JJNY : 'วีระ' เปิดบันทึกลับช่วงติดคุกเขมรฯ/"ชัชชาติ" ชวนอ่านหนังสือ AI Superpowersฯ/ประมงสงขลาห่วงปมGSPกระทบธุรกิจ

'วีระ' เปิดบันทึกลับช่วงติดคุกเขมร ยัน คสช.ไม่ใช่คนเจรจาให้ออกจากคุกตามที่กล่าวอ้าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_1731015

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค.62 นายวีระ สมความคิด ได้โพสต์ข้อความเหตุการณ์ตอนติดคุกที่กัมพูชา จนกระทั่งถูกปล่อยตัวในระยะเวลาต่อมาว่า การถูกปล่อยตัวดังกล่าวไม่ได้เกิด คสช.เจรจากับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแต่อย่างใด โดยรายละเอียดคือ

“เช้าวันนี้ ได้รับข่าวดีมีนักโทษเขมรคนหนึ่ง เป็นอดีตนายพลโท ซึ่งเพิ่งพ้นโทษจากคุกเปรย์ซอว์ เดินทางมาเมืองไทย และติดต่อผ่านนายตำรวจคนหนึ่ง ให้ช่วยติดต่อผม เพื่อให้ไปรับเศษกระดาษที่ผมแอบบันทึกช่วงอยู่ในคุกเขมร แล้วฝากนักโทษเขมรคนนี้เอาไว้

ที่ผมต้องแอบซ่อนบันทึกช่วงอยู่ในคุกเขมร เนื่องจากผมเป็นนักโทษเพียงคนเดียวที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก ฮุนเซนสั่งห้ามผมมีดินสอ กระดาษ ไม่ให้จด ไม่ให้บันทึกอะไรทั้งสิ้น และที่สำคัญ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้มีหนังสือ ไม่ให้อ่านหนังสือใดๆ ทั้งสิ้น ต้องการทรมานผมทุกวิถีทาง ไม่ให้ได้ผ่อนคลาย จะได้เครียดแล้วเน่าตายในคุก ตามที่นายพลไทยที่ถีบผมเข้าคุกเขมรต้องการ

ดังนั้น ผมจึงต้องแอบซ่อนดินสอและเศษกระดาษ เพื่อบันทึกเรื่องสำคัญเอาไว้ และนี่คือหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า คสช.ไม่ใช่คนที่เจรจากับฮุนเซนจนฮุนเซนยอมปล่อยตัวผม เรื่องนี้ได้บันทึกไว้ก่อนได้รับการปล่อยตัว คือ เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2557 ในวันที่ญาติผมไปเยี่ยมที่เรือนจำเป็นประจำทุกวันศุกร์ ในวันนั้นนอกจากคุณขวัญภรรยาผมแล้ว ก็มีนายนที วิชิตสรสาตร เลขานุการเอกสถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ และพันเอกคมิก ไม่เศร้า ผู้ช่วยทูตทหารบกประจำกรุงพนมเปญ ไปพบผมเพื่อยื่นข้อเสนอให้ผมต้องปฏิบัติตามหากได้กลับเมืองไทย คือทาง คสช. ห้ามไม่ให้ผมไปเคลื่อนไหวหรือไปตรวจสอบการรุกล้ำเขตแดนของทหารเขมรอีก ซึ่งผมตอบว่า ประชาชนจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอธิปไตยตามแนวชายแดน หากทหารซึ่งมีอำนาจหน้าที่ได้ทำหน้าที่ดูแลได้อย่างดีแล้ว ผมฝากให้ไปบอกหัวหน้า คสช. ตามนี้ พันเอกคมิก บอกว่า การช่วยเหลือผม คสช. ไม่รับปากว่าจะช่วยได้เมื่อใด อาจต้องใช้เวลาอีกเป็นปีหรืออีกหลายปี วิธีที่เป็นไปได้ที่สุดคือ การโอนตัวให้ผมกลับมารับโทษต่อที่คุกเมืองไทย แล้วค่อยหาวิธีช่วยให้ผมออกจากคุกเมืองไทยต่อไป ทั้งหมดนี้คือใจความสำคัญที่ได้พูดคุยกันในวันนั้น ในเวลาเพียง 20 นาที (คนทั้ง 3 ยังมีชีวิตอยู่ สามารถยืนยันความจริงนี้ได้)

