ในบ้านเราต้องยอมรับว่า กองทุนรวมเป็นเจ้าตลาด เป็นผู้เล่นสำคัญที่กำหนดทิศทางตลาดมาโดยตลอด เนื่องจากกองทุนรวมในบ้านเรามีขนาดใหญ่มาก ในระดับหลายแสนล้านบาท ไม่นับกองทุนประกันสังคม และบริษัทประกันชีวิต ผู้เล่นที่มีจำนวนเงินมากกว่า ย่อมสามารถกำหนดทิศทางตลาดได้เสมอ ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับหลายประเทศในยุโรป อเมริกา หรือ ตลาดญี่ปุ่นเอง ในภาษาทางการเงิน ภาวะแบบนี้ มักเรียกกันว่า ตลาดหุ้นไทยได้เข้าสู่ภาวะ strong market แล้ว ตามทฤษฎี efficient market แต่หากพิจารณาตามทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ จะพบว่า ตลาดมีแนวโน้มของการเกิด irrational exuberance ได้มากกว่าในอดีต
ปัจจุบัน กองทุนรวมในบ้านเรา ใช้โรบอทในการเทรดหุ้นในระยะสั้นจำนวนมาก แม้ไม่มีรายงานชัดเจนจากการใช้ แต่คาดว่า ตลาดบ้านเราได้เข้าสู่ภาวะเติบโตของโรบอทไปเรียบร้อยแล้ว กล่าวคือ ในราว 2 ปีที่แล้ว ในตลาดหุ้นไทย ผมมีการบันทึกตัวเลขของการใช้โรบอทเทรดจำนวน 25% จากจำนวนมูลค่าเทรดทั้งหมด ในขณะที่ในปีนี้ คาดว่าจำนวนโรบอทเทรด จะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว หรือมากกว่า 50% ด้วยซ้ำไป เนื่องจาก จำนวนผู้เล่นรายย่อยในบ้านเราหดหายไปเป็นจำนวนมาก
จากการคุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้จัดการกองทุนคนหนึ่ง พูดตรงกันว่า ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการเทรดหุ้นเหมือนสมัยก่อนแล้ว ผู้จัดการกองทุนกล่าวในร้านกาแฟสตารบัคอย่างสบายใจระหว่าวคุยกับผมในช่วงเวลาของการเทรด พร้อมยังกล่าวอีกว่า ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคัดเลือกตัวหุ้น การซื้อหุ้น การขายหุ้น การประคองหุ้น การขายหุ้นตัวหนึ่งไปซื้อหุ้นอีกตัวหนึ่ง ล้วนเป็นวิจารญาณของโรบอทเองทั้งสิ้น โดยโรบอทจะมี interactive แบบ real-time responsive เพื่อมีเป้าหมายเดียว คือ การเอาส่วนต่างกำไรจากตลาดให้ได้มากที่สุดไม่ว่าจะสภาวะไหน เพราะส่วนต่างราคาหุ้น จะเป็นตัวชี้วัดของ performance ของกองทุนได้มากกว่าเงินปันผล อย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ เหตุผลที่ว่า ทำไม บรรดากองทุนรวมจึงขนเอาโรบอทรุ่นใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาใช้ในการต่อสู้ห้ำหั่นกันในตลาดไทยอย่างบ้าเลือด และมีแนวโน้มด้วยว่า โรบอทรุ่นใหม่ๆ มันได้แสดงความฉลาดในการเรียนรู้ตลาดไทย ของมันออกมาได้เป็นที่ประจักษ์เหนือมนุษย์แล้ว
เราต้องยอมรับว่า สภาวะตลาดหุ้นไทยเองในปัจจุบัน มีการเติบโตที่จำกัด เนื่องจาก ผลประกอบการของตัวหุ้นเองที่แย่ลงเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การคาดหวังส่วนต่างราคามากๆแบบสมัยก่อน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ผลตอบแทนโดยรวมจึงมาจาก ผลตอบแทนที่มาจากเงินปันผล หรือ dividend yield เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา หรือ capital gain นั้น ได้หดหายไปพร้อมกับมูลค่าหุ้นที่ลดน้อยลงเนื่องมาจากการเกิด disruptive technology ในหลายภาคธุรกิจ การเติบโตของส่วนต่างราคาที่ลดน้อยลงเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของโลกมาก่อนหน้านี้ ดังที่ผมได้อ่านหนังสือของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังที่ได้ทำนายเรื่องนี้ล่วงหน้ามานานถึง 10 ปี เพราะคาดว่า ผลตอบแทนโดยรวมที่มาจากเงินปันผลและส่วนต่างในตลาดหุ้นไทย ไม่ควรเกินกว่า 8% ในระยะยาว
คำถามที่ว่า ทำไมตลาดหุ้นไทยในช่วงหลัง จึงมีพฤติกรรมไม่เหมือนตลาดฝั่งอเมริกา เนื่องมาจาก ตลาดฝั่งนั้น เป็นผู้สร้าง technology ในขณะที่ตลาดของฝั่งเราเป็นผู้รับเทคโนโลยี ดังนั้น เทคโนโลยีย่อมมาทำลายธุรกิจเดิมในฝั่งบ้านเรา และนั่นคือ เหตุผลที่ว่า ทำไม ตลาดหุ้นไทยจึงมีพฤติกรรมไม่เหมือนตลาดหุ้นดาวโจนส์อีกต่อไปแล้ว ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วย ดังนั้น การติดตามตลาดหุ้นดาวโจนส์เพื่อหวังผลมาทำนายตลาดหุ้นไทยนั้น บอกตามตรงว่า หมดสมัยแล้ว
อีกเรื่องที่ผมอยากพูดก็คือ technical failure ในยุคของตลาดในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างถาวร ตลาดหุ้นไทยไม่อาจใช้ technical ในระยะสั้นในการทำนายตลาดได้อีกแล้ว ซึ่งปรากฎการณ์นี้เรียกว่า market occupying ดังนั้น คุณจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเซียนหุ้นคนไหนที่อ่านกราฟอย่างไร ผลก็มักจะมีความผิดพลาดได้เสมอ และผิดพลาดบ่อยครั้งด้วยซ้ำไป
ด้วยความปรารถนาดี
พี่เอ เม่าสตอรี่
อย่าถามเลยว่า วันนี้หรือพรุ่งนี้ หุ้นจะขึ้นหรือลง เพราะแม้แต่ โรบอทเองมันยังไม่รู้เลย !!!
ปัจจุบัน กองทุนรวมในบ้านเรา ใช้โรบอทในการเทรดหุ้นในระยะสั้นจำนวนมาก แม้ไม่มีรายงานชัดเจนจากการใช้ แต่คาดว่า ตลาดบ้านเราได้เข้าสู่ภาวะเติบโตของโรบอทไปเรียบร้อยแล้ว กล่าวคือ ในราว 2 ปีที่แล้ว ในตลาดหุ้นไทย ผมมีการบันทึกตัวเลขของการใช้โรบอทเทรดจำนวน 25% จากจำนวนมูลค่าเทรดทั้งหมด ในขณะที่ในปีนี้ คาดว่าจำนวนโรบอทเทรด จะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว หรือมากกว่า 50% ด้วยซ้ำไป เนื่องจาก จำนวนผู้เล่นรายย่อยในบ้านเราหดหายไปเป็นจำนวนมาก
จากการคุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้จัดการกองทุนคนหนึ่ง พูดตรงกันว่า ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการเทรดหุ้นเหมือนสมัยก่อนแล้ว ผู้จัดการกองทุนกล่าวในร้านกาแฟสตารบัคอย่างสบายใจระหว่าวคุยกับผมในช่วงเวลาของการเทรด พร้อมยังกล่าวอีกว่า ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคัดเลือกตัวหุ้น การซื้อหุ้น การขายหุ้น การประคองหุ้น การขายหุ้นตัวหนึ่งไปซื้อหุ้นอีกตัวหนึ่ง ล้วนเป็นวิจารญาณของโรบอทเองทั้งสิ้น โดยโรบอทจะมี interactive แบบ real-time responsive เพื่อมีเป้าหมายเดียว คือ การเอาส่วนต่างกำไรจากตลาดให้ได้มากที่สุดไม่ว่าจะสภาวะไหน เพราะส่วนต่างราคาหุ้น จะเป็นตัวชี้วัดของ performance ของกองทุนได้มากกว่าเงินปันผล อย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ เหตุผลที่ว่า ทำไม บรรดากองทุนรวมจึงขนเอาโรบอทรุ่นใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาใช้ในการต่อสู้ห้ำหั่นกันในตลาดไทยอย่างบ้าเลือด และมีแนวโน้มด้วยว่า โรบอทรุ่นใหม่ๆ มันได้แสดงความฉลาดในการเรียนรู้ตลาดไทย ของมันออกมาได้เป็นที่ประจักษ์เหนือมนุษย์แล้ว
เราต้องยอมรับว่า สภาวะตลาดหุ้นไทยเองในปัจจุบัน มีการเติบโตที่จำกัด เนื่องจาก ผลประกอบการของตัวหุ้นเองที่แย่ลงเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การคาดหวังส่วนต่างราคามากๆแบบสมัยก่อน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ผลตอบแทนโดยรวมจึงมาจาก ผลตอบแทนที่มาจากเงินปันผล หรือ dividend yield เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา หรือ capital gain นั้น ได้หดหายไปพร้อมกับมูลค่าหุ้นที่ลดน้อยลงเนื่องมาจากการเกิด disruptive technology ในหลายภาคธุรกิจ การเติบโตของส่วนต่างราคาที่ลดน้อยลงเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของโลกมาก่อนหน้านี้ ดังที่ผมได้อ่านหนังสือของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังที่ได้ทำนายเรื่องนี้ล่วงหน้ามานานถึง 10 ปี เพราะคาดว่า ผลตอบแทนโดยรวมที่มาจากเงินปันผลและส่วนต่างในตลาดหุ้นไทย ไม่ควรเกินกว่า 8% ในระยะยาว
คำถามที่ว่า ทำไมตลาดหุ้นไทยในช่วงหลัง จึงมีพฤติกรรมไม่เหมือนตลาดฝั่งอเมริกา เนื่องมาจาก ตลาดฝั่งนั้น เป็นผู้สร้าง technology ในขณะที่ตลาดของฝั่งเราเป็นผู้รับเทคโนโลยี ดังนั้น เทคโนโลยีย่อมมาทำลายธุรกิจเดิมในฝั่งบ้านเรา และนั่นคือ เหตุผลที่ว่า ทำไม ตลาดหุ้นไทยจึงมีพฤติกรรมไม่เหมือนตลาดหุ้นดาวโจนส์อีกต่อไปแล้ว ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วย ดังนั้น การติดตามตลาดหุ้นดาวโจนส์เพื่อหวังผลมาทำนายตลาดหุ้นไทยนั้น บอกตามตรงว่า หมดสมัยแล้ว
อีกเรื่องที่ผมอยากพูดก็คือ technical failure ในยุคของตลาดในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างถาวร ตลาดหุ้นไทยไม่อาจใช้ technical ในระยะสั้นในการทำนายตลาดได้อีกแล้ว ซึ่งปรากฎการณ์นี้เรียกว่า market occupying ดังนั้น คุณจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเซียนหุ้นคนไหนที่อ่านกราฟอย่างไร ผลก็มักจะมีความผิดพลาดได้เสมอ และผิดพลาดบ่อยครั้งด้วยซ้ำไป
ด้วยความปรารถนาดี
พี่เอ เม่าสตอรี่