VAR ชอตปัญหาเยอะ! บิ๊กพรีเมียร์ฯเตรียมให้เปาดูจอ
เดอะ ไทม์ส สื่อของอังกฤษ ตีข่าว เหล่าประธานของทีมใน พรีเมียร์ลีก จะหารือเรื่องการเปลี่ยนให้กรรมการไปตรวจสอบจังหวะปัญหาทางจอมอนิเตอร์ หลังจากช่วงที่ผ่านมา วีเออาร์ ทำให้เกิดประเด็นปัญหาเยอะพอตัว
บรรดาประธานของสโมสรในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะหารือเพื่อตรวจสอบเรื่องการใช้ วีเออาร์ ในการช่วยตัดสินตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยที่พวกเขากำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนนโยบายให้ผู้ตัดสินที่ 1 หรือกรรมการหลักในสนาม ต้องไปดูคลิปการเล่นด้วยตัวเองทางจอมอนิเตอร์ที่ข้างสนาม ตามรายงานของ เดอะ ไทม์ส สื่อชั้นนำของเมืองผู้ดี
ฤดูกาลนี้ถือเป็นซีซั่นแรกที่ พรีเมียร์ลีก เอาเทคโนโลยี วีเออาร์ มาใช้ เพื่อที่จะให้เกิดการตัดสินที่ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งมันก็มีถึง 100 เกมที่ใช้ระบบ วีเออาร์ ไปแล้ว และมีการเปลี่ยนคำตัดสินไป 26 ครั้ง อย่างไรก็ตาม มันก็มีการถกเถียงกันว่ามีการตัดสินที่ผิดพลาดอยู่ดี ไม่ว่าจะทั้งในจังหวะที่เปลี่ยนคำตัดสิน หรือการยืนกรานตามคำตัดสินเดิม รวมถึงประเด็นที่ว่าบางครั้ง วีเออาร์ ไม่คัดค้านคำตัดสินทั้งที่มันเป็นจังหวะปัญหา
ที่จริงแล้วหนึ่งในวิธีตรวจสอบคลิปด้วยระบบ วีเออาร์ คือการให้กรรมการในสนามไปดูคลิปด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ตัดสินใจด้วยตัวเองได้ง่ายขึ้นว่าจะเปลี่ยนคำตัดสินดีรึเปล่า ซึ่งใน พรีเมียร์ลีก มันก็มีการติดตั้งจอเอาไว้ที่ข้างสนามเพื่อให้เชิ้ตดำซึ่งทำหน้าที่ในสนามวิ่งไปดูคลิปด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่กรรมการใน พรีเมียร์ลีก วิ่งไปดูจอที่ข้างสนาม เพราะก่อนหน้านี้องค์กรผู้ตัดสินแมตช์เกมฟุตบอลระดับอาชีพ (พีจีเอ็มโอแอล) บอกว่ากรรมการควรจะพยายามดูจอมอนิเตอร์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจะได้ไม่ทำให้เกมมันชะงักหรือเกิดความล่าช้า เนื่องจากการดูคลิปแต่ละครั้งน่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 90 วินาที
เรื่องดังกล่าวส่งผลให้ตลอดเวลาที่ผ่านมากรรมการในสนามพึ่งแต่คำแนะนำของทีมงานตรวจสอบในห้องตรวจจังหวะการเล่นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม จากการที่มันเกิดความผิดพลาดบ่อยเกินไป ทำให้เหล่าบิ๊กบอสของทีมใน พรีเมียร์ลีก คิดว่ามันควรจะเปลี่ยนไปใช้การดูจอมอนิเตอร์ได้แล้ว ซึ่งการหารือถึงเรื่องดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้
credit : www.siamsport.co.th
เปลี่ยนไปแค่ไหน?สื่อเผยตารางEPLถ้าไม่ใช้VAR
