ต้องบอกก่อนว่าทริปในครั้งนี้เป็นทริปที่เร่งรีบมาก จองตั๋วก่อนบิน 1 สัปดาห์ แลกเงินก่อน 1 วัน และมีสอบก่อนบิน
แต่ทริปนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เรามาดูกันเลยว่าทริปนี้มีอะไรบ้าง
การเตรียมตัว
เริ่มโดยการจองตั๋วจากสายการบิน Air Asia แบบไป-กลับ รวมที่พักเป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ในราคา 3010 บาท พร้อมกับกระเป๋าโหลดน้ำหนัก 20 kg 1ใบ
หลังจากได้ตั๋วแล้วเราก็ไปแลกเงินกัน เราแลกกับ superich ที่สาขาเซนทรัลเวิล์ด ด้วยเงิน 10,730 บาท ซึ่งได้กลับมาเป็นเงิน 2,900,000 กีบ (แลกเงินวันที่ 04/10/62)
นอกจากตั๋วกับเงินติดตัวแล้วก็อย่าลืม พาสปอตด้วยหล่ะ
วันที่ 1 (05/10/62) ขึ้นบิน ลงลาว หลงทาง
หลังจากสมาชิก 3 ใน 4 คนของเราสอบเสร็จ ก็เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ไปยังสนามบินดอนเมืองเพื่อขึ้นเครื่องในเวลา 13.50น. ด้วยที่สภาพอากาศที่มีฝนตกทำให้กว่าจะไปถึงสนามบินก็กินเวลาไปกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง
หลังจากถึงสนามบินทันแบบฉิวเฉียด ก็ทำการโหลดกระเป๋าแล้วก็เข้าไปรอที่เกตเพื่อรอขึ้นเครื่อง (เครื่องในรอบนี้ใช้รถพาไปขึ้นรถ)
อยู่บนเครื่องแล้วหิวก็เลยจัดซะหน่อย
เพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติหลวงพระบาง
สนามบินนานาชาติหลวงพระบาง เป็นสนามบินแห่งเดียวในหลวงพระบาง เป็นสนามบินที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาและป่าไม้
หลังจากผ่าน ตม. เข้ามาได้เราก็พุ่งตรงไปจัดการกับซิมให้เรียบร้อย (เราจะขาดอินเตอร์เน็ตและโลกโซเชียลไม่ได้)
โดยเราได้เลือกใช้ซิมของ Beeline ความเร็ว Ulimited 5 วัน ซึ่งเราจ่ายเป็นเงินบาทไปในราคาคนละ 120 บาท
หลังจากจัดการเรื่องซิมเรียบร้อยแล้ว เราไปหารถเพื่อไปยังที่พักที่ได้จองไว้
ซึ่งทางเข้าสนามบินนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวหลายอย่าง ทั้ง ทริปทัวร์ ที่แลกเงิน รถรับส่ง หรือแม้แต่รถเช่า
ในที่สุดเราก็ได้รถเพื่อไปยังโรงแรม ในราคา 80,000 กีบ ตกคนละ 20,000 กีบ (แต่ถ้ามี 3 คนจะเหลือแค่ 50,000 กีบ)
โดยรถเราได้นั้นเป็นรถตู้เล็กบรรจุคนได้ประมาณ 6 - 7 คน ซึ่งในรถเรามีทั้งหมด 6 คน (มีชาวต่างชาติไปกับเราด้วยอีก 2 คน แต่พักคนละที่นะ)
เป็นเวลาไม่นานเราก็ถึงที่พักของเราแล้ว " มะโนเกสเฮ้าส์ ( MANO GUESTHOUSE) "
เมื่อถึงที่พักเราก็รีบเข้าไปเช็คอิน แต่แล้วมันก็เกิดปัญหาขึ้น เมื่อห้องที่เราจองไม่สามารถเข้าพักได้เพราะน้ำแอร์รั่ว
ทางที่พักจึงเสนอให้เราแบ่งเป็น 2 ห้อง แล้วแถมอาหารเช้าให้ด้วย โดยที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม (ข้อเสนอดีขนาดนี้ไม่รับไม่ได้แล้ว)
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องพักเพื่อเก็บสัมภาระ
