#เริ่มแรกเรากับแฟนและเพื่อนอีก 2 คนวางแผนก่อนว่าจะไปเที่ยวไหนดี ที่ใช้เวลาเดินทางไม่ไกลจาก กทม. เราอยากไปพักผ่อนและหาแรงบันดาลใจในการทำงาน เพราะตอนนี้สมองตื้อมาก บอกก่อนว่าเรา 2 คนกับแฟน ทำงานฟรีแลนซ์ เพื่อนก็เช่นกัน เลยอยากหาที่พักผ่อนแบบภูเขา แม่น้ำ อารมณ์ชิวๆแบบธรรมชาติ มีมุมให้ถ่ายรูปบ้าง เราเลือกไปวันธรรมดานะคะ เพราะเราไม่ชอบเที่ยววันหยุดเพราะคนเยอะ เราเลือกสถานที่ใกล้ๆแบบเดินทาง 2-3 ชั่วโมง จนมาจบข้อตกลงกันว่าเราจะไปเที่ยวเมืองกาญจน์ เราหาข้อมูลที่พักก่อนลำดับแรกเป็น ที่พักกาญจนบุรี ทับทิม สยาม ริเวอร์แคว รีสอร์ท กาญจนบุรี เป็นโรงแรมและรีสอร์ทริมแม่น้ำแคว สถานที่พักผ่อนดูสวยงามมากๆ ดูฟิลบรรยากาศในรีสอร์ทใช่เลย ที่พักอยู่ในระดับ 4+ เราไปช่วงปลายเดือนตุลาคม อากาศกำลังดี ช่วงปลายฝนต้นหนาววิวกำลังสวย ดูรีวิวทั้งในเพจและในเว็บก็ค่อนข้างดี สรุปเลือกเป็นบ้าน River Kwai Villa พักได้ 4 คนพอดี อยากได้ฟิลบรรยากาศแบบเต็มที่ อยู่ติดริมแม่น้ำเลย ที่รีสอร์ทก็แนะนำห้องนี้ ที่พักอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ห่างจากเมืองประมาณ 15 นาทีเองค่ะ

#เราเริ่มออกเดินทางประมาณ 9 โมง และแล้วก็มาถึงเมืองกาญจน์ช่วงประมาณ 11 โมงกว่าๆ ที่แรกที่เราเริ่มเดินทางไปเที่ยวคือ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว”
แน่นอนว่าสะพานมีเรื่องราวประวัติมากมาย ถ้ามากาญแล้วไม่มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึง 



มาวันธรรมดา คนไม่เยอะมาก ถ่ายรูปเลือกมุมได้ตามใจเลย ใช้เวลาถ่ายรูปสักพัก ก็แวะหาน้ำกินให้สดชื่นให้พอชุ่มคอ แถวสะพานมีร้านค้าขายของกิน ของที่ระลึกและเสื้อผ้าเยอะเลยค่ะ สามารถเลือกช้อปเป็นของฝากได้เลยค่ะ



#และเราก็เดินทางไปต่อที่ “พิพิธภัณฑ์รถไฟไทย-พม่า” ซึ่งอยู่ห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแควไม่ไกลมาก เดินทางประมาณ 10 นาทีก็ถึง จอดรถฝั่งตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ได้เลยค่ะ 

ในบัตรเขียนค่าเข้าชม 150 บาท แต่เสียจริงๆแค่ 100 บาทนะคะ
<img class="img-in-post in-tiny-editor">  
ด้านในมีเนื้อหาทางด้านประวัติศาสตร์ความเป็นมาเยอะเลยทีเดียว ถือได้ว่าเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ที่ดีของเมืองกาญจน์เลยค่ะ

เดินเข้าไปทีแรกตกใจ นึกว่าคนจริงๆ 

มีแบบจำลองช่วงที่มีการก่อสร้างสะพานหรือความทุกข์ทรมานของเชลยในช่วงนั้นๆด้วยค่ะ

มาเมืองกาญจน์ก็ต้องมาให้รู้ถึงประวัติความเป็นมาแบบนี้แหละ เดินวนไปชั้นบนจะมีร้านนั่งดื่ม ซึ่งตั๋วเข้าชมที่ซื้อสามารถรับกาแฟหรือชาได้ฟรี 1 แก้ว
หลังจากได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์กันแล้วก็จิบกาแฟนั่งชม “สุสานสัมพันธมิตรดอนรัก” ซึ่งเป็นที่ฝังศพของเชลยศึกในสงคราม


