เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่แสนเศร้าสำหรับหนัง Hollywood ในปีนี้ซึ่งแตกต่างจากปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ภาพยนตร์เรื่องแล้วเรื่องเล่าต่างพากันล้มเหลวขาดทุนย่อยยับ บางเรื่องฟอร์มดีฟอร์มมใหญ่แต่ทำได้เพียงเท่าทุนเท่านั้น บางเรื่องถึงกับอาจทำให้ปิดตำนานของแฟรนไชส์ไปเลยก็เป็นได้
กำไร
Joker แต่ท่ามกลางความล้มเหลวเหล่านั้นก็ยังมีเรื่องน่ายินดีคือ Joker ภาพยนตร์ดราม่าเรต R สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นหนังเรต R เรื่องแรกที่ทำรายได้ทะลุพันล้านเหรียญ โดย Joker มีทุนสร้างเพียง 62 ล้านแต่ทำรายได้ไปจนถึงขณะนี้ 1,017 ล้านแล้ว รวมทั้งไม่ได้เข้าฉายในประเทศจีนอีกต่างหาก ทำให้ WB นั่งฉีกยิ้มกว้าไม่น้อยกว่าวายร้ายแห่งเมือง Gotham เลย เพราะขณะนี้ Joker ก็ทำกำไรจากการฉายโรงไปแล้วคร่าวๆ (322x0.5)+(694x0.4)-62= 376 ล้าน ยังไม่รวมรายได้จากลิขสิทธิ์ทีวีและ Home Entertainment ต่าง ซึ่งเมื่อหักลบกับค่าประชาสัมพันธ์และบริหารจัดการแล้ว Joker จะมีกำไรเพิ่มมากขึ้นไปอีกเนื่องจาก Joker เน้นการโปรโมตแบบ Viral ตามสไตล์หนังทุนปานกลางไม่ได้โหมโฆษณาบ้าเลือดเหมือนหนังฟอร์มยักษ์ทั้งหลาย
It Chapter Two นอกจาก Joker แล้ว WB ยังได้ดีใจจาก It Chapter Two ที่แม้จะไปไม่ถึงระดับของภาคแรกที่คาดหวังไว้ แต่ด้วยทุนสร้างระดับกลาง 80 ล้านเหรียญ แต่รายได้ 466 ล้านก็ทำให้ It 2 มีกำไรจากการฉายโรงเข้าสตูดิโอได้ราว (211x0.5)+(255x0.4)-80 = 127 ล้าน คาดว่าสุดท้ายทั้ง Joker และ It Chapter Two จะทำกำไรให้ WB รวมกันได้กว่า 600 ล้าน มากพอจะชดเชยความล้มเหลวของหนัง Warner ช่วงต้นซัมเมอร์ได้อย่างดี
อีก 3 เรื่องที่ประสบความสำเร็จสำหรับฤดูใบไม้ร่วงปีนี้คือ
Downtown Abbey ทำรายได้ 184 ล้านจากทุน 20 ล้านแถมยังเหลือโปรแกรมเข้าฉายในอาร์เจนติน่า, รัสเซีย, สิงคโปร์, จีน และญี่ปุ่นอีกต่างหาก แล้วก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในบ้านของ Focus Features ไปเรียบร้อย อีกหนึ่งก็คือ
Hustlers จาก STX ที่ทำรายได้ 148 ล้านจากทุน 20 ล้านเหรียญ และยังเหลือโปรแกรมฉายในเกาหลีใต้, เยอรมัน, บราซิล, ฮ่องกง และญี่ปุ่นด้วย สุดท้ายคือ
The Addams Family ตระกูลนี้ผียังหลบที่กวาดรายได้ 168 ล้านจากทุน 40 ล้านให้กับ Universal และยังเหลือเข้าฉายในกลุ่มเบเนลักซ์, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย, ตุรกี, อินเดีย
เท่าทุน