ต่อมา ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 นายฮุนเซน ได้อ้างกฤษฎีกาของกษัตริย์เขมรปล่อยตัวผม โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน คณะรัฐบาลของเขมรก็ไม่มีใครล่วงรู้ และที่สำคัญ คสช. ก็ไม่เคยรู้ล่วงหน้ามาก่อน ดังนั้น ที่ประยุทธ์และประวิตรมาอ้างว่าเป็นผู้ที่ได้ช่วยผมจึงไม่เป็นความจริง คสช. อาจกำลังหาวิธีเจรจาเพื่อช่วยเหลือผม แต่ก็มีคนอื่นประเทศอื่นยื่นมือเข้าช่วยบีบ ช่วยเจรจาจนฮุนเซนยอมปล่อยตัวผมออกมาได้ก่อน

ขอให้ท่านอ่านบันทึกของผมที่ได้บันทึกในคุกเขมรไว้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2557 สิ่งที่ผมได้คาดการณ์เอาไว้เป็นความจริงทั้งหมด ทหารที่มีอำนาจล้วนเข้ามาหาผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น

ขอบคุณ พลโท…เพื่อนนักโทษเขมร ที่ยังไม่ลืมและรักษาคำมั่นสัญญา นำบันทึกลับของผมมาส่งให้ถึงมือที่เมืองไทยในวันนี้”
 
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2722678351185212&id=100003292227570



"ชัชชาติ" ชวนอ่านหนังสือ AI Superpowers ระบุจะทำให้เข้าใจอนาคตดีขึ้น
https://www.matichon.co.th/bullet-news-today/news_1731104
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับหนังสือ AI Superpowers ที่เขียนโดย Dr.Kai-Fu Lee โดยระบุว่า
 
“ผมเพิ่งอ่านหนังสือ AI Superpowers ที่เขียนโดย Dr.Kai-Fu Lee จบ ด้วยความรู้สึกที่หนักอื้งในใจว่า แล้วอนาคตของเราจะแข่งขันกับโลกอย่างไร
Dr. Kai-Fu Lee เป็นคนไต้หวันที่ไปเรียนหนังสือที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 11 ปี เรียนจบปริญญาเอกด้าน AI (Artificial Intelligence) จากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon เคยทำงานที่ Apple, SGI, Microsoft เป็นประธานบริษัท Google China และ ปัจจุบันเป็นประธานและ CEO ของ Sinovation Ventures บริษัทลงทุนที่เน้นการพัฒนาบริษัทเทคโนโลยีแห่งอนาคตของจีน น่าจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลด้าน AI ลำดับต้นๆของจีน Dr. Kai-Fu Lee อธิบายถึง AI ในประเด็นสำคัญดังนี้
 
– การพัฒนา AI ว่าในปัจจุบันได้ผ่านขั้นตอนวิจัยที่ยากและเป็นนามธรรม (Abstract) ไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการที่ผู้ประกอบการต้องนำ Algorithms มาปรับใช้กับธุรกิจ (ในอเมริกาและจีน 7 บริษัทยักษ์ใหญ่ในยุค AI: Google, Facebook, Amazon, Microsoft, Baidu, Alibaba และ Tencent ได้เดินหน้าใช้ AI กันอย่างเต็มตัวแล้ว)
 
– เปลี่ยนจาก The Age of Discovery มาเป็น The Age of Implementation คือ เปลี่ยนจากยุคของการค้นคว้าวิจัย มาเป็น ยุคแห่งการประยุกต์ใช้และลงมือทำ (ทำให้ต้องการ AI Engineer มากขึ้น)
 
– เปลี่ยนจาก The Age of Expertise มาเป็น The Age of Data คือเปลี่ยนจากยุคของผู้เชี่ยวชาญมาสู่ยุคของ Big Data (ทำให้ข้อมูลมีความสำคัญมาก)
 
– ปัจจัยของความสำเร็จของ AI มีสามอย่างคือ

1) Big Data
2) พลังในการคำนวณ (Computing Power)
3) AI Algorithm Engineer
 
– อเมริกาและจีน จะแข่งขันกันในการเป็นผู้นำด้าน AI ของโลก โดยจีนมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการกำหนดนโยบายอย่างจริงจังจากทางรัฐบาลและภาคเอกชนมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมาก
 