#หลังจากชมพิพิธภัณฑ์เสร็จสักประมาณบ่าย 3 โมง ก็ไปต่อที่ “ต้นจามจุรียักษ์” หรือเรียกอีกอย่างว่าต้นก้ามปู มีอายุกว่า 100 ปี 

มันใหญ่มากๆ ใหญ่จริงอะไรจริง เดินถ่ายรูปวนไปประมาณ 2 รอบ

หวานๆซัก 1 รูป

ใช้เวลาที่นี่ประมาณ 20 นาที เสร็จแล้วก็เดินทางไปที่รีสอร์ทใช้เวลาเดินทาง 10 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ 

#เมื่อมาถึงรีสอร์ทประมาณ เกือบๆ 16.00 น.ก็เข้าเช็คอินก่อนเลย 


ระหว่างเช็คอินก็มีพนักงานนำน้ำส้มมาเสิร์ฟให้หายเหนื่อย เปรี้ยวหวานกำลังดีสดชื่นขึ้นมาทันที เก็บภาพทุกจังหวะเลยทีเดียว

หน้าล็อบบี้ตกแต่งด้วยโทนต้นไม้สีเขียว มีโคมไฟบนเพดานใหญ่อลังการมาก น้องพนักงานแจ้งว่าเช้าพรุ่งนี้มีใส่บาตรตอนเช้าประมาณ 06.45 น. รีสอร์ทจัดชุดใส่บาตรให้ได้ ชุดละ 50 บาท แต่เราไม่เอา คิดไว้แล้วว่าคงตื่นไม่ทัน 5555
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยเราทั้งสองคนก็ไปห้องพักกันค่ะโดยมีน้องพนักงานสาวสวยมาส่งและกระเป๋าก็มีพนักงานเอาขึ้นรถสีเหลืองมาส่งถึงหน้าห้องเลย


ห้องกว้างใหญ่ดี ตกแต่งโทนสีฟ้าเขียวธรรมชาติ ดูแล้วสบายตา แถมมีเจ้าอุ๋งอุ๋งนอนรอบนเตียงด้วย ตกแต่งได้น่ารักมาก เหมาะกับการมาพักผ่อนหาแรงบันดาลใจในการทำงานจริงๆ


จากนั้นก็ถ่ายรูปเล่น รีสอร์ทติดริมแม่น้ำแควน้อยเลยค่ะ มุม 180 องศาเลย มีตาข่ายนอนถ่ายรูปชิลๆได้เลย ถ่ายรูปช่วงตะวันตกดินสวยมากๆค่ะ มาวันธรรมดาคนไม่ค่อยเยอะ รู้สึกส่วนตัวดีมากค่ะ



เรานั่งเล่นที่ตาข่ายกันรับลมรับพลังจากแสงแดดกันสักพัก เห็นสระว่ายน้ำแล้วอดใจไม่ไหว เลยไปว่ายน้ำเล่นกันดีกว่า

ก่อนลงน้ำก็มีรูปสวยๆ(รึเปล่า) มาฝากกันซะหน่อย


สระว่ายน้ำสวยมาก อ้อ ลืมบอกไป ที่นี่ให้ใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่นนะคะ สามารถเช่าชุดได้ที่หน้าฟร้อนเลยค่ะ

เล่นน้ำจนแสงเริ่มหมดก็ถึงเวลาทานอาหารเย็น หลังจากหมดแรงในการท่องเที่ยวเลยสั่งอาหารที่รีสอร์ททานเลย ขี้เกียจออกไปข้างนอกละค่ะ รู้สึกสะดวกสบายที่อยู่รีสอร์ท จะบอกว่ารสชาติอาหารที่นี่อร่อยต้องยกนิ้วให้เลยทีเดียวค่ะ มีอาหารให้เลือกทานได้หลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไทยๆและอาหารขึ้นชื่อของเมืองกาญจน์ค่ะ

จัดเมนูแนะนำเมี่ยงทับทิมสยามมาก่อนเลยค่ะ รสชาติดีมาก อารมณ์แบบกินเมี่ยงคำไทยเลย กลมกล่อมๆๆ

ต่อด้วย ไก่ย่างนมสด ไก่นุ่มๆๆละมุนลิ้นมาก

ต่อมาเป็น ไก่ทอดเบรกแตก ไก่แห้งๆ ทอดกรอบๆ จิ้มกับน้ำจิ้มไก่เคี้ยวเพลินสุดๆ
และสุดท้ายเป็น สปาร์เก็ตตี้คาโบนาร่า รสชาติอร่อยเหมือนในเซเว่นเลย แต่เบคอนอร่อยกว่า ก็ถือว่าดีเลยทีเดียว
พอหนังท้องอิ่ม ร่างกายก็ถามหาเตียงนอน พอทานเสร็จก็เข้าห้องพักผ่อนเอาแรงไว้เที่ยวต่อพรุ่งนี้เลยค่ะ

เช้าวันต่อมาหลังจากตื่นนอนก็มาที่ห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้า อ้อ ลืมบอกไปเรามาวันธรรมดาถ้าคนไม่เยอะจะไม่ได้เป็นบุฟเฟ่ต์แต่จะมีให้เลือกเมนูตอนเช็คอิน แต่ก็ถือว่าจัดเต็มเลยทีเดียว ไม่อิ่มสามารถเพิ่มได้ ห้องอาหารมีทั้งด้านในห้องแอร์และด้านนอกเราก็เลือกนั่งรับลมยามเช้าด้านนอกไปเลย 

อาหารมีหลากหลายอร่อยหลายอย่างเลยค่ะ เรียกว่าอิ่มอร่อยกันเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปยามเช้าต่ออีกนิดหน่อย และเช็คเอาท์ประมาณ 09.00 น.โมงนิดๆ 
#ละเราก็ออกเดินทางไปที่ “วัดถ้ำพุหว้า” เป็นวัดป่าท่ามกลางขุนเขา สร้างได้สวยงามเลยทีเดียว 

ภายในวัดมีหินงอกหินย้อยสวยงามตามธรรมชาติ อากาศภายในถ้ำเย็นสบายมาก 

มีพระประจำวันเกิดให้ไหว้ขอพรด้วย ในถ้ำอากาศเย็นสบาย เงียบสงบ เหมาะแก่การมาขอพร ขอสิ่งดีๆก่อนสิ้นปี

หลังจากนั้นเราก็เดินทางไป “วัดถ้ำเสือ” วัดชื่อดังของเมืองกาญจน์เลยค่ะ แต่ๆๆๆพอมาถึงรถรางที่พาขึ้นไปด้านบนจอดซ่อมบำรุงอยู่ เรากับเพื่อนเลยตัดสินใจไม่ขึ้นไปด้านบน เพราะบันไดชันมาก กลัวเป็นลม เลยได้แต่ทำบุญโลงศพแทนค่ะ ไว้ครั้งหน้ามีโอกาสจะมาใหม่ค่ะ


จากนั้นก็ไปที่ “มีนาคาเฟ่” อยู่ไม่ไกลจากวัดถ้ำเสือเลย มาถึงประมาณ 15.30 น. แดดยังค่อนข้างแรง แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดเราได้ ถึงแดดจ้า แต่ลมก็แรงมากเช่นกัน เลยไม่รู้สึกร้อนเท่าไหร่



มีมุมถ่ายรูปหลายมุมเลยค่ะ แต่เก็บรูปมาได้ประมาณนี้ แดดร้อนและคนค่อนข้างเยอะเลยค่ะ


สั่งชาเขียวเย็นๆดื่มซะหน่อย ก่อนเดินทางกลับ

จากนั้นก็เดินทางกลับเลยค่ะ รู้สึกทริปนี้จะได้รูปสวยๆมาเยอะเลย เป็นยังไงบ้างคะ กาญจนบุรีก็มีของดีอยู่เยอะเลย แค่ได้ออกมาเที่ยวบ้าง ก็ทำให้ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ บางทีไอเดียดีๆก็มาจากประสบการณ์ที่เราเจอระหว่างการเดินทางนี่แหละ พึ่งรีวิวครั้งแรก มีอะไรผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ ไว้ทริปหน้าไปเที่ยวไหนจะมารีวิวให้ดูอีกนะคะ

เพื่อนๆคนไหนเคยไปที่ไหน หรือไปพักที่ไหนกันบ้าง ก็มาแชร์กันได้นะคะ