ถือว่าเป็นหนังที่แบกรับความกดดันไว้ระดับนึงเลยทีเดียวสำหรับเรื่องนี้ เพราะดันเป็นภาคต่อของสยองขวัญหนังขึ้นหิ้งในตำนานอย่าง “the Shining” (1980) ที่ทิ้งความยอดเยี่ยมไวยาวนานถึงเกือบ 40 ปีกว่าจะมีภาคต่อภาคนี้ออกมา ตอนแรกผมก็ชั่งใจอยู่เหมือนกันว่าหนังจะออกมาเป็นรูปแบบเดิมหรือเปล่า แล้วเรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อ พอได้เข้าไปดู ช่วงแรกผมมีความคิดว่า ไม่น่ารอด แต่ดูไปเรื่อยๆ หนังมันยัดความสนุกตื่นเต้นมาให้อึ้งตลอดจนจบเลยทีเดียว
“Doctor Sleep” สานต่อเรื่องราวของ แดนนี่ ทอร์แรนซ์ ในอีก 40 ปี ถัดมาจากเหตุการณ์สยอง ณ โรงแรมโอเวอร์ลุคใน “The Shining” ที่ยังคงทำให้แดนรู้สึกหวาดกลัวจนถึงทุกวันนี้ แดนพยายามหาวิธีให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่สุด แต่ความสงบสุขนั้นกลับพังทลายลงเมื่อแดนได้เจอกับ แอบรา หญิงสาวจิตใจกล้าหาญเจ้าของพลังวิเศษเรียกว่า “ไชน์” ที่เดินทางออกตามหาแดนเพื่อขอความช่วยเหลือให้ร่วมต่อสู้กับ โรส เดอะ แฮท ผู้เหี้ยมโหด และเดอะ ทรู น็อต กลุ่มลัทธิคัลต์ลูกสมุนของเธอ ที่ออกตามล่าเด็กผู้บริสุทธิ์เพื่อชีวิตอมตะของตัวเอง จากคนแปลกหน้ากลายเป็นพันธมิตร ในระหว่างที่แดนและแอบราต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงอันตรายในสงครามใหญ่กับโรส จิตใจอันบริสุทธิ์และกล้าหาญของแอบรากลับปลุกพลังลึกลับภายในตัวของแดนขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่นั่นทำให้เหล่าภูติผีวิญญาณร้ายในอดีตฟื้นคืน และทำให้แดนต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวอีกครั้ง
ผมสารภาพตามตรงว่า ตอนแรกผมไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย แม้แต่เรื่องย่อก็ไม่รู้ ก็คิดว่าหนังจะเล่นกับเด็กน้อย แดนนี่ ที่โตขึ้นมากับโรงแรม Overlook ซึ่งมันอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม หรืออาจจะไม่หนีจากเดิมมากนัก แต่กลับไม่ใช่ หนังเปลี่ยนแนวไปเกือบจะสิ้นเชิง จากหนังแนว Psycho Horror มาภาคนี้กลายเป็นหนัง Horror Fantasy ที่พลิกคาแรคเตอร์หนังอย่างชัดเจน เมื่อมีตัวละครที่เป็นเหล่า Supernatural ออกมาทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ที่ทำให้หนังไม่ใช่หนังแนวเดิมอีกต่อไป
ช่วงแรกหนังเล่าพื้นฐานตัวละครเล็กน้อย ไม่ได้อิงอะไรมากมาย แต่จะค่อยๆ เผยออกมาระหว่างเรื่อง เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เคยดู The Shining ก็สามารถดูเรื่องนี้ได้รู้เรื่อง ตอนที่หนังเผยความสามารถของตัวละคร ตอนแรกผมไม่โอเคเลย เพราะคิดว่าหนังมันผิดเพี้ยนกลายเป็น X-Men ไปแล้ว แต่กลับเป็นผมเองที่ต้องทึ่งในการเอาเรื่องราวมาขมวดปมและสรุปได้อย่างอย่างเยี่ยมในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งหนังสามารถทำให้เรื่องราวที่เหมือนจะไม่มีอะไร มาเปลี่ยนให้น่าติดตามและมีอะไรที่โผล่มาให้เซอร์ไพร์สอยู่ตลอด
