดิมครับ แม้จะไม่ได้ถูกหยิบมาใช้การประมาณเวลาน่าจะร่วมๆ 15 ปี เป็นอย่างน้อย
เพราะตั้งแต่เข้ามหาลัยปี 1 จำความได้ว่าตอนนั้นเริ่มนำกล้องดิจิตอลมาใช้แล้วครับ
เมื่อได้กล้องมาแล้ว สิ่งแรกที่ภาวนาให้สำเร็จคือ เมื่อซื้อถ่านพานาโซนิค อัลคาไลน์ มาใส่ และเลื่อนสวิตช์เป็น on แล้ว ขอให้ได้ยินเสียงกล้องทำงานอยู่
ซึ่งปรากฏว่าสำเร็จตามความตั้งใจ ลองกดถ่าย ยิงแฟลช ทุกอย่างยังทำงานได้เหมือนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหาซื้อฟิล์มครับ
หลังจากหาอ่านรีวิวอยู่พอสมควรว่าจะเลือกฟิล์มยี่ห้อ/รุ่น ไหนดี สุดท้ายหวยก็มาตกที่ Fujifilm Fujicolor C200 เนื่องจาก
1. คงจะเน้นถ่ายในที่ที่มีแสง เลยขอเกาะ ISO 200 ไว้ก่อน
2. โทนสีภาพ อยากได้ออกเขียวๆ ภาพโทนญี่ปุ่นๆ นิดๆ ด้วยความเคยชินเวลาดูภาพจากกล้องฟิล์มมักจะภาพจากทางญี่ปุ่นออกมาให้ดูซะเยอะ
3. ความฝังใจตั้งแต่วัยเด็ก พ่อแม่มักจะบอกว่าภาพจาก Fujifilm สวยกว่ายี่ห้ออื่นเสมอๆ
4. หาซื้อได้ใกล้บ้านพอดี (ได้จากร้าน Digital Cafe เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ จำราคาไม่ผิดน่าจะม้วนละ 180 บาท)
ฟิล์มม้วนนี้ม้วนเดียวใช้เวลาไปยาวนานมากๆๆๆ ร่วมๆ 8 เดือน กว่าจะถ่ายหมดม้วน ด้วยความที่ไม่ค่อยได้ไปไหน
หรือพอไปก็มักจะคว้า DSLR หรือ Mirrorless ไปก่อน เจ้ากล้องฟิล์มตัวนี้เลยเป็นตัวเลือกลำดับสุดท้าย นึกได้ทีก็ถึงจะถูกหยิบมากดซักที
แถมกดไปแต่ละทีก็รู้สึกขาดความมั่นใจในชีวิตการถ่ายรูปไปเรื่อยๆ กลายเป็นหลายๆ ครั้งรู้สึกขยาดกับมันด้วยซ้ำ
(เคยวางมันไว้นิ่งๆ จนฝุ่นเกาะอยู่ร่วม 2-3 เดือน)
ท้ายที่สุดก็กดจนหมด 37 ช็อต (มันแปะกล่องว่าได้ 36 ภาพ แต่นี่กดได้เกินมาภาพนึงแบบงงๆ)
เอาไปให้ร้านที่ซื้อฟิล์มมาล้างสแกนฟิล์ม ใช้เวลาไป 1 วัน ก็ได้ชมผลงานจนได้ และนี่คือภาพผลงานบางส่วนครับ
บางภาพมีวันที่กำกับ เพราะลองไปซื้อถ่านกระดุมมาใส่ แต่ตั้งค่าเกินปี 94-95 ไม่ได้ครับ (จำปีได้ไม่แน่ชัดแต่ประมาณนั้นครับ)
ภาพที่ 1 ถ่ายที่ตลาดนกฮูก ใกล้ๆ สถานี MRT แยกนนทบุรี 1
ภาพที่ 2 ถ่ายที่บ้านขนมคุณภัทรา อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา
ภาพที่ 3-6 เกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ภาพที่ 7 ถ่ายที่แม็คโดนัลด์ สาขาถนนมิตรภาพ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ภาพที่ 8-9 ถ่ายที่เอสซีจี สเตเดี้ยม อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ภาพที่ 10-11 ถ่ายที่อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี
ภาพสุดท้าย ถ่ายที่หน้าบ้านตัวเอง จังหวัดบุรีรัมย์
หลังจากเห็นภาพแล้วรู้สึกหลงใหลไปกับสีและอารมณ์จากภาพมากๆ ครับ
แต่ความรู้สึกเสพติดจริงๆ กลับไม่ได้รู้สึกว่ามาจากความสวยงามหรือภาพที่ปรากฏตรงหน้า แต่เหมือนเราเสพติดความทรงจำที่อยู่ในภาพนั้นๆ
เปรียบเทียบกับเวลาเราถ่ายภาพด้วยกล้อง DSLR หรือ Mirrorless หรือกล้องมือถือ เราจะได้เห็นภาพทันที ได้รู้ทันทีว่าภาพนี้เกิดจากเหตุการณ์นั้นๆ
แต่กับภาพจากฟิล์ม กว่าที่เราจะได้เห็นภาพที่ปรากฏออกมา เหมือนมันได้ผ่านระยะเวลานั้นๆ มาซักระยะนึงแล้ว
ทำให้เวลาเรานั่งดูภาพถ่าย เหมือนทำให้เราได้ทบทวนกับช่วงเวลาที่ปรากฏในภาพนั้นๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ขอบพระคุณสำหรับการรับชมครับ