การเล่านิทานแบบปลายเปิดเหมือนกับเล่นเกมส์จำลองสถานการณ์
ถ้าหากว่าคุณอยากจะเล่านิทาน โดยไม่ต้องมีหนังสือเพื่อสอนการตัดสินใจและ simulate สถานการณ์ให้กับลูกของคุณ ตัวคุณเองแล้วจริงๆสามารถทำตัวเป็น game engine ที่ทำหน้าที่สร้างเรื่องราวแบบสดๆกับสถานการณ์ใดๆ หรือตัวเลือกใดๆที่ลูกของคุณเลือกได้ วิธีการนี้จะทำให้หนังสือนิทานแบบ fix story นั้นเป็นอดีตไปในทันที เพราะ เด็กจะมี interection กับสถานการณ์ที่คุณเล่าแบบที่คุณยังคงควบคุมสถานการณ์ได้แบบที่คุณต้องการ เพราะ โลกในนิทานที่คุณเล่า คือ โลกที่คุณควบคุมได้โดยสมบูรณ์ สำหรับบทความนี้ถือว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังกับการเล่านิทานปลายเปิด เพื่อให้คุณลองเอาแนวคิดนี้ไปเล่านิทานให้กับลูกของคุณกันดู !
การเล่านิทานปลายเปิดแนวจำลองสถานการณ์แบบเกมส์แนวทางเลือกคืออะไรกันเหรอ ?
ใช่แล้วมันเป็นสิ่งที่ผมเองก็คิดขึ้นมาเองเพื่อให้คนเล่าไม่ต้องพึ่งพาหนังสือใดๆ ก่อนนอนขณะที่ปิดไฟดับไปสนิทแล้ว คุณเองไม่สามารถหาหนังสืออะไรมาหยิบจับเล่าได้อีกแล้วเพราะแสงไฟไม่เพียงพอต่อการอ่านหรือฉายภาพให้กับลูกของคุณได้อีกต่อไป เรียกได้ว่า เป็นเรื่องเล่าในห้องมืดก็ว่าได้ การเล่านิทานปลายเปิดก็คือ การที่คุณเล่าเรื่องอะไรก็ได้แล้ว ลูกของคุณอยู่ในเหตุการณ์นิทานที่เล่านี้ อาจจะเป็นตัวของเขาเองเลย หรือ ตั้งชื่อตัวละครตัวใดตัวหนึ่งที่เป็นชื่อของลูกของคุณให้ไปโผล่อยู่ในนิทานก่อนนอนที่เล่าอยู่สดๆกันไปเลย
ถ้าหากว่าคุณคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี และ จะมีเนื้อเรื่องไปทางใด ให้คุณนึกถึงเรื่องราวของนิทานทั่วไปเป็นแก่นของโครงเรื่องก็ได้ แล้วยัดตัวละครที่เป็นชื่อของลูกคุณเข้าไปแทนตัวละครในนิทานตัวใดตัวหนึ่ง คุณสามารถเลือกให้เขาเป็นตัวเอกหรือตัวรองก็ได้ อย่างไรก็ดี หากคุณเลือกเขาเป็นตัวรอง ภาพและเนื้อเรื่องจะติดตามกับตัวรองนั้นแทนตัวหลัก ทำให้คุณอาจจะต้องใช้จินตนการเพิ่มเติมอย่างเอาเรื่องอยู่ เพื่อให้ภาพและเรื่องราวโดยรอบของตัวละครรองเหล่านั้นปรากฏเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลักได้ เช่น ถ้าหากว่าคุณคิดว่าจะใช้เรื่องหนูน้อยหมวกแดงเป็นแก่นเรื่องแต่จะเอาลูกของคุณแทนหมาป่า ก็ให้เริ่มว่าหมาป่ามีภารกิจอะไรแล้วเริ่มจากตรงนั้นได้ทันที สำหรับการเลือกตัวละครรองให้เป็นลูกของคุณนั้นถือได้ว่าเป็นการสร้างเรื่องแบบ advance ขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากว่าคุณเป็นมือใหม่หัดเล่าแล้วล่ะก็ ...แนะนำให้เริ่มจากตัวละครหลักก่อนจะดีกว่า แต่เมื่อหัดเล่าบนตัวละครหลักแล้ว ให้ย้ายไปเล่าในมุมมองของตัวละครรอง ลูกของคุณจะเห็นการดำเนินเรื่องในโลกเดียวกัน จากมุมมองของตัวละครอื่นและ นั่นมันเป็นเรื่องที่เจ๋งเอามากๆเลย ใช่แล้ว คุณจะไม่เคยเห็นว่าหมาป่าทำไมต้องมาเจอกับหนูน้อยหมวกแดง เขาจะกินคุณยายหรือเปล่าถ้าหากว่า หมาป่าเป็นลูกของคุณแทนตัวละครปกติ ถามลูกของคุณว่า เราไม่กินคุณยายได้มั้ยแล้ว ชวนหนูน้อยหมวกแดงไปปลูกผักทำฟาร์มด้วยกัน หรือ ทำฟาร์มปศุสัตว์กันเลยดีกว่า เพื่อจะได้มีกินมีใช้กันไปอย่างมีความสุข …. อะไรทำนองนี้
