ลังเลว่าจะลงหัวข้อไหนดี เอาเป็นการรีวิวไปแทนละกันนะครับ แล้วก็ขอเลือกเป็น SR เพราะว่าไม่ได้จ่ายเงินเองในการทำครั้งนี้ เพราะใช้สิทธิประกันสังคม ซึ่งมันดีงามจริง ๆ ที่ประหยัดเงินได้เป็นหมื่น
(เครื่อง MRI - ภาพประกอบจาก Internet)
เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน ผมมีปัญหากับอาการปวดสะบักซ้าย จนมันลามไปชาทั้งแขนซ้าย (เสริมด้วยอาการเจ็บทั้งแขนซ้าย) ซึ่งวันแรกที่มีอาการชา ผมก็รีบลางานไปโรงพยาบาลที่ไปหาหมอประจำทันที โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรีนั้นแหละ ซึ่งคุณหมอแผนกออร์โธปิดิกส์ ก็ทำการเช็คอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงก่อน (เพราะมีอาการชา) ผลก็เป็นลบ คือไม่เป็น หมอก็เลยขอ X-Ray เพื่อดูกระดูกต้นคอ ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้ว ไม่เห็นความผิดปรกติอะไร หมอก็ให้กลับบ้านจ่ายยาให้ 1 สัปดาห์ (อีหยังวะ อาการปรกติหรอ)
เอาจริง ๆ รู้สึกไม่โอเท่าไหร เพราะในใจคาดหวังลึกๆ ว่า หมอครับ ช่วยส่งกูไปทำอะไรซักอย่างได้ไหม กายภาพบำบัดก็ได้ ฝังเข็มก็ได้
ทีนี้ พอดีมีญาติผู้ใหญ่ เค้าหาหมอในกระทรวงสาธารณะสุขอยู่ เป็นศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงอายุ ซึ่งปรกติจะต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไปถึงจะไปได้ แต่สามารถให้ผู้ป่วยเดิมแนะนำมาได้ ก็เลยได้ไปรักษาด้วยการฝังเข็ม แล้วกระตุ้นด้วยไฟฟ้าอ่อน ๆ นั้นเอง
หลังจากฝังเข็ม กระตุ้นไฟฟ้า อยู่ประมาณ 1 เดือน ก็พบว่า อาการมันก็ทรง ๆ ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ก็เลยมองหาช่องทางใหม่ในการรักษา ประจวบเหมาะด้วยน้องในแผนกพึ่งไปหาคลีนิคกายภาพบำบัด ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เลยไปลองดู
รูปซีกซ้าย คือรอยปากกาที่อาจารย์กายภาพ มาร์คตำแหน่งที่จะต้องทำ Therapeutic Ultrasound (รูปขวาบน) Electrical Stimulation (รูปขวาล่าง) และประคบด้วย Hot Pack
สิ่งที่น่าสนใจคือ อาจารย์กายภาพบอกว่า อาการแขนชา ไม่ได้เกิดจากตำแหน่งสะบักที่รูปบนซ้ายอย่างเดียว แต่ว่าเกิดจากตำแหน่งท่อนแขนของรูปซ้ายล่างด้วย คือ มันมีอาการกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึง ซึ่งอาจารย์ก็ให้ลองกดเทียบดูทั้งสองข้างซ้ายขวา ก็พบว่า ฝั่งซ้ายมันตึงกว่าจริงๆ
ซึ่งหลังจากทำทั้ง 3 อย่างครบแล้ว อาจารย์กายภาพ ก็มาดัด จัด บีบ ท่อนแขนข้างซ้ายอีกทีนึง ซึ่งผลโดยรวมค่อนข้างน่าประทับใจมากโดยเฉพาะตอนที่อาจารย์จับแต่ละจุด เหมือนมองเห็นทะลุไปถึงกล้ามเนื้อเลย
