จอมขมังเวทย์ 2020
“ใครมีดีก็เข้ามา” คำพูดเชิงท้าทายของคนมีของที่กำลังจะต่อสู้กับคนที่มีของเช่นเดียวกัน คือ คำพูดที่เท่ระเบิดมากในหนัง จอมขมังเวทย์ ปี พ.ศ. 2548 ของผู้กำกับ ปิยะพันธ์ ชูเพ็ชร์ อันที่จริงแล้วตอนที่หนังออกฉายในปีนั้นหนังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากและก็ไม่ถึงกับย่ำแย่ด้วย ดังนั้นจึงปิดประตูตายไปได้เลยสำหรับการสร้างภาคต่อ และมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจนกระทั่ง 14 ปีต่อมา หนังถูกรื้อนำมาสร้างภาคต่ออย่างน่าประหลาดใจโดยที่มีตัวละครซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับภาคที่แล้วและดูเหมือนว่ากลับมาคราวนี้ทีมงานจะคิดการใหญ่ด้วยการขยายเรื่องราวที่ดูท่าจะไม่จบลงง่ายๆ
จอมขมังเวทย์ ภาคแรก เป็นหนังที่สร้างความประทับใจให้เราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านเนื้อหาที่เล่าเรื่องของคนที่ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำทั้งด้านดีและชั่วได้อย่างเข้มข้นถึงใจ และการเล่นแสงสีที่ทำได้ดีจนต้องยกนิ้วให้ แต่ดูเหมือนว่าหลายคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จะไม่ได้ชื่นชอบมากสักเท่าไรนัก ในความคิดของเราหนังเรื่องนี้จึงเรียกได้ว่า ถูกมองข้าม หรือถูกประเมินค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ก็ว่าได้
สำหรับ จอมขมังเวทย์ 2020 ที่เป็นภาคต่อนั้น ยังคงยึดมั่นกับเนื้อหาที่พูดถึงกลุ่มคนซึ่งใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำเพื่อตอบสนองความต้องการไม่ว่าจะทั้งทางดีหรือทางชั่ว และหนังก็ยังคงทำได้ดีเช่นเคยในการตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะนำเสนอประเด็นเหล่านี้ออกมา เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 14 ปี หนังภาคต่อเรื่องนี้จึงจำเป็นจะต้องเล่าถึงบริบทของสังคมยุคปัจจุบันที่แตกต่างจากภาคแรกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของค่านิยมที่เปลี่ยนไปของคนและภาพของความทันสมัยในปัจจุบัน หนังจึงตั้งใจนำภาพข่าวที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างโจทษ์จันมาล้อเลียนหรือหยิบประเด็นที่ผู้คนสนใจอย่างการไลฟ์โค้ชมาเล่น แต่เรากลับรู้สึกชอบบริบทของเรื่องราวในหนังภาคแรกมากกว่า ทว่าในภาคนี้ก็ทำออกมาไม่ได้แย่แต่อย่างใดเพียงแต่มันยังไม่แยบยลและเฉียบคมพอ ปมหลายจุดในหนังถูกคาดเดาได้ไม่ยาก ที่สำคัญที่สุดคือในช่วงท้ายของหนัง ยืดเยื้ออย่างที่ไม่ควรจะเป็น ความสนุกของหนังจึงออกมาครึ่งๆกลางๆ ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับเรื่องความกล้าที่ทะเยอทะยานเล่าเรื่องราวที่เริ่มขยายใหญ่เกินตัวจากภาคแรกไปเยอะมาก
งานด้านภาพแสงสีต่างๆ ก็ทำออกมาได้ไม่หวือหวาน่าประทับใจเท่าภาคแรกที่ดูสมจริง มีความลึกลับน่าค้นหา ชวนหลอน และก็น่ากลัวซ่อนอยู่ (ฉากสุดท้ายของหนังภาคแรกคือที่สุด ชอบมาก) ในขณะที่ภาคนี้เหมือนทำได้ถึงเพียงแค่ครึ่งเดียวของภาคก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาคนี้สามารถใช้ซีจีช่วยได้เยอะมาก ข้อดีคืออะไรที่ใช้ของจริงไม่ได้ก็ทำได้อย่างใจต้องการ แต่ข้อเสียก็คือถ้าทำได้ไม่ดีพอที่จะหลอกสายตาได้มันก็จะให้ความรู้สึกค้านสายตาคนดูเช่นกัน
นักแสดงที่เรารู้สึกขัดใจกับการแสดงหลายฉากก็คือ คิตตี้ ชิชา ที่เหมือนจะไม่เหมาะสมกับบทบาทในหนังตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เมื่อต้องมาแสดงในบทบาทของตำรวจสาวที่มีมาดสายลุย กลับเล่นออกมาได้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลย ส่วน หมาก ปริญ พระเอกของเรื่องก็เล่นดีแบบที่ไม่ติดอะไรเลย หากแต่ว่า ก๊อต จิรายุ ในบทตัวร้ายกลับแสดงได้โดดเด่นอย่างร้ายกาจ แย่งซีนได้เกือบทุกครั้งที่ออกจอ ส่วน ฉัตรชัย ที่เป็นตัวละครจากภาคแรกกลับไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในภาคนี้
ขบเคี้ยวหนัง
[CR] จอมขมังเวทย์ 2020 ใครมีดีก็เข้ามา