การเล่าในบางจังหวะ คุณสามารถสร้าง trivial choice เนื้อหาที่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญแล้วให้เป็นตัวเลือกได้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะ คุณอาจจะคิดว่าไม่ว่าลูกของคุณจะเลือกทางไหนก็ตาม ผลลัพธ์มันก็เหมือนกันอยู่ดี หรือ options ที่จะให้ลูกคุณเลือกระหว่างทางในเนื้อหานิทาน อาจจะมีผลรุนแรงระดับเปลี่ยนแปลงโครงเรื่องทั้งหมดก็ได้เช่นเดียวกัน อารมณ์แบบ Butterfly Effect แบบนั้นเลยก็ได้ เช่น ถ้าหากว่ายกตัวอย่างหนูน้อยหมวกแดงเหมือนเดิม เราอาจจะถามได้ว่า เราจะหยิบขนมอะไรเพื่อเอาไปให้คุณยายกันดีน้า … แน่นอนว่า เขาคงจะเลือกอาหารใดๆที่เขาชอบและคิดว่าสิ่งนี้น่าจะได้รับการแบ่งปันให้กับคุณยายในเรื่องด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าเขาจะเลือกอะไร คุณยายก็ไม่ได้กินอยู่ดี เพราะ ไปถึงก็ไม่มีคุณยายอยู่รอแล้วยังไงล่ะ !
เราสามารถสร้างสถานการณ์ใดๆที่เป็นปัญหาเพื่อให้เด็กได้เข้ามาสร้างทางแก้ปัญหาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ! ใช่แล้วการที่เขาจะได้ทรัพยากรใดๆมาเพื่อใช้ในเรื่องอาจจะได้มาด้วยความยากลำบากไม่ได้มีจัดเอาไว้ให้ตั้งแต่ต้นก็ได้ เพื่อทำให้เกิดความยาก หรือเกิดปัญหาในการดำเนินเรื่องโดยเด็กจะต้องหาทางแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยคำถามปลายเปิดกัน ตัวอย่างเช่น ใช่แล้วคุณยายของเราชอบทาง chocolate cake black forest แต่ว่าที่บ้านของหนูน้อยหมวกเด็ก (ที่แทนด้วยตัวเด็กเอง) นั้นไม่มีและทำเองไม่เป็นด้วยจะทำอย่างไรดีเพื่อให้ได้ Chocolate Cake Black Forest นี้ได้กันล่ะ ? อืม …. เราอาจจะมีทางเลือกให้เขาว่า เดินทางเข้าหมู่บ้านเพื่อหาซื้อ (เหมือนกับเกมส์ RPG ปกติ) หรือ จะไปหาแป้งและเครื่องปรุงต่างๆเพื่อเอาไปว่าจ้างคนทำเบอเกอรี่กันก็ได้ หรือ จะซับซ้อนกว่านั้นคือ โลกนี้ไม่มีการว่าจ้าง เราต้องทำความดีบางอย่างให้กับคนทำขนมปังหรือคนที่ทำเค้กเป็นเพื่อที่เขาจะทำเค้กให้กับเราเป็นต้น สุดแล้วแต่จะคิดว่าอย่างงั้น
หากคุณอ่านมาถึงจุดนี้ได้แปลว่า คุณเริ่มนึกออกว่า การที่เราเล่านิทานปลายเปิดแบบจำลองสถานการณณ์นั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์กับเด็ก ซึ่งมันก็เหมือนกับการเล่นเกมส์ที่เราเป็นคนกำหนดเนื้อเรื่องได้เอง ว่าจะให้มีความรุนแรงเรทใดๆ หรือจะให้มุ้งมิ้งน่ารักได้เพียงใดก็ได้ให้มันถูกจริตของคนเล่าเรื่องและคนฟังซึ่งมันจะมีประโยชน์หลายเรื่องมากในการสอนสิ่งต่างๆให้กับเด็กได้เรียนรู้
อ่านต่อจากเนื้อหาที่ผมพิมพ์เอาไว้ตัวเต็มได้ที่
https://www.rackmanagerpro.com/bed-time-story/
การเล่านิทานแบบปลายเปิดเหมือนกับเล่นเกมส์จำลองสถานการณ์
ถ้าหากว่าคุณอยากจะเล่านิทาน โดยไม่ต้องมีหนังสือเพื่อสอนการตัดสินใจและ simulate สถานการณ์ให้กับลูกของคุณ ตัวคุณเองแล้วจริงๆสามารถทำตัวเป็น game engine ที่ทำหน้าที่สร้างเรื่องราวแบบสดๆกับสถานการณ์ใดๆ หรือตัวเลือกใดๆที่ลูกของคุณเลือกได้ วิธีการนี้จะทำให้หนังสือนิทานแบบ fix story นั้นเป็นอดีตไปในทันที เพราะ เด็กจะมี interection กับสถานการณ์ที่คุณเล่าแบบที่คุณยังคงควบคุมสถานการณ์ได้แบบที่คุณต้องการ เพราะ โลกในนิทานที่คุณเล่า คือ โลกที่คุณควบคุมได้โดยสมบูรณ์ สำหรับบทความนี้ถือว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังกับการเล่านิทานปลายเปิด เพื่อให้คุณลองเอาแนวคิดนี้ไปเล่านิทานให้กับลูกของคุณกันดู !