แต่หลังจากทำกายภาพบำบัดไปประมาณ 1 เดือน (สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) ก็พบว่า มันช่วยให้ดีขึ้นเป็นพักๆ ไม่ได้รู้สึกว่าอาการมันลดลงไปเลย กอรปกับค่าทำกายภาพต่อครั้ง ตกประมาณ 1,300 บาทเศษๆ รวมๆ ที่ทำไปแล้วก็ประมาณหมื่นกว่าบาท แล้วเอาไปเบิกประกันของที่บริษัทไม่ได้ด้วย เพราะนักกายภาพบำบัด ไม่ใช่หมอ ใบรับรองไม่ได้ถูกออกโดยหมอที่มีใบประกอบโรคศิลปะนั้นเอง
ทีนี้ เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ต้องไปตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัท เลยตัดสินใจแวะไปหาคุณหมอแผนกออร์โธปิดิกส์อีกครั้ง ระหว่างเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็ยิ้ม (เหมือนแบบนึกในใจว่า มาเป็น Pattern แบบนี้ ใช่เลย) แล้วคุณหมอก็บอกว่า ผมสงสัยว่าคุณเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทครับ
เฮ้ย! (นึกในใจ) อาการมันขนาดนั้นเลยหรอ คุณหมอเลยขอทำการ X-Ray เพื่อตรวจดูกระดูกคอ (C spine) ซึ่งก็เหมือนกับที่หมอคนก่อนบอก กระดูกเรียงตัวปรกติดีทุกอย่าง ดังนั้นคงต้องทำ MRI นะครับ ถึงจะมองเห็นว่า ส่วนภายในมันมีปัญหาหรือไม่
ภาพ X-Ray กระดูกต้นคอผมเอง
ในใจตอนนั้นนึกไว้ว่า ต้องทำ MRI แล้วค่าทำเท่าไหรเนี้ย ( T_T) สอบถามราคามาก็ประมาณหมื่นกว่าบาท ในขณะที่ประกันของบริษัทจะครอบคลุมแค่ OPD 2,000บาท ดังนั้นต้องเสียเงินเองประมาณ 1 หมื่นบาท พอคุยกับอ้อแล้ว สรุปว่า จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลราชวิถีต่อ เพราะมีประกันสังคมอยู่ที่นั่น
รายละเอียดส่วนยิบย่อย ขอข้ามหละกันนะ ว่ากันที่การทำ MRI เมื่อคืนนี้เลยดีกว่า (13 พ.ย. 2562) ผมได้คิวนัดเป็นลำดับสุดท้ายของวัน ซึ่งถ้านับจากวันที่ไปหาหมอครั้งแรก ถือว่าได้คิวไวมาก ไม่ถึง 1 เดือน (ปรกติของโรงพยาบาลรัฐ จะใช้เวลา 2-3 เดือนอย่างน้อย) พอไปถึงก็พบว่า มีคนไข้รอทำ MRI อยู่หลายคิวมาก สรุปผมได้เริ่มทำจริง ๆ ประมาณเกือบ ๆ 3 ทุ่มเลย
ในการทำ MRI จะต้องไม่มีวัตถุที่เป็นโลหะในร่างกาย เพราะเครื่อง MRI เป็นเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง (Magnetic Resonance Imaging) แรงขนาดไหน? ลองดูคลิปนี้กัน
https://www.youtube.com/watch?v=6BBx8BwLhqg จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพยาบาลก็ให้ Ear Plug มา 1 อัน ของ 3M แบบในรูป
ซึ่งมันเป็นวัสดุโฟม เวลาใส่ก็ต้องบีบ ๆ คลึงๆ ให้มันเล็กลง แล้วยัดใส่หู พร้อมกดค้างไว้ 10 วินาทีโดยประมาณ