– เนื่องจาก AI ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก ดังนั้นการพัฒนาในระยะยาวจะนำไปสู่รูปแบบของการผูกขาด (Monopoly) เพราะยิ่งมีข้อมูลมากยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขยายข้อมูลได้มากอีก ทำให้ผู้เล่นรายใหม่แข่งขันได้ยาก มีการคาดการณ์ว่าในปี 2030 AI จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจโลกถึง 15.7 ล้านล้านเหรียญ แต่ 70% ของมูลค่านี้ จะตกไปอยู่กับจีนและอเมริกา ประเทศที่กำลังพัฒนาจะมีความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง จุดแข็งเดิมเรื่องแรงงานราคาถูกจะถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรฉลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI
 
– ในอนาคต AI จะทำให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น งานในสำนักงานจะถูกทดแทนด้วย Algorithm ของ AI รวดเร็วกว่าแรงงานในโรงงานที่จะถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ เพราะ AIgorithm ที่จะทำบัญชี คำนวณภาษี วิเคราะห์กฎหมาย ด้วย AI นั้นมีอยู่แล้วและสามารถส่งให้คนใช้ทั่วโลกได้ในทันทีผ่าน Internet โดยไม่เสียค่าส่ง ในขณะที่หุ่นยนต์ต้องใช้เวลาในการผลิต การค้นคว้า โดยเฉพาะกับงานที่มีความละเอียดและไม่แน่นอน เช่นการดูแลคนป่วย การซื้อ จัดส่ง ทดลองใช้ ทำได้ยากกว่า
 
อ่านที่ Dr.Kai-Fu Lee อธิบายแล้ว จะเห็นว่า บ้านเรายังขาดปัจจัยสำคัญในการนำ AI ไปประยุกต์ใช้สองส่วนคือ คือ Big Data กับ AI Algorithm Engineer รวมไปถึงแนวนโบายที่ชัดเจนในการพัฒนา AI ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเตรียมตัวสำหรับอนาคต
 
มีเรื่องนึงที่ Dr.Kai-Fu Lee ได้เขียนไว้ถึงโลกของ “OMO” หรือ Online-Merge-Offline โดยได้อธิบายว่า AI ทำให้การเชื่อมโยงระหว่าง Online กับ Offline ไร้รอยต่อ ผ่านคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือต่างๆ
 
เรื่องนี้ทำให้ผมวาบความคิดนึงขึ้นมาคือ จริงๆแล้ว ชีวิตเรายังขาดของ Offline ไม่ได้ ของส่วนใหญ่ที่เราใช้งาน หรือ จ่ายเงินซื้อมานั้น มันอยู่ในรูปแบบ Offline หรือ เป็น Analog เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า การเดินทาง ที่อยู่อาศัย หรือ ปัจจัยสี่ทั้งหมด 
 
ส่วน ระบบ Online หรือ Digital นั้น ส่วนใหญ่คือการปรับปรุงขบวนการผลิตของ Offline ให้ดีขึ้น หรือ ช่วยในการค้นหาของที่เราจะบริโภค Offline เช่น การใช้ App หาร้านและสั่งก๋วยเตี๋ยวหมูมาทาน การกินก๋วยเตี๋ยวหมูเป็น Offline แต่การหาและสั่งเป็น Online ถ้าไม่มีคนทำก๋วยเตี๋ยวหมู ระบบ Online ก็ไม่มีความหมาย
 
ผมคิดว่าปัจจัยของการอยู่รอดในอนาคต ของประเทศไทย อาจจะไม่ใช่การไปผลิต AI หรือ หุ่นยนต์ แข่งกับจีนหรืออเมริกา (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้) แต่เราควร เน้นจุดแข็งของเราที่เป็นส่วน Offline โดยใช้ระบบ Online หรือ เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการพัฒนาสินค้า Offline หรือ ตัว Product ให้ดีขึ้น มีความแตกต่างมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดแข็งของบ้านเรา เราต้องเอาเทคโนโลยีต่างๆมาปรับปรุง Supply Chain ของการท่องเที่ยวให้มีความสะดวก ปลอดภัย รวดเร็ว เอา AI มาช่วยในการวิเคราะห์ตลาด หาลูกค้า เอาระบบ Online มาพัฒนาสินค้า Offline ให้เข้มแข็งขึ้น
หนังสือเล่มนี้ดีครับ ช่วยให้เราเข้าใจอนาคตได้ดีขึ้น มีโอกาสลองหามาอ่านกันนะครับ”


https://www.facebook.com/chadchartofficial/posts/2659153947478774
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่