Maleficent: Mistress of Evil พลิกกลับมาทำเงินคืนทุนได้หลังจากฉายมา 5 สุดสัปดาห์ โดยหนังภาคต่อทุนสร้าง 185 ล้านเรื่องนี้ทำเงินทั่วโลกไปแล้ว 459 ล้านเหรียญ กำไรเมื่อเทียบกับทุนสร้างแล้ว (106x0.5)+(305x0.4)+(48x0.25)-185 = 2 ล้านเหรียญ ยังมีเวลาโกยเงินอีก 3-5 วันก่อนที่ Frozen II จะมาแย่งตลาดหนังสำหรับครอบครัวไปจนหมด รวมทั้งการที่ฉายมาแล้วถึง 5 สุดสัปดาห์ทำให้โรงหนังพร้อมจะปล่อย Maleficent 2 ออกจากโปรแกรมฉายแล้ว ซึ่ง Disney น่าจะเข็ดกับหนังชุดนี้ไม่อยากไปลุ้นในภาคที่สามอีกต่อไป
Ford v Ferrari เปิดตัวได้สวยในบ้านที่ 31 ล้านแต่ไม่ถึงกับแรง รายได้ต่างประเทศขณะนี้ 21.4 ล้านรวมแล้ว 52.4 ล้าน คาดว่าน่าจะทำเงินรวมสุดท้ายที่ 220-240 ล้าน (ในบ้าน 100 ล้าน นอกบ้าน 120-140 ล้าน) แต่ด้วยทุนสร้างที่สูงพอสมควรราวร้อยล้านบวกกับการที่ Disney ค่อนข้างจะปล่อยปละละเลยหนังของ Fox ทำให้ FvF อาจทำได้เต็มที่แค่เท่าทุน
Last Christmas ด้วยทุนสร้างเพียง 30 ล้านภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเพลงฮิตของ WHAM มีศักยภาพที่จะทำกำไรมหาศาลได้ แต่จากการเปิดตัวต่ำกว่าคาดหมายในบ้าน และนอกบ้านที่ฉายไปแล้วก็ไม่ได้ฮิตมากมายอะไรทำให้ขณะนี้ Last Christmas ทำเงินไป 35.5 ล้านเหรียญ แต่หนังเรื่องนี้ยังมีโปรแกรมเข้าฉายอีกหลายประเทศทั้งฝรั่งเศส กลุ่มเบเนลักซ์ ยุโรปตะวันออก ลาตินอเมริกา และทั่วเอเชีย อาจทำให้สถานการณ์พลิกกลับจากเท่าทุนมาเป็นทำกำไรให้ Universal ราว 20-30 ล้านก็เป็นไปได้
Zombieland: Double Tap การกลับมารวมตัวกันของดาราจากภาคแรกที่แยกย้ายกันไปโด่งดังดูเหมือนเป็นไอเดียที่เจ๋ง แต่พอทำจริงแล้วมันกลับใช้ไม่ค่อยได้ผล หนังภาคต่อที่นำแสดงโดย Woody Harellson, Jesse Eisenberg และ Emma Stone ไม่ได้ทำเงินดีไปกว่าภาคแรกเท่าไหร่เลยเมื่อเทียบกับทุนสร้างที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า (42 ล้าน) โดยปัจจุบัน Double Tap ทำเงินไปแล้ว 111 ล้าน โชคดีที่หนังทำเงินพอใช้ได้ในบ้านจึงพอจะมีอะไรติดไม้ติดมือนิดหน่อย (70x0.5)+(41x0.4)-42 = 9 ล้าน ไม่รู้เหมือนกันว่า Sony จะใช้งบโฆษณาเกินกำไรจากค่าลิขสิทธิ์ทีวีและ Home Entertainment หรือเปล่า
ขาดทุน
รายชื่อหนังขาดทุนของฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ยาวเป็นหางว่าว