หลังจากสืบสาวราวเรื่องกันนานสองนาน ช่วงท้ายเรื่องเป็นช่วงที่ผมชอบมาก เพราะหนังจะพาเรากลับไปสู่ต้นทางที่เป็นตำนาน นั่นคือ โรงแรม Overlook ที่น่าสยองขวัญ ในช่วงนี้แหละที่หนังขุดเอาฉากสุดคลาสสิคหลายๆ ฉากออกมาทำใหม่ให้หายคิดถึง รวมไปถึงตัวละครที่เราคุ้นเคยจาก The Shining ก็ถูกนำมาถ่ายทอดด้วยนักแสดงรุ่นใหม่ที่หน้าคล้ายนักแสดงเดิมมากๆ เรียกว่าทุกอย่างของ Doctor Sleep ให้ความเคารพกับ The Shining เป็นอย่างมาก
นอกจากฉากคลาสสิคที่ว่าแล้ว ถ้าเราสังเกตดีๆ มุมกล้องของ Doctor Sleep หลายๆ ฉาก แทบจะก๊อป The Shining มาเต็มๆ แถมโทนภาพของหนังก็แทบจะเป็นโทนเดียวกัน นัวๆ เก่าๆ หน่อย ดูแล้วคลาสสิคสุดๆ คนที่ไม่เคยดู The Shining ก็จะได้ดูภาพหนังที่ดูวินเทจและสวยงาม บวกกับตัวละครบางตัวที่ออกมาเชื่อโลกทั้งสองโลกเข้าดด้วยกัน มันยิ่งทำให้คนดูนึกถึงต้นฉบับ และทำให้สองเรื่องราวมันดูสอดคล้องต่อเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกันได้อย่างยอดเยี่ยม
ถือว่าเป็นหนังที่ดีเกินความคาดหมายอย่างมากสำหรับเรื่องนี้ หนังอาจจะไม่ได้มีบทหักมุมอะไรมากมาย แต่ชั้นเชิงการเล่าเรื่องและการหลอกล่อคนดูให้ติดกับดักที่หนังวางไว้มันค่อนข้างทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูสนุกและถือว่าเป็นการร้อยเรียงโยงเรื่องราวของ The Shining และ Doctor Sleep ให้เป็นการปิดจบเรื่องราวที่ค้างคามาถึง 40 ปีได้อย่างดี
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ เข้ามาพูดคุยกันได้นะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[CR] [#Review] Doctor Sleep ลางนรก - ช่วงแรกไม่มีอะไร ช่วงต่อไปโอ้โหโคตรสนุก เป็นภาคปิดฉากที่เล่าเรื่องได้สุดยอดมาก
ถือว่าเป็นหนังที่แบกรับความกดดันไว้ระดับนึงเลยทีเดียวสำหรับเรื่องนี้ เพราะดันเป็นภาคต่อของสยองขวัญหนังขึ้นหิ้งในตำนานอย่าง “the Shining” (1980) ที่ทิ้งความยอดเยี่ยมไวยาวนานถึงเกือบ 40 ปีกว่าจะมีภาคต่อภาคนี้ออกมา ตอนแรกผมก็ชั่งใจอยู่เหมือนกันว่าหนังจะออกมาเป็นรูปแบบเดิมหรือเปล่า แล้วเรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อ พอได้เข้าไปดู ช่วงแรกผมมีความคิดว่า ไม่น่ารอด แต่ดูไปเรื่อยๆ หนังมันยัดความสนุกตื่นเต้นมาให้อึ้งตลอดจนจบเลยทีเดียว
“Doctor Sleep” สานต่อเรื่องราวของ แดนนี่ ทอร์แรนซ์ ในอีก 40 ปี ถัดมาจากเหตุการณ์สยอง ณ โรงแรมโอเวอร์ลุคใน “The Shining” ที่ยังคงทำให้แดนรู้สึกหวาดกลัวจนถึงทุกวันนี้ แดนพยายามหาวิธีให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่สุด แต่ความสงบสุขนั้นกลับพังทลายลงเมื่อแดนได้เจอกับ แอบรา หญิงสาวจิตใจกล้าหาญเจ้าของพลังวิเศษเรียกว่า “ไชน์” ที่เดินทางออกตามหาแดนเพื่อขอความช่วยเหลือให้ร่วมต่อสู้กับ โรส เดอะ แฮท ผู้เหี้ยมโหด และเดอะ ทรู น็อต กลุ่มลัทธิคัลต์ลูกสมุนของเธอ ที่ออกตามล่าเด็กผู้บริสุทธิ์เพื่อชีวิตอมตะของตัวเอง จากคนแปลกหน้ากลายเป็นพันธมิตร ในระหว่างที่แดนและแอบราต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงอันตรายในสงครามใหญ่กับโรส จิตใจอันบริสุทธิ์และกล้าหาญของแอบรากลับปลุกพลังลึกลับภายในตัวของแดนขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่นั่นทำให้เหล่าภูติผีวิญญาณร้ายในอดีตฟื้นคืน และทำให้แดนต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวอีกครั้ง
ผมสารภาพตามตรงว่า ตอนแรกผมไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย แม้แต่เรื่องย่อก็ไม่รู้ ก็คิดว่าหนังจะเล่นกับเด็กน้อย แดนนี่ ที่โตขึ้นมากับโรงแรม Overlook ซึ่งมันอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม หรืออาจจะไม่หนีจากเดิมมากนัก แต่กลับไม่ใช่ หนังเปลี่ยนแนวไปเกือบจะสิ้นเชิง จากหนังแนว Psycho Horror มาภาคนี้กลายเป็นหนัง Horror Fantasy ที่พลิกคาแรคเตอร์หนังอย่างชัดเจน เมื่อมีตัวละครที่เป็นเหล่า Supernatural ออกมาทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ที่ทำให้หนังไม่ใช่หนังแนวเดิมอีกต่อไป
ช่วงแรกหนังเล่าพื้นฐานตัวละครเล็กน้อย ไม่ได้อิงอะไรมากมาย แต่จะค่อยๆ เผยออกมาระหว่างเรื่อง เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เคยดู The Shining ก็สามารถดูเรื่องนี้ได้รู้เรื่อง ตอนที่หนังเผยความสามารถของตัวละคร ตอนแรกผมไม่โอเคเลย เพราะคิดว่าหนังมันผิดเพี้ยนกลายเป็น X-Men ไปแล้ว แต่กลับเป็นผมเองที่ต้องทึ่งในการเอาเรื่องราวมาขมวดปมและสรุปได้อย่างอย่างเยี่ยมในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งหนังสามารถทำให้เรื่องราวที่เหมือนจะไม่มีอะไร มาเปลี่ยนให้น่าติดตามและมีอะไรที่โผล่มาให้เซอร์ไพร์สอยู่ตลอด
หลังจากสืบสาวราวเรื่องกันนานสองนาน ช่วงท้ายเรื่องเป็นช่วงที่ผมชอบมาก เพราะหนังจะพาเรากลับไปสู่ต้นทางที่เป็นตำนาน นั่นคือ โรงแรม Overlook ที่น่าสยองขวัญ ในช่วงนี้แหละที่หนังขุดเอาฉากสุดคลาสสิคหลายๆ ฉากออกมาทำใหม่ให้หายคิดถึง รวมไปถึงตัวละครที่เราคุ้นเคยจาก The Shining ก็ถูกนำมาถ่ายทอดด้วยนักแสดงรุ่นใหม่ที่หน้าคล้ายนักแสดงเดิมมากๆ เรียกว่าทุกอย่างของ Doctor Sleep ให้ความเคารพกับ The Shining เป็นอย่างมาก
นอกจากฉากคลาสสิคที่ว่าแล้ว ถ้าเราสังเกตดีๆ มุมกล้องของ Doctor Sleep หลายๆ ฉาก แทบจะก๊อป The Shining มาเต็มๆ แถมโทนภาพของหนังก็แทบจะเป็นโทนเดียวกัน นัวๆ เก่าๆ หน่อย ดูแล้วคลาสสิคสุดๆ คนที่ไม่เคยดู The Shining ก็จะได้ดูภาพหนังที่ดูวินเทจและสวยงาม บวกกับตัวละครบางตัวที่ออกมาเชื่อโลกทั้งสองโลกเข้าดด้วยกัน มันยิ่งทำให้คนดูนึกถึงต้นฉบับ และทำให้สองเรื่องราวมันดูสอดคล้องต่อเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกันได้อย่างยอดเยี่ยม
ถือว่าเป็นหนังที่ดีเกินความคาดหมายอย่างมากสำหรับเรื่องนี้ หนังอาจจะไม่ได้มีบทหักมุมอะไรมากมาย แต่ชั้นเชิงการเล่าเรื่องและการหลอกล่อคนดูให้ติดกับดักที่หนังวางไว้มันค่อนข้างทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูสนุกและถือว่าเป็นการร้อยเรียงโยงเรื่องราวของ The Shining และ Doctor Sleep ให้เป็นการปิดจบเรื่องราวที่ค้างคามาถึง 40 ปีได้อย่างดี
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ เข้ามาพูดคุยกันได้นะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้