การเล่านิทานปลายเปิดแนวจำลองสถานการณ์แบบเกมส์แนวทางเลือกคืออะไรกันเหรอ ?
ใช่แล้วมันเป็นสิ่งที่ผมเองก็คิดขึ้นมาเองเพื่อให้คนเล่าไม่ต้องพึ่งพาหนังสือใดๆ ก่อนนอนขณะที่ปิดไฟดับไปสนิทแล้ว คุณเองไม่สามารถหาหนังสืออะไรมาหยิบจับเล่าได้อีกแล้วเพราะแสงไฟไม่เพียงพอต่อการอ่านหรือฉายภาพให้กับลูกของคุณได้อีกต่อไป เรียกได้ว่า เป็นเรื่องเล่าในห้องมืดก็ว่าได้ การเล่านิทานปลายเปิดก็คือ การที่คุณเล่าเรื่องอะไรก็ได้แล้ว ลูกของคุณอยู่ในเหตุการณ์นิทานที่เล่านี้ อาจจะเป็นตัวของเขาเองเลย หรือ ตั้งชื่อตัวละครตัวใดตัวหนึ่งที่เป็นชื่อของลูกของคุณให้ไปโผล่อยู่ในนิทานก่อนนอนที่เล่าอยู่สดๆกันไปเลย
ถ้าหากว่าคุณคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี และ จะมีเนื้อเรื่องไปทางใด ให้คุณนึกถึงเรื่องราวของนิทานทั่วไปเป็นแก่นของโครงเรื่องก็ได้ แล้วยัดตัวละครที่เป็นชื่อของลูกคุณเข้าไปแทนตัวละครในนิทานตัวใดตัวหนึ่ง คุณสามารถเลือกให้เขาเป็นตัวเอกหรือตัวรองก็ได้ อย่างไรก็ดี หากคุณเลือกเขาเป็นตัวรอง ภาพและเนื้อเรื่องจะติดตามกับตัวรองนั้นแทนตัวหลัก ทำให้คุณอาจจะต้องใช้จินตนการเพิ่มเติมอย่างเอาเรื่องอยู่ เพื่อให้ภาพและเรื่องราวโดยรอบของตัวละครรองเหล่านั้นปรากฏเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลักได้ เช่น ถ้าหากว่าคุณคิดว่าจะใช้เรื่องหนูน้อยหมวกแดงเป็นแก่นเรื่องแต่จะเอาลูกของคุณแทนหมาป่า ก็ให้เริ่มว่าหมาป่ามีภารกิจอะไรแล้วเริ่มจากตรงนั้นได้ทันที สำหรับการเลือกตัวละครรองให้เป็นลูกของคุณนั้นถือได้ว่าเป็นการสร้างเรื่องแบบ advance ขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากว่าคุณเป็นมือใหม่หัดเล่าแล้วล่ะก็ ...แนะนำให้เริ่มจากตัวละครหลักก่อนจะดีกว่า แต่เมื่อหัดเล่าบนตัวละครหลักแล้ว ให้ย้ายไปเล่าในมุมมองของตัวละครรอง ลูกของคุณจะเห็นการดำเนินเรื่องในโลกเดียวกัน จากมุมมองของตัวละครอื่นและ นั่นมันเป็นเรื่องที่เจ๋งเอามากๆเลย ใช่แล้ว คุณจะไม่เคยเห็นว่าหมาป่าทำไมต้องมาเจอกับหนูน้อยหมวกแดง เขาจะกินคุณยายหรือเปล่าถ้าหากว่า หมาป่าเป็นลูกของคุณแทนตัวละครปกติ ถามลูกของคุณว่า เราไม่กินคุณยายได้มั้ยแล้ว ชวนหนูน้อยหมวกแดงไปปลูกผักทำฟาร์มด้วยกัน หรือ ทำฟาร์มปศุสัตว์กันเลยดีกว่า เพื่อจะได้มีกินมีใช้กันไปอย่างมีความสุข …. อะไรทำนองนี้