Terminator: Dark Fate น่าผิดหวังที่สุดสำหรับภาคล่าสุดของแฟรนไชส์คนเหล็กที่ได้ทั้งป๋าเจมส์มาอำนวยการสร้าง Tim Miller มือดีจาก Deadpool มากำกับ รวมทั้งอาร์โนลด์และ Linda Hamilton ต่างก็กลับมารับบทเดิม แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยอะไรกับแฟรนไชส์นี้ เพราะล่าสุดหนังเพิ่งทำเงินไปเพียง 233.7 ล้าน ยังต่ำกว่า X-Men: Dark Phoenix ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเสียอีก และด้วยทุนสร้างราว 185 ล้านก็เท่ากับนี่อาจจะเป็นการฝังแฟรนไชส์คนเหล็กไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้ เพราะตอนนี้ขาดทุนอยู่ร่วม (57x0.5)+(132x0.4)+(45x0.25)-185 = -92.5 ล้านเหรียญ ทำเอาสี่สหาย Paramount, Fox, Skydance และ Tencent กระอักเลือดไปตามๆกัน
Charlie’s Angels ผมเคยคิดว่า Charlie’s Angels มีโอกาสที่จะไม่เจ๊งเพราะทุนสร้างที่ต่ำเพียง 50 ล้าน แต่เมื่อนางฟ้าชาลีเปิดตัวในบ้านด้วยรายได้ที่ต้องเรียกว่าน่าสมเพชคือแค่ 8 ล้าน ทำให้เหล่านางฟ้ามีงานหนักที่ตลาดต่างประเทศเพราะหากรายได้ในบ้านหยุดแค่ 25 ล้านเหรียญ จีนที่ Maoyan ประเมินไว้ที่ 13 ล้าน นั่นเท่ากับต้องทำรายได้ประเทศที่เหลือให้ได้ 85 ล้านเหรียญจึงจะคืนทุนซึ่งตอนนี้เพิ่งจะได้เพียง 11.6 ล้านเท่านั้น แต่ยังดีที่มีคิวรอฉายอีกหลายตลาด ทั้ง UK, สเปน, ฝรั่งเศส, เม็กซิโก, เยอรมัน, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ให้ Sony ได้ลุ้นต่อ
Midway หนังสงครามทุนร้อยล้านกับการกลับมาของ Roland Emmerich ที่ดูจะพา Lionsgate ดิ่งทะเลไปพร้อมกัน โดยปัจจุบันทำเงินไปเพียง 73.3 ล้านจากทุนสร้าง 100 ล้านและเหลือตลาดให้เข้าฉายอีกแค่ไม่กี่ประเทศแล้ว
Doctor Sleep ทำท่าจะซึมยาวตามชื่อหนังเพราะจนถึงขณะนี้ภาคต่อของ The Shining เพิ่งจะทำเงินไปเพียง 53.8 ล้านจากทุนสร้าง 50 ล้าน และเหลือโปรแกรมที่จะเข้าเพียงเยอรมัน ตุรกี และญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่ง Deadline คาดหมายว่า Doctor Sleep จะพา WB ขาดทุนราว 20-30 ล้าน
Ad Astra ล่องลอยพา Fox และ Disney สู่ความเจ๊งกะบ๊ง ซึ่งหนังทุน 90 ล้านเรื่องนี้ทำเงินไปเพียง 127.1 ล้าน ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ Disney ปล่อยปละละเลยหนังของ Fox เรื่องนี้ชนิดที่ต้องเรียกว่าเททิ้งลงถังขยะเลยก็ว่าได้ มีอย่างที่ไหนเอาหนังทุนเกือบร้อยล้านมาฉายเดือนกันยายนซึ่งเงียบเหงาสุดๆ
Rambo: Last Blood คงปิดตำนานแรมโบ้ลงได้เสียทีจากรายได้ 87 ล้านทั้งที่ใช้ทุนสร้าง 50 ล้าน ซึ่ง Stallone คงไม่มีอะไรคาใจอีกต่อไปกับบทบาทนี้ ส่วน Lionsgate ก็ยังพบฝันร้ายและใช้กำไรที่ได้จาก John Wick หมดไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