หลังจากที่ วีเออาร์ เป็นประเด็นร้อนใน พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาลนี้ ล่าสุด เดอะ ไทม์ส สื่อของอังกฤษก็ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าเกิดไม่มีการใช้ วีเออาร์ เพื่อเปลี่ยนคำตัดสินแล้วตารางคะแนนจะเปลี่ยนไปแค่ไหน โดยงานนี้ ลิเวอร์พูล ยังเป็นจ่าฝูงเหมือนเดิม แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด อันดับจะแย่ลง
เดอะ ไทม์ส สื่อชั้นนำของประเทศอังกฤษ ลองคำนวณตารางคะแนนของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในกรณีที่ถ้าหากไม่มีการใช้เทคโนโลยี วีเออาร์ โดยที่ ลิเวอร์พูล จะยังเป็นจ่าฝูงอยู่เหมือนเดิม
นี่นับเป็นซีซั่นแรกที่ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเอาระบบ วีเออาร์ มาใช้ ด้วยเป้าหมายว่าจะช่วยทำให้การตัดสินมีความถูกต้องขึ้น ซึ่งจนถึงตอนนี้มันมีการเปลี่ยนคำตัดสินไปแล้ว 26 ครั้ง จาก 100 เกม แต่มีหลายครั้งที่คนมองกันว่าต่อให้ใช้ วีเออาร์ แล้วก็ยังตัดสินพลาดอยู่ ไม่ว่าจะทั้งในกรณีที่เปลี่ยนคำตัดสิน หรือยืนยันคำตัดสินเดิม รวมถึงบางครั้งที่ไม่มีการดูคลิปย้อนหลังด้วยระบบ วีเออาร์ ทั้งที่มันเป็นจังหวะน่ากังขา
ทั้งนี้ การคำนวณของ เดอะ ไทม์ส ดูเฉพาะจังหวะที่มีการเปลี่ยนคำตัดสินจากการใช้ วีเออาร์ เท่านั้น โดยยึดหลักว่าถ้าไม่มีการเปลี่ยนคำตัดสิน มันก็จะทำให้ผลการแข่งขันต่างออกไป ถึงกระนั้น ทุกอย่างของ ลิเวอร์พูล ก็จะยังเป็นเหมือนตารางคะแนนที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ยังเป็นจ่าฝูง, แต้มที่จะยังมี 28 คะแนนเท่าเดิม, ผลต่างประตูได้เสียซึ่งยังอยู่ที่ 15 ลูก
ขณะที่อันดับสอง ในกรณีที่ถ้าไม่มีการใช้ วีเออาร์ จะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหมือนเดิม แต่พวกเขาจะมีคะแนนเพิ่มเป็น 24 แต้ม ไม่ใช่ 22 คะแนนอย่างในปัจจุบัน ส่วน เชลซี จะเปลี่ยนจากอันดับ 4 มาเป็นที่ 3 โดยที่ เลสเตอร์ เจ้าของอันดับ 3 ในโลกของความเป็นจริงจะหล่นไปอยู่ที่ 4 แทน
สำหรับ อาร์เซน่อล ก็จะยังอยู่ที่ 5 เหมือนเดิม แต่จะมีแต้มเพิ่มจาก 16 คะแนน เป็น 17 แต้ม ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงจะมีคะแนนเพิ่มจาก 13 คะแนน เป็น 14 แต้ม แต่อันดับของพวกเขาจะหล่นจากที่ 7 ไปอยู่อันดับ 8 เพราะทีมอื่นๆ จะมีแต้มเพิ่มขึ้นมาจนแซงพวกเขา ขณะที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ จะหล่นจากอันดับ 11 ไปอยู่ที่ 15 โดยคะแนนจะลดจาก 12 แต้ม เหลือ 11 คะแนน
credit : www.siamsport.co.th