การเล่าในบางจังหวะ คุณสามารถสร้าง trivial choice เนื้อหาที่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญแล้วให้เป็นตัวเลือกได้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะ คุณอาจจะคิดว่าไม่ว่าลูกของคุณจะเลือกทางไหนก็ตาม ผลลัพธ์มันก็เหมือนกันอยู่ดี หรือ options ที่จะให้ลูกคุณเลือกระหว่างทางในเนื้อหานิทาน อาจจะมีผลรุนแรงระดับเปลี่ยนแปลงโครงเรื่องทั้งหมดก็ได้เช่นเดียวกัน อารมณ์แบบ Butterfly Effect แบบนั้นเลยก็ได้ เช่น ถ้าหากว่ายกตัวอย่างหนูน้อยหมวกแดงเหมือนเดิม เราอาจจะถามได้ว่า เราจะหยิบขนมอะไรเพื่อเอาไปให้คุณยายกันดีน้า … แน่นอนว่า เขาคงจะเลือกอาหารใดๆที่เขาชอบและคิดว่าสิ่งนี้น่าจะได้รับการแบ่งปันให้กับคุณยายในเรื่องด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าเขาจะเลือกอะไร คุณยายก็ไม่ได้กินอยู่ดี เพราะ ไปถึงก็ไม่มีคุณยายอยู่รอแล้วยังไงล่ะ !
เราสามารถสร้างสถานการณ์ใดๆที่เป็นปัญหาเพื่อให้เด็กได้เข้ามาสร้างทางแก้ปัญหาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ! ใช่แล้วการที่เขาจะได้ทรัพยากรใดๆมาเพื่อใช้ในเรื่องอาจจะได้มาด้วยความยากลำบากไม่ได้มีจัดเอาไว้ให้ตั้งแต่ต้นก็ได้ เพื่อทำให้เกิดความยาก หรือเกิดปัญหาในการดำเนินเรื่องโดยเด็กจะต้องหาทางแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยคำถามปลายเปิดกัน ตัวอย่างเช่น ใช่แล้วคุณยายของเราชอบทาง chocolate cake black forest แต่ว่าที่บ้านของหนูน้อยหมวกเด็ก (ที่แทนด้วยตัวเด็กเอง) นั้นไม่มีและทำเองไม่เป็นด้วยจะทำอย่างไรดีเพื่อให้ได้ Chocolate Cake Black Forest นี้ได้กันล่ะ ? อืม …. เราอาจจะมีทางเลือกให้เขาว่า เดินทางเข้าหมู่บ้านเพื่อหาซื้อ (เหมือนกับเกมส์ RPG ปกติ) หรือ จะไปหาแป้งและเครื่องปรุงต่างๆเพื่อเอาไปว่าจ้างคนทำเบอเกอรี่กันก็ได้ หรือ จะซับซ้อนกว่านั้นคือ โลกนี้ไม่มีการว่าจ้าง เราต้องทำความดีบางอย่างให้กับคนทำขนมปังหรือคนที่ทำเค้กเป็นเพื่อที่เขาจะทำเค้กให้กับเราเป็นต้น สุดแล้วแต่จะคิดว่าอย่างงั้น
หากคุณอ่านมาถึงจุดนี้ได้แปลว่า คุณเริ่มนึกออกว่า การที่เราเล่านิทานปลายเปิดแบบจำลองสถานการณณ์นั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์กับเด็ก ซึ่งมันก็เหมือนกับการเล่นเกมส์ที่เราเป็นคนกำหนดเนื้อเรื่องได้เอง ว่าจะให้มีความรุนแรงเรทใดๆ หรือจะให้มุ้งมิ้งน่ารักได้เพียงใดก็ได้ให้มันถูกจริตของคนเล่าเรื่องและคนฟังซึ่งมันจะมีประโยชน์หลายเรื่องมากในการสอนสิ่งต่างๆให้กับเด็กได้เรียนรู้
อ่านต่อจากเนื้อหาที่ผมพิมพ์เอาไว้ตัวเต็มได้ที่
https://www.rackmanagerpro.com/bed-time-story/