Gemini Man อีกหนึ่งความบรรลัยจักรที่สุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ Gemini Man ทำรายได้ไปเพียง 170 ล้านจากทุนสร้าง 140 ล้าน ซึ่งพา Paramount (อีกแล้ว) ขาดทุนไปถึง (48x0.5)+(89x0.4)+(33x0.25)-140 = -72 ล้าน แถมดึงทั้งโปรดิวเซอร์ Jerry Bruckheimer ผู้กำกับ Ang Lee, มือเขียนบท David Benioff จาก GoT รวมทั้ง Will Smith ดารานำเสียรังวัดไปด้วย
ซึ่งจากรายชื่อหนังฤดูใบไม้ร่วงที่เหลือที่จะเข้าฉายนั้นคงมีเพียง Frozen II เพียงเรื่องเดียวที่มีพลังพอจะทำเงินถล่มทลายได้ ซึ่งก็ต้องรอดูกันว่าตลาดหนังทั่วโลกที่ขาดแคลนหนังฮิตมานานตั้งแต่ Joker เข้าฉายนั้นจะให้การต้อนรับ Frozen ขนาดไหน และความกระหายของตลาดนั้นจะส่งผลทางบวกต่อ Frozen II ยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่
Joker พันล้าน Maleficent คืนทุน FvF เครื่องไม่แรง ปิดตำนานคนเหล็ก,นางฟ้าชาลี Midway ร่วง Doctor Sleep สลบ
กำไร
Joker แต่ท่ามกลางความล้มเหลวเหล่านั้นก็ยังมีเรื่องน่ายินดีคือ Joker ภาพยนตร์ดราม่าเรต R สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นหนังเรต R เรื่องแรกที่ทำรายได้ทะลุพันล้านเหรียญ โดย Joker มีทุนสร้างเพียง 62 ล้านแต่ทำรายได้ไปจนถึงขณะนี้ 1,017 ล้านแล้ว รวมทั้งไม่ได้เข้าฉายในประเทศจีนอีกต่างหาก ทำให้ WB นั่งฉีกยิ้มกว้าไม่น้อยกว่าวายร้ายแห่งเมือง Gotham เลย เพราะขณะนี้ Joker ก็ทำกำไรจากการฉายโรงไปแล้วคร่าวๆ (322x0.5)+(694x0.4)-62= 376 ล้าน ยังไม่รวมรายได้จากลิขสิทธิ์ทีวีและ Home Entertainment ต่าง ซึ่งเมื่อหักลบกับค่าประชาสัมพันธ์และบริหารจัดการแล้ว Joker จะมีกำไรเพิ่มมากขึ้นไปอีกเนื่องจาก Joker เน้นการโปรโมตแบบ Viral ตามสไตล์หนังทุนปานกลางไม่ได้โหมโฆษณาบ้าเลือดเหมือนหนังฟอร์มยักษ์ทั้งหลาย
เท่าทุน
Maleficent: Mistress of Evil พลิกกลับมาทำเงินคืนทุนได้หลังจากฉายมา 5 สุดสัปดาห์ โดยหนังภาคต่อทุนสร้าง 185 ล้านเรื่องนี้ทำเงินทั่วโลกไปแล้ว 459 ล้านเหรียญ กำไรเมื่อเทียบกับทุนสร้างแล้ว (106x0.5)+(305x0.4)+(48x0.25)-185 = 2 ล้านเหรียญ ยังมีเวลาโกยเงินอีก 3-5 วันก่อนที่ Frozen II จะมาแย่งตลาดหนังสำหรับครอบครัวไปจนหมด รวมทั้งการที่ฉายมาแล้วถึง 5 สุดสัปดาห์ทำให้โรงหนังพร้อมจะปล่อย Maleficent 2 ออกจากโปรแกรมฉายแล้ว ซึ่ง Disney น่าจะเข็ดกับหนังชุดนี้ไม่อยากไปลุ้นในภาคที่สามอีกต่อไป
Ford v Ferrari เปิดตัวได้สวยในบ้านที่ 31 ล้านแต่ไม่ถึงกับแรง รายได้ต่างประเทศขณะนี้ 21.4 ล้านรวมแล้ว 52.4 ล้าน คาดว่าน่าจะทำเงินรวมสุดท้ายที่ 220-240 ล้าน (ในบ้าน 100 ล้าน นอกบ้าน 120-140 ล้าน) แต่ด้วยทุนสร้างที่สูงพอสมควรราวร้อยล้านบวกกับการที่ Disney ค่อนข้างจะปล่อยปละละเลยหนังของ Fox ทำให้ FvF อาจทำได้เต็มที่แค่เท่าทุน
Last Christmas ด้วยทุนสร้างเพียง 30 ล้านภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเพลงฮิตของ WHAM มีศักยภาพที่จะทำกำไรมหาศาลได้ แต่จากการเปิดตัวต่ำกว่าคาดหมายในบ้าน และนอกบ้านที่ฉายไปแล้วก็ไม่ได้ฮิตมากมายอะไรทำให้ขณะนี้ Last Christmas ทำเงินไป 35.5 ล้านเหรียญ แต่หนังเรื่องนี้ยังมีโปรแกรมเข้าฉายอีกหลายประเทศทั้งฝรั่งเศส กลุ่มเบเนลักซ์ ยุโรปตะวันออก ลาตินอเมริกา และทั่วเอเชีย อาจทำให้สถานการณ์พลิกกลับจากเท่าทุนมาเป็นทำกำไรให้ Universal ราว 20-30 ล้านก็เป็นไปได้
Zombieland: Double Tap การกลับมารวมตัวกันของดาราจากภาคแรกที่แยกย้ายกันไปโด่งดังดูเหมือนเป็นไอเดียที่เจ๋ง แต่พอทำจริงแล้วมันกลับใช้ไม่ค่อยได้ผล หนังภาคต่อที่นำแสดงโดย Woody Harellson, Jesse Eisenberg และ Emma Stone ไม่ได้ทำเงินดีไปกว่าภาคแรกเท่าไหร่เลยเมื่อเทียบกับทุนสร้างที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า (42 ล้าน) โดยปัจจุบัน Double Tap ทำเงินไปแล้ว 111 ล้าน โชคดีที่หนังทำเงินพอใช้ได้ในบ้านจึงพอจะมีอะไรติดไม้ติดมือนิดหน่อย (70x0.5)+(41x0.4)-42 = 9 ล้าน ไม่รู้เหมือนกันว่า Sony จะใช้งบโฆษณาเกินกำไรจากค่าลิขสิทธิ์ทีวีและ Home Entertainment หรือเปล่า
ขาดทุน
รายชื่อหนังขาดทุนของฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ยาวเป็นหางว่าว
Terminator: Dark Fate น่าผิดหวังที่สุดสำหรับภาคล่าสุดของแฟรนไชส์คนเหล็กที่ได้ทั้งป๋าเจมส์มาอำนวยการสร้าง Tim Miller มือดีจาก Deadpool มากำกับ รวมทั้งอาร์โนลด์และ Linda Hamilton ต่างก็กลับมารับบทเดิม แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยอะไรกับแฟรนไชส์นี้ เพราะล่าสุดหนังเพิ่งทำเงินไปเพียง 233.7 ล้าน ยังต่ำกว่า X-Men: Dark Phoenix ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเสียอีก และด้วยทุนสร้างราว 185 ล้านก็เท่ากับนี่อาจจะเป็นการฝังแฟรนไชส์คนเหล็กไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้ เพราะตอนนี้ขาดทุนอยู่ร่วม (57x0.5)+(132x0.4)+(45x0.25)-185 = -92.5 ล้านเหรียญ ทำเอาสี่สหาย Paramount, Fox, Skydance และ Tencent กระอักเลือดไปตามๆกัน
Charlie’s Angels ผมเคยคิดว่า Charlie’s Angels มีโอกาสที่จะไม่เจ๊งเพราะทุนสร้างที่ต่ำเพียง 50 ล้าน แต่เมื่อนางฟ้าชาลีเปิดตัวในบ้านด้วยรายได้ที่ต้องเรียกว่าน่าสมเพชคือแค่ 8 ล้าน ทำให้เหล่านางฟ้ามีงานหนักที่ตลาดต่างประเทศเพราะหากรายได้ในบ้านหยุดแค่ 25 ล้านเหรียญ จีนที่ Maoyan ประเมินไว้ที่ 13 ล้าน นั่นเท่ากับต้องทำรายได้ประเทศที่เหลือให้ได้ 85 ล้านเหรียญจึงจะคืนทุนซึ่งตอนนี้เพิ่งจะได้เพียง 11.6 ล้านเท่านั้น แต่ยังดีที่มีคิวรอฉายอีกหลายตลาด ทั้ง UK, สเปน, ฝรั่งเศส, เม็กซิโก, เยอรมัน, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ให้ Sony ได้ลุ้นต่อ
Midway หนังสงครามทุนร้อยล้านกับการกลับมาของ Roland Emmerich ที่ดูจะพา Lionsgate ดิ่งทะเลไปพร้อมกัน โดยปัจจุบันทำเงินไปเพียง 73.3 ล้านจากทุนสร้าง 100 ล้านและเหลือตลาดให้เข้าฉายอีกแค่ไม่กี่ประเทศแล้ว
Doctor Sleep ทำท่าจะซึมยาวตามชื่อหนังเพราะจนถึงขณะนี้ภาคต่อของ The Shining เพิ่งจะทำเงินไปเพียง 53.8 ล้านจากทุนสร้าง 50 ล้าน และเหลือโปรแกรมที่จะเข้าเพียงเยอรมัน ตุรกี และญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่ง Deadline คาดหมายว่า Doctor Sleep จะพา WB ขาดทุนราว 20-30 ล้าน
Ad Astra ล่องลอยพา Fox และ Disney สู่ความเจ๊งกะบ๊ง ซึ่งหนังทุน 90 ล้านเรื่องนี้ทำเงินไปเพียง 127.1 ล้าน ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ Disney ปล่อยปละละเลยหนังของ Fox เรื่องนี้ชนิดที่ต้องเรียกว่าเททิ้งลงถังขยะเลยก็ว่าได้ มีอย่างที่ไหนเอาหนังทุนเกือบร้อยล้านมาฉายเดือนกันยายนซึ่งเงียบเหงาสุดๆ
Rambo: Last Blood คงปิดตำนานแรมโบ้ลงได้เสียทีจากรายได้ 87 ล้านทั้งที่ใช้ทุนสร้าง 50 ล้าน ซึ่ง Stallone คงไม่มีอะไรคาใจอีกต่อไปกับบทบาทนี้ ส่วน Lionsgate ก็ยังพบฝันร้ายและใช้กำไรที่ได้จาก John Wick หมดไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
Gemini Man อีกหนึ่งความบรรลัยจักรที่สุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ Gemini Man ทำรายได้ไปเพียง 170 ล้านจากทุนสร้าง 140 ล้าน ซึ่งพา Paramount (อีกแล้ว) ขาดทุนไปถึง (48x0.5)+(89x0.4)+(33x0.25)-140 = -72 ล้าน แถมดึงทั้งโปรดิวเซอร์ Jerry Bruckheimer ผู้กำกับ Ang Lee, มือเขียนบท David Benioff จาก GoT รวมทั้ง Will Smith ดารานำเสียรังวัดไปด้วย
ซึ่งจากรายชื่อหนังฤดูใบไม้ร่วงที่เหลือที่จะเข้าฉายนั้นคงมีเพียง Frozen II เพียงเรื่องเดียวที่มีพลังพอจะทำเงินถล่มทลายได้ ซึ่งก็ต้องรอดูกันว่าตลาดหนังทั่วโลกที่ขาดแคลนหนังฮิตมานานตั้งแต่ Joker เข้าฉายนั้นจะให้การต้อนรับ Frozen ขนาดไหน และความกระหายของตลาดนั้นจะส่งผลทางบวกต่อ Frozen II ยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่