เอาจริง ๆ ผมโม้กับตัวเองเอาไว้ว่า ก็อีแค่ทำ MRI จะแค่ไหนกัน ที่แคบผมก็ไม่ได้กลัว เดี๋ยวเข้าไปแล้วก็ขอหลับยาว ๆ เลยละกัน 30-45 นาทีใช่ไหม หึหึหึ
พอเจอของจริงปรากฏว่า มันไม่ใช่แค่นั้นครับ ขอไล่เป็นข้อ ๆ เลยละกัน
1. การทำ MRI เราจะต้องอยู่นิ่ง ๆ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด ซึ่งการที่อยู่นิ่ง ๆ 30 นาที โดยไม่ทำอะไร มันเป็นเรื่องที่ยากมากกกกกกกกกกกกกกกก และทรมานมากกกกกกกกกกกกกกก แล้วทำไมไม่หลับไปหละ? ไปว่ากันที่ข้อ 2
2. เสียงเครื่อง MRI ดังมากกกกกกกกกกกกกกก และกวนโสตประสาทมากกกกกกกกกกกกกกก ใครไม่เคยทำ ไม่รู้จริงๆ ขนาดตอนทำนอกจากใส่ Ear Plug แล้ว พยาบาลยังให้ใส่ Ear Muffs กันเสียง แบบที่ใช้กันในงานก่อสร้างหรือสนามยิงปืนนั้นแหละ ใส่ 2 ชั้นขนาดนี้แล้ว เสียงยังลอดเข้ามาได้เลย แล้วเสียงมันเป็นแบบไหนหละ? อะ ลองฟังคลิปนี้ดู
https://www.youtube.com/watch?v=6Aj2QspPf7s มันดังเหมือนในคลิปเลย มีหลายโทน หลายรูปแบบ ตลอด 30-45 นาทีที่ทำ ซึ่งทำให้หลับไม่ได้เลยจ้า ปวดโสตประสาทสุด ๆ ไปเลยจ้า
3. เจ้าหน้าที่บอกว่า ระหว่างเครื่องทำงาน (มีเสียงดัง) อย่ากลืนน้ำลายนะครับ... ตอนฟังก็คิดว่าหมู ๆ สบายมาก พอเจอของจริง ทนไม่ได้จ้า มีกลืนน้ำลายไประหว่างมีเสียงเครื่องประมาณ 4-5 รอบ ตอนท้าย ๆ พอมีจังหวะพัก ที่ไม่มีเสียง รีบกลืนน้ำลายทันที มันบังคับกันยากมากจริง ๆ
4. ตอนเริ่มทำ มันจะมีความรู้สึกเหมือนตัวเขย่าเบา ๆ แบบลอย ๆ ซึ่งอันนี้เดาว่า เกิดจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของเครื่อง MRI (ก็เครื่องมันสร้างสนามแม่เหล็กอย่างรุนแรงขนาดนี้
https://www.youtube.com/watch?v=6BBx8BwLhqg ) แต่พอไปซักพัก ร่างกายมันคงปรับตัว ก็ไม่ค่อยรู้สึกเหมือนตอนเข้าเครื่องแรก ๆ
5. ส่วนเรื่องที่แคบ ก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่า ผมไม่ได้กลัวที่แคบ ระหว่างทำเค้าบอกว่าหลับตาไปได้ แต่ผมก็มีลืมตามาดูซะหน่อยว่ามันแคบขนาดไหน ซึ่งก็พบว่ามันแคบจริง ๆ นั้นแหละ แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับผม แต่สำหรับคนที่กลัวที่แคบ ก็คงน่าจะมีปัญหาใหญ่เอาเรื่อง
เบ็ดเสร็จแล้ว เมื่อคืนทำ MRI เสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากห้องมาพร้อมกับพยาบาลและเจ้าหน้าที่เลย ก็คือเค้าปิดห้องแล้วนั้นเอง
หลังจากนี้ก็เหลือแต่รอฟังผล ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้ระยะเวลา 10 วันทำการ (นานจัง) ก็อย่างว่าครับ โรงพยาบาลรัฐบาล มีคนไข้เยอะ ก็คงเป็นธรรมดาที่จะใช้เวลานานหน่อย ซึ่งถ้าได้ผลการทำ MRI มาแล้ว ก็ต้องรอคุณหมอตรวจและวินิจฉัยต่อไป
ไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ
[SR] เล่าประสบการณ์การทำ MRI ครั้งแรกในชีวิต ด้วยสิทธิประกันสังคม
(เครื่อง MRI - ภาพประกอบจาก Internet)
เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน ผมมีปัญหากับอาการปวดสะบักซ้าย จนมันลามไปชาทั้งแขนซ้าย (เสริมด้วยอาการเจ็บทั้งแขนซ้าย) ซึ่งวันแรกที่มีอาการชา ผมก็รีบลางานไปโรงพยาบาลที่ไปหาหมอประจำทันที โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรีนั้นแหละ ซึ่งคุณหมอแผนกออร์โธปิดิกส์ ก็ทำการเช็คอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงก่อน (เพราะมีอาการชา) ผลก็เป็นลบ คือไม่เป็น หมอก็เลยขอ X-Ray เพื่อดูกระดูกต้นคอ ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้ว ไม่เห็นความผิดปรกติอะไร หมอก็ให้กลับบ้านจ่ายยาให้ 1 สัปดาห์ (อีหยังวะ อาการปรกติหรอ)
เอาจริง ๆ รู้สึกไม่โอเท่าไหร เพราะในใจคาดหวังลึกๆ ว่า หมอครับ ช่วยส่งกูไปทำอะไรซักอย่างได้ไหม กายภาพบำบัดก็ได้ ฝังเข็มก็ได้
ทีนี้ พอดีมีญาติผู้ใหญ่ เค้าหาหมอในกระทรวงสาธารณะสุขอยู่ เป็นศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงอายุ ซึ่งปรกติจะต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไปถึงจะไปได้ แต่สามารถให้ผู้ป่วยเดิมแนะนำมาได้ ก็เลยได้ไปรักษาด้วยการฝังเข็ม แล้วกระตุ้นด้วยไฟฟ้าอ่อน ๆ นั้นเอง
หลังจากฝังเข็ม กระตุ้นไฟฟ้า อยู่ประมาณ 1 เดือน ก็พบว่า อาการมันก็ทรง ๆ ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ก็เลยมองหาช่องทางใหม่ในการรักษา ประจวบเหมาะด้วยน้องในแผนกพึ่งไปหาคลีนิคกายภาพบำบัด ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เลยไปลองดู
รูปซีกซ้าย คือรอยปากกาที่อาจารย์กายภาพ มาร์คตำแหน่งที่จะต้องทำ Therapeutic Ultrasound (รูปขวาบน) Electrical Stimulation (รูปขวาล่าง) และประคบด้วย Hot Pack
สิ่งที่น่าสนใจคือ อาจารย์กายภาพบอกว่า อาการแขนชา ไม่ได้เกิดจากตำแหน่งสะบักที่รูปบนซ้ายอย่างเดียว แต่ว่าเกิดจากตำแหน่งท่อนแขนของรูปซ้ายล่างด้วย คือ มันมีอาการกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึง ซึ่งอาจารย์ก็ให้ลองกดเทียบดูทั้งสองข้างซ้ายขวา ก็พบว่า ฝั่งซ้ายมันตึงกว่าจริงๆ
ซึ่งหลังจากทำทั้ง 3 อย่างครบแล้ว อาจารย์กายภาพ ก็มาดัด จัด บีบ ท่อนแขนข้างซ้ายอีกทีนึง ซึ่งผลโดยรวมค่อนข้างน่าประทับใจมากโดยเฉพาะตอนที่อาจารย์จับแต่ละจุด เหมือนมองเห็นทะลุไปถึงกล้ามเนื้อเลย