หลักจากเก็บของกันเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าไปพระธาตุพูสีเพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดิน แต่ด้วยความต่างบ้านต่างเมืองทำให้เราใช้เวลาในการเดินหาทางอยู่นาน (แม้ว่าจะใช้ google map แล้ว) เราเดินวนไปวนมาอยู่เกือบชั่วโมงจนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจย้ายโปรแกมพระอาทิตย์ตกไปวันอื่น แล้วไปหาอะไรกินที่ตลาดมืดแทน
หลังจากหลงกันสักพัก เราก็มาถึงตลาดมืดในที่สุด
ตลาดมืด หรือจะเรียกว่าเป็นถนนคนเดินก็ว่าได้ ถือเป็นแหล่งช็อปปิ้งแหล่งใหญ่ของนักท่องเที่ยวเนื่องจากจะมีพ่อค้าแม่ค้าชาวหลวงพระบาง นำสินค้าของตนมาวางจำหน่าย มีสินค้าพื้นเมืองขายมากมาย เสื้อยืดสกรีนภาษาลาว, เครื่องเงิน, ผ้าทอ ถูกอกถูกใจก็ซื้อติดไม้ติดมือกันได้เลย
หลักจากเดินดูของในตลาดมืดสักพักก็ได้เวลากินข้าว แล้วซึ่งในตลาดมืดจะมีซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ซึ่งซอยนี้จะเ๖็มไปด้วยร้านอาหารท้องถิ่นมากมาย
จากร้านมากมายในซอยเราก็ได้เลือกมาร้านหนึ่ง ร้านนี้ขายของย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปลา ไก่ มะเขือ และอีกหลายอย่าง รวมถึงพวกส้มตำ ลาบ ก้อยด้วย
ซึ่งราคาเฉลี่ย จะอยู่ที่ไม้ละประมาณ 10,000 - 30,000 กีบ ขึ้นอยู่กับของที่เราสั่ง
โดยมื้อนี้เราเสียไปประมาณ 170,000 กีบ ( ประมาณ 580 บาท)
หลังจากจัดการอาหารที่สั่งมาจนหมด เราก็เดินทางกลับที่พัก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้
วันที่ 2 (06/10/62) ควายนม บิกินี อาทิตย์ตก
แสงแดดของเช้าวันใหม่พร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกที่เรียกเราออกจากความฝัน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางในวันที่ 2
ซึ่งในเช้านี้เราได้ใช้บริการอาหารเช้าของที่พัก โดยที่เมนูให้เลือก 9 เมนู เสริฟพร้อม ผลไม้สด น้ำผลไม้ และ ชา/กาแฟ
เมื่อจัดการส่งอาหารเช้าของที่พักลงไปในกระเพาะที่ว่างปล่าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกจากที่พักเพื่อหารถไปยังน้ำตกตาดกวางสี และฟาร์มควายนม
เดินออกจากที่พักได้ไม่นาน ก็ได้เจอกับรถเช่าคนนึงจอดอยู่ เลยเข้าไปสอบถามต่อรองราคาจนได้มาในราคา 250,000 กีบ (ประมาณ 850 บาท)
หมายเหตุ : รถเช่าซึ่งเราสามารถเช่าเหมาได้ทั้งวัน โดยตกลงราคากับสถานที่ที่จะไปนั้นจะขึ้นอยู่กับทั้ง 2 ฝ่าย
หลังจากได้คุยกับคุณลุงคนขับรถ ได้เรื่องมาว่าเราควรไปฟาร์มควายนมก่อนเนื่องจากมันเป็นทางผ่าน เราจึงสรุปว่าจะไปฟาร์มควายนมก่อน
แล้วในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง " LAOS BUFFALO DAIRY " โดยเราใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยที่ฟาร์มคิดค่าเข้าชม 2 เรทราคาคือ 1. 50,000 กีบ/คน ในราคา และ 2. 100,000 กีบ/คน ซึ่งในราคานี้จะได้ลองทำชีสจากนมควายด้วย
โดยในฟาร์มมีกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งชมการเลี้ยงหมูหลุม ชมคอกกระต่าย รีดนมควาย อาบน้ำควาย และให้อาหารควาย