เจมส์ มิลเนอร์ "ผมไม่ปลื้มระบบวีเออาร์" กับ 100 เกมพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2019/20 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลในประเทศอังกฤษ อย่างมาก เมื่อมีการตัดสินใจนำระบบเทคโนโลยีผู้ช่วยผู้ตัดสินหรือ "วีเออาร์" ซึ่งนับจากนัดเปิดสนามเกมพรีเมียร์ลีก จนถึงเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ครบ 100 แมตช์แล้ว และระบบนี้มีส่วนต่อผลการแข่งขันมากมายเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้วเกมลูกหนังเมืองผู้ดีได้นำระบบเทคโนโลยีเข้ามาชิมลางก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว โดยการใช้เทคโนโลยี "โกลไลน์" เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ตัดสินว่าลูกฟุตบอลเข้าประตูไปหรือยัง จนกระทั่งปัจจุบันที่ไม่สามารถทนกระแสทัดทานความต้องการของแฟนบอลที่อยากเห็นเกมฟุตบอลที่มีความยุติธรรมที่สุด จึงนำไปสู่การเข้าร่วมใช้ระบบ "วีเออาร์"
สำหรับตอนนี้เกมฟุตบอลลีกสูงสุดเมืองผู้ดีที่มีการนำระบบวีเออาร์เข้ามาใช้แข่งมาครบ 100 แมตช์แล้ว โดยมีหลายเกมที่เปลี่ยนคำตัดสินและผลการแข่งขันไปอย่างสิ้นเชิง และก็มีหลายแมตช์ที่ระบบนี้เกิดข้อกังขาว่ามีความเที่ยงตรงจริงดั่งที่อ้างอิงกันไว้หรือไม่
แน่นอนว่าจาก 100 แมตช์ที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้ ระบบดังกล่าวมีการเปลี่ยนคำตัดสินไปแล้ว 26 ครั้ง ซึ่งเฉลี่ยแล้ว 1ต่อ 3.85 เกม อย่างไรก็ตามไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่กรรมการจะวิ่งไปดูจอมอนิเตอร์ที่อยู่ข้างสนาม เหมือนกับลีกชั้นนำยุโรปอย่าง บุนเดสลีกา, กัลโช่ เซเรีย อา, ลา ลีกา และลีก เอิง
เหตุผลที่พวกเขาทำแบบนี้เพราะต้องการลดความล่าช้าจากการต้องรอคอยคำตัดสินของวีเออาร์ อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าองค์กรผู้ตัดสินอาชีพของอังกฤษ หรือ "พีจีเอ็มโอแอล" (PGMOL) จะมีการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับระบบนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ให้ประตูชัยของ อาร์เซน่อล จากการทำประตูของ โซคราติส ในเกมที่เสมอ คริสตัล พาเลซ 2-2
จังหวะดังกล่าว มาร์ติน แอตกินสัน ท่านเปาหลัก เป่าให้เป็นประตูแต่มีสัญญาณมาจากทีมวีเออาร์ที่ระบุว่า คาลั่ม แชมเบอร์ส ทำฟาวล์ ลูก้า มิลิโวเยวิช ก่อน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ชัดเจนว่าเป็นการทำพลาดหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าความผิดพลาดเกิดจาก แอตกินสัน และวีเออาร์ไม่น่าจะเข้ามาแทรกแซงจังหวะนี้
ขณะเดียวกันในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกชนะ นอริช ซิตี้ 3-1 โดย "ปีศาจแดง" มีโอกาสได้จุดโทษถึง 2 ครั้งจากการตัดสินของวีเออาร์ กระนั้น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ ยังยอมรับว่าจุดโทษแรกที่ เบน ก็อดฟรี่ย์ เบียด แดเนี่ยล เจมส์ ล้มในเขตโทษไม่ควรเป็นจุดโทษ แถมหากเป็นจุดโทษก็ควรยิงใหม่เนื่องจาก ทิม ครูล ออกมาก่อนเส้นตอนที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิง (ไม่เข้า)
เจมส์ มิลเนอร์ แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกที่ไม่ค่อยประทับใจกับเทคโนโลยีนี้ว่า "ผมไม่ใช่แฟนตัวยงเทคโนโลยีนี้ ผมอาจจะเป็นเพราะผมยังเป็นพวกหัวเก่า แต่ผมคิดว่ามีการโต้เถียงกันเยอะมากเกี่ยวกับระบบวีเออาร์ เทคโนโลยีโกลไลน์เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ มันตัดสินทันที แบบขาวกับดำ แต่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้วีเออาร์ เมื่อคุณยังต้องรอความเห็นในการตัดสิน และบรรยากาศมันเสียไปหมด"
"คุณยิงประตูได้ มีเสียงเฮดังสนั่นจากนั้นก็ใช้วีเออาร์ คุณต้องรอว่ามันเป็นประตูไหม ? ผมเคยมีประสบการณ์ตอนยิงจุดโทษเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน (มิลเนอร์ ต้องยิงจุดโทษช้าในเกมที่ชนะ เลสเตอร์) นั่นเป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะพวกเขามีการโต้เถียงกันว่าเป็นจุดโทษไหม"
"ผมคิดว่ามันคงใช้ได้ดีหากเรามีการพัฒนา แต่ฟุตบอลเป็นเกมที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของนักเตะ และของผู้ตัดสินด้วย พวกเขาต้องเจอกับงานยากลำบาก แน่นอนว่าเกมมันไม่ไหลลื่น ถ้าหากวีเออาร์สามารถขจัดข้อโต้เถียงไปได้ผมก็พร้อมหนุนหลังเต็มร้อย แต่เรายังมีการโต้เถียงเรื่อง วีเออาร์ ผมไม่คิดว่ามีนักฟุตบอลที่รู้สึกแตกต่างกับผมมากนัก" มิลเนอร์ ระบุ
100 แมตช์ที่ผ่านมาในพรีเมียร์ลีก แสดงให้เห็นแล้วว่าการใช้ระบบวีเออาร์ ช่วยให้การแข่งขันมีความเที่ยงตรงยุติธรรม แต่ในขณะเดียวกันมีบางจังหวะที่ไม่เคลียร์ก็ส่งผลเสียกับหลายทีมเช่นกัน ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลโหวตส่วนใหญ่จาก "สกายสปอร์ตส" ไม่ปลื้ม "วีเออาร์" อย่างแรง
credit : www.siamsport.co.th
ยังไม่เคลียร์!'มิลเนอร์'รับไม่ใช่แฟน VAR - บ่นทำลายบรรยากาศเกม
เจมส์ มิลเนอร์รองกัปตันทีมลิเวอร์พูลยอมรับว่าเขาไม่ใช่แฟนของเทคโนโลยี VAR เพราะทำให้บรรยากาศของเกมการแข่งขันถูกทำลายไป
เกิดประเด็นถกเถียงกันหลายครั้งในการใช้ VAR ของเกมลูกหนังเมืองผู้ดี โดยทั้งอาร์เซน่อลและเอฟเวอร์ตันต่างมองว่าพวกเขาเสียประโยชน์ระหว่างเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
มิลเนอร์เป็นนักเตะคนล่าสุดที่ออกมาตั้งคำถามถึงการใช้ VAR โดยระบุว่า"ผมไม่ใช่แฟนตัวยงแน่ๆ มันอาจเป็นเรื่องหัวโบราณของผม แต่ผมคิดว่า VAR นั้นมันยังมีข้อถกเถียงกันอย่างมากมาย"
"เทคโนโลยีโกล-ไลน์สุดยอดมัน มันเป็นการตัดสินที่ชัดเจน เป็นขาวหรือดำ แต่มันเป็นเรื่องยากลำบากมากในการใช้ VAR เมื่อคุณยังมีความคิดเห็นต่อการตัดสินใจต่างๆ และบรรยากาศมันโดนทำลายไป"
"คุณยิงได้ มันทำให้เสียงดังกระหึ่มขึ้นมาจากนั้นมันจบลงด้วย VAR คุณต้องรอแล้วดูว่ามันเป็นประตูหรือไม่?"
"ผมเคยมีประสบการณ์การยิงจุดโทษเมื่อสัปดาห์ก่อน (ชนะเลสเตอร์ 2-1) มันคือประสบการณ์ใหม่เพราะพวกเขาต่างถกเถียงกันว่ามันจะเป็นจุดโทษหรือไม่"
"ผมคิดว่ามันก็น่าใช้หากเราสามารถพัฒนามันได้อีก แต่ฟุตบอลคือเกมของความผิดพลาดของมนุษย์รวมถึงกรรมการด้วยเช่นกัน"
"พวกเขามีงานที่ยากลำบากและผมอยากทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้น แต่ก็ต้องไม่ไปขวางความลื่นไหลของเกมการแข่งขัน"
"หาก VAR ไม่ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงผมก็จะสนับสนุนมันเต็มร้อย แต่เรายังมีการพูดถึงเรื่อง VAR กันอยู่ ผมไม่คิดว่าจะมีนักเตะมากมายที่คิด
ต่างออกไปจากนี้นะ"
credit ; www.soccersuck.com
VAR ปัญหาเยอะ!บิ๊ก EPL เตรียมให้เปาดูจอ & เปลี่ยนไปแค่ไหน?สื่อเผยตาราง EPL ถ้าไม่ใช้ VAR & มิลเนอร์ "ผมไม่ปลื้มระบบ VAR"
เดอะ ไทม์ส สื่อของอังกฤษ ตีข่าว เหล่าประธานของทีมใน พรีเมียร์ลีก จะหารือเรื่องการเปลี่ยนให้กรรมการไปตรวจสอบจังหวะปัญหาทางจอมอนิเตอร์ หลังจากช่วงที่ผ่านมา วีเออาร์ ทำให้เกิดประเด็นปัญหาเยอะพอตัว
บรรดาประธานของสโมสรในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะหารือเพื่อตรวจสอบเรื่องการใช้ วีเออาร์ ในการช่วยตัดสินตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยที่พวกเขากำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนนโยบายให้ผู้ตัดสินที่ 1 หรือกรรมการหลักในสนาม ต้องไปดูคลิปการเล่นด้วยตัวเองทางจอมอนิเตอร์ที่ข้างสนาม ตามรายงานของ เดอะ ไทม์ส สื่อชั้นนำของเมืองผู้ดี
ฤดูกาลนี้ถือเป็นซีซั่นแรกที่ พรีเมียร์ลีก เอาเทคโนโลยี วีเออาร์ มาใช้ เพื่อที่จะให้เกิดการตัดสินที่ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งมันก็มีถึง 100 เกมที่ใช้ระบบ วีเออาร์ ไปแล้ว และมีการเปลี่ยนคำตัดสินไป 26 ครั้ง อย่างไรก็ตาม มันก็มีการถกเถียงกันว่ามีการตัดสินที่ผิดพลาดอยู่ดี ไม่ว่าจะทั้งในจังหวะที่เปลี่ยนคำตัดสิน หรือการยืนกรานตามคำตัดสินเดิม รวมถึงประเด็นที่ว่าบางครั้ง วีเออาร์ ไม่คัดค้านคำตัดสินทั้งที่มันเป็นจังหวะปัญหา
ที่จริงแล้วหนึ่งในวิธีตรวจสอบคลิปด้วยระบบ วีเออาร์ คือการให้กรรมการในสนามไปดูคลิปด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ตัดสินใจด้วยตัวเองได้ง่ายขึ้นว่าจะเปลี่ยนคำตัดสินดีรึเปล่า ซึ่งใน พรีเมียร์ลีก มันก็มีการติดตั้งจอเอาไว้ที่ข้างสนามเพื่อให้เชิ้ตดำซึ่งทำหน้าที่ในสนามวิ่งไปดูคลิปด้วยตัวเองเหมือนกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่กรรมการใน พรีเมียร์ลีก วิ่งไปดูจอที่ข้างสนาม เพราะก่อนหน้านี้องค์กรผู้ตัดสินแมตช์เกมฟุตบอลระดับอาชีพ (พีจีเอ็มโอแอล) บอกว่ากรรมการควรจะพยายามดูจอมอนิเตอร์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจะได้ไม่ทำให้เกมมันชะงักหรือเกิดความล่าช้า เนื่องจากการดูคลิปแต่ละครั้งน่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 90 วินาที
เรื่องดังกล่าวส่งผลให้ตลอดเวลาที่ผ่านมากรรมการในสนามพึ่งแต่คำแนะนำของทีมงานตรวจสอบในห้องตรวจจังหวะการเล่นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม จากการที่มันเกิดความผิดพลาดบ่อยเกินไป ทำให้เหล่าบิ๊กบอสของทีมใน พรีเมียร์ลีก คิดว่ามันควรจะเปลี่ยนไปใช้การดูจอมอนิเตอร์ได้แล้ว ซึ่งการหารือถึงเรื่องดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้
credit : www.siamsport.co.th
เปลี่ยนไปแค่ไหน?สื่อเผยตารางEPLถ้าไม่ใช้VAR
หลังจากที่ วีเออาร์ เป็นประเด็นร้อนใน พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาลนี้ ล่าสุด เดอะ ไทม์ส สื่อของอังกฤษก็ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าเกิดไม่มีการใช้ วีเออาร์ เพื่อเปลี่ยนคำตัดสินแล้วตารางคะแนนจะเปลี่ยนไปแค่ไหน โดยงานนี้ ลิเวอร์พูล ยังเป็นจ่าฝูงเหมือนเดิม แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด อันดับจะแย่ลง
เดอะ ไทม์ส สื่อชั้นนำของประเทศอังกฤษ ลองคำนวณตารางคะแนนของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในกรณีที่ถ้าหากไม่มีการใช้เทคโนโลยี วีเออาร์ โดยที่ ลิเวอร์พูล จะยังเป็นจ่าฝูงอยู่เหมือนเดิม
นี่นับเป็นซีซั่นแรกที่ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเอาระบบ วีเออาร์ มาใช้ ด้วยเป้าหมายว่าจะช่วยทำให้การตัดสินมีความถูกต้องขึ้น ซึ่งจนถึงตอนนี้มันมีการเปลี่ยนคำตัดสินไปแล้ว 26 ครั้ง จาก 100 เกม แต่มีหลายครั้งที่คนมองกันว่าต่อให้ใช้ วีเออาร์ แล้วก็ยังตัดสินพลาดอยู่ ไม่ว่าจะทั้งในกรณีที่เปลี่ยนคำตัดสิน หรือยืนยันคำตัดสินเดิม รวมถึงบางครั้งที่ไม่มีการดูคลิปย้อนหลังด้วยระบบ วีเออาร์ ทั้งที่มันเป็นจังหวะน่ากังขา
ทั้งนี้ การคำนวณของ เดอะ ไทม์ส ดูเฉพาะจังหวะที่มีการเปลี่ยนคำตัดสินจากการใช้ วีเออาร์ เท่านั้น โดยยึดหลักว่าถ้าไม่มีการเปลี่ยนคำตัดสิน มันก็จะทำให้ผลการแข่งขันต่างออกไป ถึงกระนั้น ทุกอย่างของ ลิเวอร์พูล ก็จะยังเป็นเหมือนตารางคะแนนที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ยังเป็นจ่าฝูง, แต้มที่จะยังมี 28 คะแนนเท่าเดิม, ผลต่างประตูได้เสียซึ่งยังอยู่ที่ 15 ลูก
ขณะที่อันดับสอง ในกรณีที่ถ้าไม่มีการใช้ วีเออาร์ จะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหมือนเดิม แต่พวกเขาจะมีคะแนนเพิ่มเป็น 24 แต้ม ไม่ใช่ 22 คะแนนอย่างในปัจจุบัน ส่วน เชลซี จะเปลี่ยนจากอันดับ 4 มาเป็นที่ 3 โดยที่ เลสเตอร์ เจ้าของอันดับ 3 ในโลกของความเป็นจริงจะหล่นไปอยู่ที่ 4 แทน
สำหรับ อาร์เซน่อล ก็จะยังอยู่ที่ 5 เหมือนเดิม แต่จะมีแต้มเพิ่มจาก 16 คะแนน เป็น 17 แต้ม ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงจะมีคะแนนเพิ่มจาก 13 คะแนน เป็น 14 แต้ม แต่อันดับของพวกเขาจะหล่นจากที่ 7 ไปอยู่อันดับ 8 เพราะทีมอื่นๆ จะมีแต้มเพิ่มขึ้นมาจนแซงพวกเขา ขณะที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ จะหล่นจากอันดับ 11 ไปอยู่ที่ 15 โดยคะแนนจะลดจาก 12 แต้ม เหลือ 11 คะแนน
credit : www.siamsport.co.th
เจมส์ มิลเนอร์ "ผมไม่ปลื้มระบบวีเออาร์" กับ 100 เกมพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2019/20 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลในประเทศอังกฤษ อย่างมาก เมื่อมีการตัดสินใจนำระบบเทคโนโลยีผู้ช่วยผู้ตัดสินหรือ "วีเออาร์" ซึ่งนับจากนัดเปิดสนามเกมพรีเมียร์ลีก จนถึงเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ครบ 100 แมตช์แล้ว และระบบนี้มีส่วนต่อผลการแข่งขันมากมายเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้วเกมลูกหนังเมืองผู้ดีได้นำระบบเทคโนโลยีเข้ามาชิมลางก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว โดยการใช้เทคโนโลยี "โกลไลน์" เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ตัดสินว่าลูกฟุตบอลเข้าประตูไปหรือยัง จนกระทั่งปัจจุบันที่ไม่สามารถทนกระแสทัดทานความต้องการของแฟนบอลที่อยากเห็นเกมฟุตบอลที่มีความยุติธรรมที่สุด จึงนำไปสู่การเข้าร่วมใช้ระบบ "วีเออาร์"
สำหรับตอนนี้เกมฟุตบอลลีกสูงสุดเมืองผู้ดีที่มีการนำระบบวีเออาร์เข้ามาใช้แข่งมาครบ 100 แมตช์แล้ว โดยมีหลายเกมที่เปลี่ยนคำตัดสินและผลการแข่งขันไปอย่างสิ้นเชิง และก็มีหลายแมตช์ที่ระบบนี้เกิดข้อกังขาว่ามีความเที่ยงตรงจริงดั่งที่อ้างอิงกันไว้หรือไม่
แน่นอนว่าจาก 100 แมตช์ที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้ ระบบดังกล่าวมีการเปลี่ยนคำตัดสินไปแล้ว 26 ครั้ง ซึ่งเฉลี่ยแล้ว 1ต่อ 3.85 เกม อย่างไรก็ตามไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่กรรมการจะวิ่งไปดูจอมอนิเตอร์ที่อยู่ข้างสนาม เหมือนกับลีกชั้นนำยุโรปอย่าง บุนเดสลีกา, กัลโช่ เซเรีย อา, ลา ลีกา และลีก เอิง
เหตุผลที่พวกเขาทำแบบนี้เพราะต้องการลดความล่าช้าจากการต้องรอคอยคำตัดสินของวีเออาร์ อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าองค์กรผู้ตัดสินอาชีพของอังกฤษ หรือ "พีจีเอ็มโอแอล" (PGMOL) จะมีการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับระบบนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ให้ประตูชัยของ อาร์เซน่อล จากการทำประตูของ โซคราติส ในเกมที่เสมอ คริสตัล พาเลซ 2-2
จังหวะดังกล่าว มาร์ติน แอตกินสัน ท่านเปาหลัก เป่าให้เป็นประตูแต่มีสัญญาณมาจากทีมวีเออาร์ที่ระบุว่า คาลั่ม แชมเบอร์ส ทำฟาวล์ ลูก้า มิลิโวเยวิช ก่อน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ชัดเจนว่าเป็นการทำพลาดหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าความผิดพลาดเกิดจาก แอตกินสัน และวีเออาร์ไม่น่าจะเข้ามาแทรกแซงจังหวะนี้
ขณะเดียวกันในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกชนะ นอริช ซิตี้ 3-1 โดย "ปีศาจแดง" มีโอกาสได้จุดโทษถึง 2 ครั้งจากการตัดสินของวีเออาร์ กระนั้น โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ ยังยอมรับว่าจุดโทษแรกที่ เบน ก็อดฟรี่ย์ เบียด แดเนี่ยล เจมส์ ล้มในเขตโทษไม่ควรเป็นจุดโทษ แถมหากเป็นจุดโทษก็ควรยิงใหม่เนื่องจาก ทิม ครูล ออกมาก่อนเส้นตอนที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิง (ไม่เข้า)
เจมส์ มิลเนอร์ แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกที่ไม่ค่อยประทับใจกับเทคโนโลยีนี้ว่า "ผมไม่ใช่แฟนตัวยงเทคโนโลยีนี้ ผมอาจจะเป็นเพราะผมยังเป็นพวกหัวเก่า แต่ผมคิดว่ามีการโต้เถียงกันเยอะมากเกี่ยวกับระบบวีเออาร์ เทคโนโลยีโกลไลน์เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ มันตัดสินทันที แบบขาวกับดำ แต่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้วีเออาร์ เมื่อคุณยังต้องรอความเห็นในการตัดสิน และบรรยากาศมันเสียไปหมด"
"คุณยิงประตูได้ มีเสียงเฮดังสนั่นจากนั้นก็ใช้วีเออาร์ คุณต้องรอว่ามันเป็นประตูไหม ? ผมเคยมีประสบการณ์ตอนยิงจุดโทษเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน (มิลเนอร์ ต้องยิงจุดโทษช้าในเกมที่ชนะ เลสเตอร์) นั่นเป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะพวกเขามีการโต้เถียงกันว่าเป็นจุดโทษไหม"
"ผมคิดว่ามันคงใช้ได้ดีหากเรามีการพัฒนา แต่ฟุตบอลเป็นเกมที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของนักเตะ และของผู้ตัดสินด้วย พวกเขาต้องเจอกับงานยากลำบาก แน่นอนว่าเกมมันไม่ไหลลื่น ถ้าหากวีเออาร์สามารถขจัดข้อโต้เถียงไปได้ผมก็พร้อมหนุนหลังเต็มร้อย แต่เรายังมีการโต้เถียงเรื่อง วีเออาร์ ผมไม่คิดว่ามีนักฟุตบอลที่รู้สึกแตกต่างกับผมมากนัก" มิลเนอร์ ระบุ
100 แมตช์ที่ผ่านมาในพรีเมียร์ลีก แสดงให้เห็นแล้วว่าการใช้ระบบวีเออาร์ ช่วยให้การแข่งขันมีความเที่ยงตรงยุติธรรม แต่ในขณะเดียวกันมีบางจังหวะที่ไม่เคลียร์ก็ส่งผลเสียกับหลายทีมเช่นกัน ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลโหวตส่วนใหญ่จาก "สกายสปอร์ตส" ไม่ปลื้ม "วีเออาร์" อย่างแรง
credit : www.siamsport.co.th
ยังไม่เคลียร์!'มิลเนอร์'รับไม่ใช่แฟน VAR - บ่นทำลายบรรยากาศเกม
เจมส์ มิลเนอร์รองกัปตันทีมลิเวอร์พูลยอมรับว่าเขาไม่ใช่แฟนของเทคโนโลยี VAR เพราะทำให้บรรยากาศของเกมการแข่งขันถูกทำลายไป
เกิดประเด็นถกเถียงกันหลายครั้งในการใช้ VAR ของเกมลูกหนังเมืองผู้ดี โดยทั้งอาร์เซน่อลและเอฟเวอร์ตันต่างมองว่าพวกเขาเสียประโยชน์ระหว่างเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
มิลเนอร์เป็นนักเตะคนล่าสุดที่ออกมาตั้งคำถามถึงการใช้ VAR โดยระบุว่า"ผมไม่ใช่แฟนตัวยงแน่ๆ มันอาจเป็นเรื่องหัวโบราณของผม แต่ผมคิดว่า VAR นั้นมันยังมีข้อถกเถียงกันอย่างมากมาย"
"เทคโนโลยีโกล-ไลน์สุดยอดมัน มันเป็นการตัดสินที่ชัดเจน เป็นขาวหรือดำ แต่มันเป็นเรื่องยากลำบากมากในการใช้ VAR เมื่อคุณยังมีความคิดเห็นต่อการตัดสินใจต่างๆ และบรรยากาศมันโดนทำลายไป"
"คุณยิงได้ มันทำให้เสียงดังกระหึ่มขึ้นมาจากนั้นมันจบลงด้วย VAR คุณต้องรอแล้วดูว่ามันเป็นประตูหรือไม่?"
"ผมเคยมีประสบการณ์การยิงจุดโทษเมื่อสัปดาห์ก่อน (ชนะเลสเตอร์ 2-1) มันคือประสบการณ์ใหม่เพราะพวกเขาต่างถกเถียงกันว่ามันจะเป็นจุดโทษหรือไม่"
"ผมคิดว่ามันก็น่าใช้หากเราสามารถพัฒนามันได้อีก แต่ฟุตบอลคือเกมของความผิดพลาดของมนุษย์รวมถึงกรรมการด้วยเช่นกัน"
"พวกเขามีงานที่ยากลำบากและผมอยากทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้น แต่ก็ต้องไม่ไปขวางความลื่นไหลของเกมการแข่งขัน"
"หาก VAR ไม่ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงผมก็จะสนับสนุนมันเต็มร้อย แต่เรายังมีการพูดถึงเรื่อง VAR กันอยู่ ผมไม่คิดว่าจะมีนักเตะมากมายที่คิด
ต่างออกไปจากนี้นะ"
credit ; www.soccersuck.com