แต่หลังจากทำกายภาพบำบัดไปประมาณ 1 เดือน (สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) ก็พบว่า มันช่วยให้ดีขึ้นเป็นพักๆ ไม่ได้รู้สึกว่าอาการมันลดลงไปเลย กอรปกับค่าทำกายภาพต่อครั้ง ตกประมาณ 1,300 บาทเศษๆ รวมๆ ที่ทำไปแล้วก็ประมาณหมื่นกว่าบาท แล้วเอาไปเบิกประกันของที่บริษัทไม่ได้ด้วย เพราะนักกายภาพบำบัด ไม่ใช่หมอ ใบรับรองไม่ได้ถูกออกโดยหมอที่มีใบประกอบโรคศิลปะนั้นเอง
ทีนี้ เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ต้องไปตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัท เลยตัดสินใจแวะไปหาคุณหมอแผนกออร์โธปิดิกส์อีกครั้ง ระหว่างเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็ยิ้ม (เหมือนแบบนึกในใจว่า มาเป็น Pattern แบบนี้ ใช่เลย) แล้วคุณหมอก็บอกว่า ผมสงสัยว่าคุณเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทครับ
เฮ้ย! (นึกในใจ) อาการมันขนาดนั้นเลยหรอ คุณหมอเลยขอทำการ X-Ray เพื่อตรวจดูกระดูกคอ (C spine) ซึ่งก็เหมือนกับที่หมอคนก่อนบอก กระดูกเรียงตัวปรกติดีทุกอย่าง ดังนั้นคงต้องทำ MRI นะครับ ถึงจะมองเห็นว่า ส่วนภายในมันมีปัญหาหรือไม่
ภาพ X-Ray กระดูกต้นคอผมเอง
ในใจตอนนั้นนึกไว้ว่า ต้องทำ MRI แล้วค่าทำเท่าไหรเนี้ย ( T_T) สอบถามราคามาก็ประมาณหมื่นกว่าบาท ในขณะที่ประกันของบริษัทจะครอบคลุมแค่ OPD 2,000บาท ดังนั้นต้องเสียเงินเองประมาณ 1 หมื่นบาท พอคุยกับอ้อแล้ว สรุปว่า จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลราชวิถีต่อ เพราะมีประกันสังคมอยู่ที่นั่น
รายละเอียดส่วนยิบย่อย ขอข้ามหละกันนะ ว่ากันที่การทำ MRI เมื่อคืนนี้เลยดีกว่า (13 พ.ย. 2562) ผมได้คิวนัดเป็นลำดับสุดท้ายของวัน ซึ่งถ้านับจากวันที่ไปหาหมอครั้งแรก ถือว่าได้คิวไวมาก ไม่ถึง 1 เดือน (ปรกติของโรงพยาบาลรัฐ จะใช้เวลา 2-3 เดือนอย่างน้อย) พอไปถึงก็พบว่า มีคนไข้รอทำ MRI อยู่หลายคิวมาก สรุปผมได้เริ่มทำจริง ๆ ประมาณเกือบ ๆ 3 ทุ่มเลย
ในการทำ MRI จะต้องไม่มีวัตถุที่เป็นโลหะในร่างกาย เพราะเครื่อง MRI เป็นเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูง (Magnetic Resonance Imaging) แรงขนาดไหน? ลองดูคลิปนี้กัน https://www.youtube.com/watch?v=6BBx8BwLhqg จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพยาบาลก็ให้ Ear Plug มา 1 อัน ของ 3M แบบในรูป
ซึ่งมันเป็นวัสดุโฟม เวลาใส่ก็ต้องบีบ ๆ คลึงๆ ให้มันเล็กลง แล้วยัดใส่หู พร้อมกดค้างไว้ 10 วินาทีโดยประมาณ
เอาจริง ๆ ผมโม้กับตัวเองเอาไว้ว่า ก็อีแค่ทำ MRI จะแค่ไหนกัน ที่แคบผมก็ไม่ได้กลัว เดี๋ยวเข้าไปแล้วก็ขอหลับยาว ๆ เลยละกัน 30-45 นาทีใช่ไหม หึหึหึ