เมื่อใช้พลังจนหมดจากการเดินชมฟาร์ม และทำกิจกรรมต่างๆ เราก็ต้องเติมพลังซะหน่อย ซึ่งที่ฟาร์มได้มีการทำอาหารและขนมที่ได้จากนมควายขายด้วย พวกเราก็จัดซะหน่อย
หลังจากเติมพลังกันเสร็จแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังเป้าหมายหลักของเรา น้ำตกตาดกวางสี โดยระยะจากฟาร์มถึงน้ำตกนั้นเป็นระยะทางที่ไม่ไกลมาก เราใช้เวลาเดินทางเพียง 20 นาที ก็ถึงน้ำตกตาดกวางสีเป็นที่เรียบร้อย
น้ำตกตาดกวางสี มีจำนวนชั้นทั้งหมด 4 ชั้น มีความสูงโดยรวมประมาณ 75 เมตร เป็นน้ำตกหินปูน น้ำในน้ำตกจึงมีสีเขียวมรกต ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง ในบางชั้นจะพบเห็นนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ (ซึ่งฝรั่งเยอะมาก แถมหุ่นดีด้วย) และยังมีน้อนหมีจากศูนย์ช่วยเหลือหมีคอยต้อนรับที่ทางเข้าอีกด้วย โดยขาเข้าน้ำตกอยู่ที่คนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 70 บาท)
หลังจากเดินชมน้ำตกจนหนำใจกันแล้ว ก็ถึงเวลาหาอะไรกินกันแล้ว โดยเราได้เลือกร้านอาหารร้านหนึ่งบริเวณทางเข้าของน้ำตก
โดยมื้อนี้เราจ่ายไปทั้งหมด 131,000 กีบ (ประมาณ 450 บาท) ซึ่งน่าแปลกใจที่ไม่มีการชาร์จราคาเพิ่มเหมือนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง
เมื่อจัดการอาหารเรียบร้อยแล้ว เราตัดสินใจเดินทางกลับเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตก ที่เราพลาดไปในวันแรก
ผ่านไปเพียง 1 ชั่วโมงเราก็กลับมาถึงตัวเมืองแล้วโดยเราได้บอกให้คุณลุงคนขับไปส่งเราที่ทางขึ้นพระธาตุพูสีเลย (กลัวหลงอีก) คุณลุงก็ได้มาส่งเราที่ทางขึ้นฝั่งพิพิธพัณฑ์แห่งชาติ ซึ่งก่อนไปคุณลุงได้เสนอว่าจะมารับเราไปเที่ยวต่อในวัดถัดไป ซึ่งเราก็ตอบตกลง (โดยไม่ได้ตกลงราคาก่อน พลาดมาก)
วัดพระธาตุพูสี อีกชื่อหนึ่งคือ พูสวง หรือ พูซวง ตั้งตระหง่านอยู่บนเขากลางเมืองหลวงพระบาง การได้เดินขึ้นไปบนยอดภูสี ทำให้เห็นเมืองหลวงพระบางได้โดยรอบ และเห็นสายน้ำโขงยาวไปจนสุดสายตา เป็นที่กล่าวกันว่ามาหลวงพระบาง ถ้าไม่ได้ขึ้นพูสี ก็เท่ากับว่าไม่ได้มาถึงหลวงพระบาง ซึ่งที่นี่ยังเป็นที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมากๆอีกด้วย จะเห็นได้จากที่มีชาวต่างชาติมากมายมารอชมพระอาทิตย์ตกกันอย่างหนาแน่น
โดยค่าเข้าพระธาตุภูสีอยู่ที่ 20,000 กีบ (ประมาณ 70 บาท)
หลังจากรอชมพระอาทิตย์ตกจนลับขอบฟ้าไปแล้ว เราก็เดินลงมายังตลาดมืดเพื่อหาอะไรกินกันอีกครั้ง โดยในมื้อนี้เราได้เลือกร้านสุก้ (หม้อรวม) ร้านหนึ่งในตลาด โดยวิธีสั่งร้านนี้คือให้เราคีบของที่ต้องการใส่ตะกล้าแล้วส่งให้กับแม่ค้า แล้วแม่ค้าจะทำการปรุงแล้วมาเสริฟ โดยราคาในแต่ละอย่างจะแตกต่างกัน
พวกเรากินกัน 2 คนต่อ 1 หม้อ คีบกันเต็มที่เลย แต่จ่ายไปแค่ 112,000 กีบ เท่านั้นเอง (ประมาณ 400 บาท)
หลังจากทานเสร็จ เราก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมพร้อมสำหรับการตักบาตรในตอนเช้าของวันถัดไป
เดินชิล กินลม ชมธรรมชาติ ณ หลวงพระบาง,ลาว
แต่ทริปนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เรามาดูกันเลยว่าทริปนี้มีอะไรบ้าง
การเตรียมตัว
เริ่มโดยการจองตั๋วจากสายการบิน Air Asia แบบไป-กลับ รวมที่พักเป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ในราคา 3010 บาท พร้อมกับกระเป๋าโหลดน้ำหนัก 20 kg 1ใบ
หลังจากได้ตั๋วแล้วเราก็ไปแลกเงินกัน เราแลกกับ superich ที่สาขาเซนทรัลเวิล์ด ด้วยเงิน 10,730 บาท ซึ่งได้กลับมาเป็นเงิน 2,900,000 กีบ (แลกเงินวันที่ 04/10/62)
นอกจากตั๋วกับเงินติดตัวแล้วก็อย่าลืม พาสปอตด้วยหล่ะ
วันที่ 1 (05/10/62) ขึ้นบิน ลงลาว หลงทาง
หลังจากสมาชิก 3 ใน 4 คนของเราสอบเสร็จ ก็เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ไปยังสนามบินดอนเมืองเพื่อขึ้นเครื่องในเวลา 13.50น. ด้วยที่สภาพอากาศที่มีฝนตกทำให้กว่าจะไปถึงสนามบินก็กินเวลาไปกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง
หลังจากถึงสนามบินทันแบบฉิวเฉียด ก็ทำการโหลดกระเป๋าแล้วก็เข้าไปรอที่เกตเพื่อรอขึ้นเครื่อง (เครื่องในรอบนี้ใช้รถพาไปขึ้นรถ)
อยู่บนเครื่องแล้วหิวก็เลยจัดซะหน่อย
เพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติหลวงพระบาง
สนามบินนานาชาติหลวงพระบาง เป็นสนามบินแห่งเดียวในหลวงพระบาง เป็นสนามบินที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาและป่าไม้
หลังจากผ่าน ตม. เข้ามาได้เราก็พุ่งตรงไปจัดการกับซิมให้เรียบร้อย (เราจะขาดอินเตอร์เน็ตและโลกโซเชียลไม่ได้)
โดยเราได้เลือกใช้ซิมของ Beeline ความเร็ว Ulimited 5 วัน ซึ่งเราจ่ายเป็นเงินบาทไปในราคาคนละ 120 บาท
หลังจากจัดการเรื่องซิมเรียบร้อยแล้ว เราไปหารถเพื่อไปยังที่พักที่ได้จองไว้
ซึ่งทางเข้าสนามบินนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวหลายอย่าง ทั้ง ทริปทัวร์ ที่แลกเงิน รถรับส่ง หรือแม้แต่รถเช่า
ในที่สุดเราก็ได้รถเพื่อไปยังโรงแรม ในราคา 80,000 กีบ ตกคนละ 20,000 กีบ (แต่ถ้ามี 3 คนจะเหลือแค่ 50,000 กีบ)
โดยรถเราได้นั้นเป็นรถตู้เล็กบรรจุคนได้ประมาณ 6 - 7 คน ซึ่งในรถเรามีทั้งหมด 6 คน (มีชาวต่างชาติไปกับเราด้วยอีก 2 คน แต่พักคนละที่นะ)
เป็นเวลาไม่นานเราก็ถึงที่พักของเราแล้ว " มะโนเกสเฮ้าส์ ( MANO GUESTHOUSE) "
เมื่อถึงที่พักเราก็รีบเข้าไปเช็คอิน แต่แล้วมันก็เกิดปัญหาขึ้น เมื่อห้องที่เราจองไม่สามารถเข้าพักได้เพราะน้ำแอร์รั่ว
ทางที่พักจึงเสนอให้เราแบ่งเป็น 2 ห้อง แล้วแถมอาหารเช้าให้ด้วย โดยที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม (ข้อเสนอดีขนาดนี้ไม่รับไม่ได้แล้ว)
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องพักเพื่อเก็บสัมภาระ
หลักจากเก็บของกันเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าไปพระธาตุพูสีเพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดิน แต่ด้วยความต่างบ้านต่างเมืองทำให้เราใช้เวลาในการเดินหาทางอยู่นาน (แม้ว่าจะใช้ google map แล้ว) เราเดินวนไปวนมาอยู่เกือบชั่วโมงจนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจย้ายโปรแกมพระอาทิตย์ตกไปวันอื่น แล้วไปหาอะไรกินที่ตลาดมืดแทน
หลังจากหลงกันสักพัก เราก็มาถึงตลาดมืดในที่สุด
ตลาดมืด หรือจะเรียกว่าเป็นถนนคนเดินก็ว่าได้ ถือเป็นแหล่งช็อปปิ้งแหล่งใหญ่ของนักท่องเที่ยวเนื่องจากจะมีพ่อค้าแม่ค้าชาวหลวงพระบาง นำสินค้าของตนมาวางจำหน่าย มีสินค้าพื้นเมืองขายมากมาย เสื้อยืดสกรีนภาษาลาว, เครื่องเงิน, ผ้าทอ ถูกอกถูกใจก็ซื้อติดไม้ติดมือกันได้เลย
หลักจากเดินดูของในตลาดมืดสักพักก็ได้เวลากินข้าว แล้วซึ่งในตลาดมืดจะมีซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ซึ่งซอยนี้จะเ๖็มไปด้วยร้านอาหารท้องถิ่นมากมาย
จากร้านมากมายในซอยเราก็ได้เลือกมาร้านหนึ่ง ร้านนี้ขายของย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปลา ไก่ มะเขือ และอีกหลายอย่าง รวมถึงพวกส้มตำ ลาบ ก้อยด้วย
ซึ่งราคาเฉลี่ย จะอยู่ที่ไม้ละประมาณ 10,000 - 30,000 กีบ ขึ้นอยู่กับของที่เราสั่ง
โดยมื้อนี้เราเสียไปประมาณ 170,000 กีบ ( ประมาณ 580 บาท)
หลังจากจัดการอาหารที่สั่งมาจนหมด เราก็เดินทางกลับที่พัก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้
วันที่ 2 (06/10/62) ควายนม บิกินี อาทิตย์ตก
แสงแดดของเช้าวันใหม่พร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกที่เรียกเราออกจากความฝัน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางในวันที่ 2
ซึ่งในเช้านี้เราได้ใช้บริการอาหารเช้าของที่พัก โดยที่เมนูให้เลือก 9 เมนู เสริฟพร้อม ผลไม้สด น้ำผลไม้ และ ชา/กาแฟ
เมื่อจัดการส่งอาหารเช้าของที่พักลงไปในกระเพาะที่ว่างปล่าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกจากที่พักเพื่อหารถไปยังน้ำตกตาดกวางสี และฟาร์มควายนม
เดินออกจากที่พักได้ไม่นาน ก็ได้เจอกับรถเช่าคนนึงจอดอยู่ เลยเข้าไปสอบถามต่อรองราคาจนได้มาในราคา 250,000 กีบ (ประมาณ 850 บาท)
หมายเหตุ : รถเช่าซึ่งเราสามารถเช่าเหมาได้ทั้งวัน โดยตกลงราคากับสถานที่ที่จะไปนั้นจะขึ้นอยู่กับทั้ง 2 ฝ่าย
หลังจากได้คุยกับคุณลุงคนขับรถ ได้เรื่องมาว่าเราควรไปฟาร์มควายนมก่อนเนื่องจากมันเป็นทางผ่าน เราจึงสรุปว่าจะไปฟาร์มควายนมก่อน
แล้วในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง " LAOS BUFFALO DAIRY " โดยเราใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยที่ฟาร์มคิดค่าเข้าชม 2 เรทราคาคือ 1. 50,000 กีบ/คน ในราคา และ 2. 100,000 กีบ/คน ซึ่งในราคานี้จะได้ลองทำชีสจากนมควายด้วย
โดยในฟาร์มมีกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งชมการเลี้ยงหมูหลุม ชมคอกกระต่าย รีดนมควาย อาบน้ำควาย และให้อาหารควาย
เมื่อใช้พลังจนหมดจากการเดินชมฟาร์ม และทำกิจกรรมต่างๆ เราก็ต้องเติมพลังซะหน่อย ซึ่งที่ฟาร์มได้มีการทำอาหารและขนมที่ได้จากนมควายขายด้วย พวกเราก็จัดซะหน่อย
หลังจากเติมพลังกันเสร็จแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังเป้าหมายหลักของเรา น้ำตกตาดกวางสี โดยระยะจากฟาร์มถึงน้ำตกนั้นเป็นระยะทางที่ไม่ไกลมาก เราใช้เวลาเดินทางเพียง 20 นาที ก็ถึงน้ำตกตาดกวางสีเป็นที่เรียบร้อย
น้ำตกตาดกวางสี มีจำนวนชั้นทั้งหมด 4 ชั้น มีความสูงโดยรวมประมาณ 75 เมตร เป็นน้ำตกหินปูน น้ำในน้ำตกจึงมีสีเขียวมรกต ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง ในบางชั้นจะพบเห็นนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ (ซึ่งฝรั่งเยอะมาก แถมหุ่นดีด้วย) และยังมีน้อนหมีจากศูนย์ช่วยเหลือหมีคอยต้อนรับที่ทางเข้าอีกด้วย โดยขาเข้าน้ำตกอยู่ที่คนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 70 บาท)
หลังจากเดินชมน้ำตกจนหนำใจกันแล้ว ก็ถึงเวลาหาอะไรกินกันแล้ว โดยเราได้เลือกร้านอาหารร้านหนึ่งบริเวณทางเข้าของน้ำตก
โดยมื้อนี้เราจ่ายไปทั้งหมด 131,000 กีบ (ประมาณ 450 บาท) ซึ่งน่าแปลกใจที่ไม่มีการชาร์จราคาเพิ่มเหมือนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง
เมื่อจัดการอาหารเรียบร้อยแล้ว เราตัดสินใจเดินทางกลับเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตก ที่เราพลาดไปในวันแรก
ผ่านไปเพียง 1 ชั่วโมงเราก็กลับมาถึงตัวเมืองแล้วโดยเราได้บอกให้คุณลุงคนขับไปส่งเราที่ทางขึ้นพระธาตุพูสีเลย (กลัวหลงอีก) คุณลุงก็ได้มาส่งเราที่ทางขึ้นฝั่งพิพิธพัณฑ์แห่งชาติ ซึ่งก่อนไปคุณลุงได้เสนอว่าจะมารับเราไปเที่ยวต่อในวัดถัดไป ซึ่งเราก็ตอบตกลง (โดยไม่ได้ตกลงราคาก่อน พลาดมาก)
วัดพระธาตุพูสี อีกชื่อหนึ่งคือ พูสวง หรือ พูซวง ตั้งตระหง่านอยู่บนเขากลางเมืองหลวงพระบาง การได้เดินขึ้นไปบนยอดภูสี ทำให้เห็นเมืองหลวงพระบางได้โดยรอบ และเห็นสายน้ำโขงยาวไปจนสุดสายตา เป็นที่กล่าวกันว่ามาหลวงพระบาง ถ้าไม่ได้ขึ้นพูสี ก็เท่ากับว่าไม่ได้มาถึงหลวงพระบาง ซึ่งที่นี่ยังเป็นที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมากๆอีกด้วย จะเห็นได้จากที่มีชาวต่างชาติมากมายมารอชมพระอาทิตย์ตกกันอย่างหนาแน่น
โดยค่าเข้าพระธาตุภูสีอยู่ที่ 20,000 กีบ (ประมาณ 70 บาท)
หลังจากรอชมพระอาทิตย์ตกจนลับขอบฟ้าไปแล้ว เราก็เดินลงมายังตลาดมืดเพื่อหาอะไรกินกันอีกครั้ง โดยในมื้อนี้เราได้เลือกร้านสุก้ (หม้อรวม) ร้านหนึ่งในตลาด โดยวิธีสั่งร้านนี้คือให้เราคีบของที่ต้องการใส่ตะกล้าแล้วส่งให้กับแม่ค้า แล้วแม่ค้าจะทำการปรุงแล้วมาเสริฟ โดยราคาในแต่ละอย่างจะแตกต่างกัน
พวกเรากินกัน 2 คนต่อ 1 หม้อ คีบกันเต็มที่เลย แต่จ่ายไปแค่ 112,000 กีบ เท่านั้นเอง (ประมาณ 400 บาท)
หลังจากทานเสร็จ เราก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมพร้อมสำหรับการตักบาตรในตอนเช้าของวันถัดไป