จอมขมังเวทย์ 2020
“ใครมีดีก็เข้ามา” คำพูดเชิงท้าทายของคนมีของที่กำลังจะต่อสู้กับคนที่มีของเช่นเดียวกัน คือ คำพูดที่เท่ระเบิดมากในหนัง จอมขมังเวทย์ ปี พ.ศ. 2548 ของผู้กำกับ ปิยะพันธ์ ชูเพ็ชร์ อันที่จริงแล้วตอนที่หนังออกฉายในปีนั้นหนังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากและก็ไม่ถึงกับย่ำแย่ด้วย ดังนั้นจึงปิดประตูตายไปได้เลยสำหรับการสร้างภาคต่อ และมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจนกระทั่ง 14 ปีต่อมา หนังถูกรื้อนำมาสร้างภาคต่ออย่างน่าประหลาดใจโดยที่มีตัวละครซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับภาคที่แล้วและดูเหมือนว่ากลับมาคราวนี้ทีมงานจะคิดการใหญ่ด้วยการขยายเรื่องราวที่ดูท่าจะไม่จบลงง่ายๆ
จอมขมังเวทย์ ภาคแรก เป็นหนังที่สร้างความประทับใจให้เราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านเนื้อหาที่เล่าเรื่องของคนที่ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำทั้งด้านดีและชั่วได้อย่างเข้มข้นถึงใจ และการเล่นแสงสีที่ทำได้ดีจนต้องยกนิ้วให้ แต่ดูเหมือนว่าหลายคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จะไม่ได้ชื่นชอบมากสักเท่าไรนัก ในความคิดของเราหนังเรื่องนี้จึงเรียกได้ว่า ถูกมองข้าม หรือถูกประเมินค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ก็ว่าได้
สำหรับ จอมขมังเวทย์ 2020 ที่เป็นภาคต่อนั้น ยังคงยึดมั่นกับเนื้อหาที่พูดถึงกลุ่มคนซึ่งใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำเพื่อตอบสนองความต้องการไม่ว่าจะทั้งทางดีหรือทางชั่ว และหนังก็ยังคงทำได้ดีเช่นเคยในการตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะนำเสนอประเด็นเหล่านี้ออกมา เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 14 ปี หนังภาคต่อเรื่องนี้จึงจำเป็นจะต้องเล่าถึงบริบทของสังคมยุคปัจจุบันที่แตกต่างจากภาคแรกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของค่านิยมที่เปลี่ยนไปของคนและภาพของความทันสมัยในปัจจุบัน หนังจึงตั้งใจนำภาพข่าวที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างโจทษ์จันมาล้อเลียนหรือหยิบประเด็นที่ผู้คนสนใจอย่างการไลฟ์โค้ชมาเล่น แต่เรากลับรู้สึกชอบบริบทของเรื่องราวในหนังภาคแรกมากกว่า ทว่าในภาคนี้ก็ทำออกมาไม่ได้แย่แต่อย่างใดเพียงแต่มันยังไม่แยบยลและเฉียบคมพอ ปมหลายจุดในหนังถูกคาดเดาได้ไม่ยาก ที่สำคัญที่สุดคือในช่วงท้ายของหนัง ยืดเยื้ออย่างที่ไม่ควรจะเป็น ความสนุกของหนังจึงออกมาครึ่งๆกลางๆ ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับเรื่องความกล้าที่ทะเยอทะยานเล่าเรื่องราวที่เริ่มขยายใหญ่เกินตัวจากภาคแรกไปเยอะมาก
งานด้านภาพแสงสีต่างๆ ก็ทำออกมาได้ไม่หวือหวาน่าประทับใจเท่าภาคแรกที่ดูสมจริง มีความลึกลับน่าค้นหา ชวนหลอน และก็น่ากลัวซ่อนอยู่ (ฉากสุดท้ายของหนังภาคแรกคือที่สุด ชอบมาก) ในขณะที่ภาคนี้เหมือนทำได้ถึงเพียงแค่ครึ่งเดียวของภาคก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาคนี้สามารถใช้ซีจีช่วยได้เยอะมาก ข้อดีคืออะไรที่ใช้ของจริงไม่ได้ก็ทำได้อย่างใจต้องการ แต่ข้อเสียก็คือถ้าทำได้ไม่ดีพอที่จะหลอกสายตาได้มันก็จะให้ความรู้สึกค้านสายตาคนดูเช่นกัน
นักแสดงที่เรารู้สึกขัดใจกับการแสดงหลายฉากก็คือ คิตตี้ ชิชา ที่เหมือนจะไม่เหมาะสมกับบทบาทในหนังตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เมื่อต้องมาแสดงในบทบาทของตำรวจสาวที่มีมาดสายลุย กลับเล่นออกมาได้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลย ส่วน หมาก ปริญ พระเอกของเรื่องก็เล่นดีแบบที่ไม่ติดอะไรเลย หากแต่ว่า ก๊อต จิรายุ ในบทตัวร้ายกลับแสดงได้โดดเด่นอย่างร้ายกาจ แย่งซีนได้เกือบทุกครั้งที่ออกจอ ส่วน ฉัตรชัย ที่เป็นตัวละครจากภาคแรกกลับไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในภาคนี้
ขบเคี้ยวหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้