พอเจอของจริงปรากฏว่า มันไม่ใช่แค่นั้นครับ ขอไล่เป็นข้อ ๆ เลยละกัน
1. การทำ MRI เราจะต้องอยู่นิ่ง ๆ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด ซึ่งการที่อยู่นิ่ง ๆ 30 นาที โดยไม่ทำอะไร มันเป็นเรื่องที่ยากมากกกกกกกกกกกกกกกก และทรมานมากกกกกกกกกกกกกกก แล้วทำไมไม่หลับไปหละ? ไปว่ากันที่ข้อ 2
2. เสียงเครื่อง MRI ดังมากกกกกกกกกกกกกกก และกวนโสตประสาทมากกกกกกกกกกกกกกก ใครไม่เคยทำ ไม่รู้จริงๆ ขนาดตอนทำนอกจากใส่ Ear Plug แล้ว พยาบาลยังให้ใส่ Ear Muffs กันเสียง แบบที่ใช้กันในงานก่อสร้างหรือสนามยิงปืนนั้นแหละ ใส่ 2 ชั้นขนาดนี้แล้ว เสียงยังลอดเข้ามาได้เลย แล้วเสียงมันเป็นแบบไหนหละ? อะ ลองฟังคลิปนี้ดู https://www.youtube.com/watch?v=6Aj2QspPf7s มันดังเหมือนในคลิปเลย มีหลายโทน หลายรูปแบบ ตลอด 30-45 นาทีที่ทำ ซึ่งทำให้หลับไม่ได้เลยจ้า ปวดโสตประสาทสุด ๆ ไปเลยจ้า
3. เจ้าหน้าที่บอกว่า ระหว่างเครื่องทำงาน (มีเสียงดัง) อย่ากลืนน้ำลายนะครับ... ตอนฟังก็คิดว่าหมู ๆ สบายมาก พอเจอของจริง ทนไม่ได้จ้า มีกลืนน้ำลายไประหว่างมีเสียงเครื่องประมาณ 4-5 รอบ ตอนท้าย ๆ พอมีจังหวะพัก ที่ไม่มีเสียง รีบกลืนน้ำลายทันที มันบังคับกันยากมากจริง ๆ
4. ตอนเริ่มทำ มันจะมีความรู้สึกเหมือนตัวเขย่าเบา ๆ แบบลอย ๆ ซึ่งอันนี้เดาว่า เกิดจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของเครื่อง MRI (ก็เครื่องมันสร้างสนามแม่เหล็กอย่างรุนแรงขนาดนี้ https://www.youtube.com/watch?v=6BBx8BwLhqg ) แต่พอไปซักพัก ร่างกายมันคงปรับตัว ก็ไม่ค่อยรู้สึกเหมือนตอนเข้าเครื่องแรก ๆ
5. ส่วนเรื่องที่แคบ ก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่า ผมไม่ได้กลัวที่แคบ ระหว่างทำเค้าบอกว่าหลับตาไปได้ แต่ผมก็มีลืมตามาดูซะหน่อยว่ามันแคบขนาดไหน ซึ่งก็พบว่ามันแคบจริง ๆ นั้นแหละ แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับผม แต่สำหรับคนที่กลัวที่แคบ ก็คงน่าจะมีปัญหาใหญ่เอาเรื่อง
เบ็ดเสร็จแล้ว เมื่อคืนทำ MRI เสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากห้องมาพร้อมกับพยาบาลและเจ้าหน้าที่เลย ก็คือเค้าปิดห้องแล้วนั้นเอง
หลังจากนี้ก็เหลือแต่รอฟังผล ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้ระยะเวลา 10 วันทำการ (นานจัง) ก็อย่างว่าครับ โรงพยาบาลรัฐบาล มีคนไข้เยอะ ก็คงเป็นธรรมดาที่จะใช้เวลานานหน่อย ซึ่งถ้าได้ผลการทำ MRI มาแล้ว ก็ต้องรอคุณหมอตรวจและวินิจฉัยต่อไป
ไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม