เพียงเป็นรำไร ตอนที่ 2




      'กริ๊ง ๆ ~~' เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ใครบางคน ระหว่างนิ่มและฝ้าย
     
      "ฝ..ฝ้าย เสียงโทรศัพท์ใครดังวะ?" นิ่มก่อนหน้านั้นที่มองดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนหันมองเอ่ยถามฝ้ายขึ้น เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์คนอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเอง

      "ห้ะ?!" ฝ้ายชำเลืองห้องน้ำหญิง กลับหน้าหันตอบเบาๆ
      "อะไรเหรอ นิ่ม?"

นิ่มตอบ "ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ใครไม่รู้น่ะ เพราะมันอาจไม่ใช่ของฉันก็ได้"
ฝ้ายตกใจเล็กน้อยพร้อมยิ้มแห้ง

      "อ๋อ โทษที ของฉันเอง" หลังจากพูดจบ เธอบรรจงหยิบโทรศัพท์มือถือ (สมาร์ทโฟน) ออกจากกระเป๋าสะพายสีดำ ฝ้ายมองหน้าจอแสดงผลสมาร์ทโฟน ว่า...คนที่โทรมาหาเธอ คือใครกันแน่? นิ่มกระพริบตา 2 ครั้ง ก่อนจ้องมาสมาร์ทโฟนฝ้าย

      "ฝ้าย ใครโทรมา?" นิ่มสงสัยนิดหน่อย พร้อมทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็น
      "อ๋อ อีปิ่นโทรมาอ่ะ"
เสี้ยววินาที ดวงตาฝ้ายเเว็บมองไปทางห้องน้ำหญิงภายในห้างฯ หลังสวนอาหารทันที ก็พบกับปิ่นแอบหลังประตูห้องน้ำ ปิ่นเธอนั้นโบกมาขึ้น ๆ ลง ๆ คับคล้ายคือสัญญาณขอความช่วยเหลือ
"นั่น อิปิ่นนิหน่า ไปหันมันที่ห้องน้ำดิ!!" นิ่มชี้นิ้ว

      "ทำไมอ่ะ?" ฝ้ายถาม
      "มันขอความช่วยเหลืออยู่ ไม่เห็นแงะ?"
      "เห็น.."
      "งั้นไปกับกูดิ เร็วเข้า!!"

เธอทั้งสอง ตาจับจ้องหยุดตรงปิ่น ไม่นานพวกเธอเดินเตร่เลาะทางเดินช่องว่างของโต๊ะอาหารเนิบ ๆ อย่างเย็นเฉียบ
     
      "ว่าไงนะ อีปิ่น.."
      " ฝ้าย มีฝุ่นห่าอะไรติดข้างหลังกูก็ไม่รู้ มันเป็นสีขาวด้วยอ่ะ!"
      "แล้ว มีอะไรอีกไหมล่ะ!" ฝ้ายเสียงเเข็งกระด้างปนความเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง
     "มันติดข้างหลังกูอ่ะ กูล้างเท่าไหร่ก็ไม่ออก"
      "ทำไงดี ทำไงดีอ่ะ?!" ปิ่นกระวนกระวาย และฝ้ายต่างสบตากันมองแต่ละฝ่าย
      "ไหน อีปิ่น หันหลังหน่อยสิ ดูเผื่อแน่ใจ ว่ามันติดอยู่หรือเปล่าน่ะ!..."
ปิ่นฟังทันใดนั้น เธอหันควับหายใจหอบแล้วเดินย่องไปตรงหน้ากระจกเงาบ้านใหญ่ของห้องน้ำของห้างฯ ฝ้าย นิ่ม ทุลักทุเลชั่วครู่เนื่องจากเจอปัญหาในตอนนี้

ภายใต้แสงไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวสว่างทั่วห้องน้ำ บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ผู้คนละแวกตัวห้องน้ำไม่ค่อยมีใครใช้บริการที่นี่มากนัก ฝ้ายและนิ่มเดินก้าวช้าเชื่องจนบรรจบใกล้ปิ่น

      "ช่วยดูข้างหลังหน่อยสิ" ปิ่นท้วงคำ ความรู้สึกระแวงเอ่อล้นภายใต้จิตใจส่วนลึกตัวเธอเอง
ปิ่นพูดจบ ฝ้ายยืนกรานมองด้านหลังปิ่น ตรวจดูความเรียบร้อยบนเนื้อเสื้อเชิร์ทสีขาว ทว่า...ฝุ่นหมองหม่นก่อนหน้า หายไปหมดแล้ว ดั่งฝุ่นทั้งหลายที่เกาะเสื้อเชิร์ดสีขาวด้านหลังของปิ่น เสมือนเป็นภาพลวงตา
      "ปิ่น ไอฝุ่นอะไรนั่นนะ มัน...ไม่มี"
ปิ่นหันควับมิรีรอ
      "อ..ห้ะ...จริงเหรอ?!"
นิ่มตอบ "จริงสิ ฝุ่นหายไปแล้วนะ ไม่เหลือร่องเลยอะไรเลย ข้างหน้าที่กูเห็นอยู่ มันก็มีแต่รอยน้ำที่พรมเช็ดบนเสื้อก็เท่านั้นเอง"
      "บ...บ้าเปล่า เมื่อกี๊กูเห็นเต็มตาเลยนะ"
ฝ้ายตอบ "ไม่เห็นนะ ตาฝาดใช่ไหม?"
      "กูเห็นตอนก่อนที่กูจะให้ไปเข้าห้องน้ำ ก็เห็นแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวเองนะ?"
      "อ..อ้าว" ปิ่นลุกลี้ลุกลน
      "แต่ตอนที่กวักเรียกพวกกู แล้ว...กูดูอีกครั้งนึง มันไม่มีแล้ว เจอแต่ไอ้รอยน้ำที่เช็ดฝุ่นออกเฉย ๆ "
      "อ้าว แสดงว่ากูตาเบลอตาฝาดสินะเนี่ย"
      "ใช่! กูก็ยืนยัน กูเห็นด้วยกับฝ้าย"
เมื่อปิ่นฟังฝ้ายพูดจบ เธอหัวแห้งเเทบเหือด มือเกาหัวพลาง เธอหัวเราะกลบเกลื่อนปกปิดความรู้สึกเขินอายครั้งนี้ แล้วพูดขึ้น
      "ขอโทษนะ วันนี้กูรู้สึกกูเบลอมากไปหน่อย กูมึนหัว ฮ่า ฮ่า ฮ่า~~~"
      "แหม อีปิ่น ทำเป็นเราะกลบเกลื่อนนะเนี่ยอ่ะ ไม่เนียนเลยนะจ๊ะ อีบ้า~~~"
ฝ้ายตอบปิ่น ทำนองแซวตลกขบขันให้มีบรรยากาศ พวกเธอต่างขำปลิ้นเสงี่ยมสนุกสนาน
      "โห นางฝ้าย คนเรามันก็ไม่จำเป็นต้องมีความหน้าด้านตลอดหรอกนะคะ ถ้าหน้าด้านตลอดก็เบื่อกันพอดี คนนะ ไม่ใช่หุ่นกระป๋องที่จะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย"
      "เออ...พวก จะไปกันหรือยังคะ กูหิวข้าวจะแย่และ เนี่ยตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วก็ไม่รู้"
ฝ้ายแซว "จ้า อีนิ่ม นี่ขัดจังหวะจริง ๆ เลยนะอ่ะ"
      "ก็คนมันหิวข้าว ทำไงได้ล่ะ จะให้รอทนกลิ่นห้องน้ำมาเป็นอาหารทางจมูกรึอย่างไร?!" นิ่มถอนหายใจและแขวะฝ้ายเล่น
      "ชิ งั้นออกไปก็ได้เว้ย~" ฝ้ายพูดจบ ปากฝ้ายบานเเบะออก และลิปสติกที่ทาปากฝ้ายวันนี้ พอเธอเบะปากแล้ว เธอเหมือนกับนางร้ายอันสยดสยองในละครหลังข่าวชอบกล ใครเห็นก็กลั้นขำไม่ได้
ปิ่น ฝ้าย ย่างกรายดิ่งออกจากห้องน้ำรำไร เหลือแค่นิ่มเดินเนิบตามหลังทั้ง 2 สักครู่ นิ่มหันหลังแลบางสิ่งบางอย่าง ก่อนหันกลับอีกครั้งและย่างออกจากห้องน้ำตามปิ่นกับฝ้ายไป
  
      "มัน...มันวนเวียนอีกครั้งไหม? ความรู้สึกนี้จะมาอีกครั้ง ใช่ไหมนะ...?" นิ่มมีความเศร้าบั่นทอนจิตใจ ทั้งที่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวนิ่มเลย มันไม่ผูกโยกสักนิด เธอถามใจตัวเองว่า 'เหตุการณ์นี้ แปรเปลี่ยนได้ใช่มั้ย?'

23:07 น.
      "ผู้ชายบางคน เห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่น"
      "ผู้ชายบางคน เห็นผู้หญิงเป็นแค่สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง"
      "ผู้ชายบางคน ไม่เคยคิดว่าผู้หญิงที่ตนครอง มีความรู้สึก..."
      "แทนที่ผู้ชายคิดอย่างนั้น ต้องเป็นผู้หญิงอย่างเราคิดมากกว่าไม่ใช่เหรอ กิเลสตัณหาของผู้ชายพรรค์นั้นมันรุนแรง คิดจะมั่วซั่ว คบกับใครก็ย่อมได้สินะ เขายิ่งเกาะแกะ ฉันก็เริ่มไม่ชอบ ที่ฉันพูด ฉันไม่ได้หมายความว่าผู้ทุกคนเลว แต่เพราะฉันยังเกลียดผู้ชายคนนั้น ผู้ชายประเภทนั้น! ทุกคน รู้ดีแก่ใจว่า ทุกเพศ ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป ซึ่งนั่นก็รวมถึงฉันต่างหาก พอถึงจุดแตกหัก ใครหน้าไหนมักเดือดทั้งนั้นนิ น้อยคนนักที่รู้จักการเก็บอารมณ์ เพื่อไม่ให้ระเบิดออกมา ยิ่งผู้ชายยิ้ม มันมายุ่งกับฉันทั้งที่บางทีมันไม่จำเป็น มาตีสนิทฉัน ทำมาเป็นฉันไว้เนื้อเชื่อใจ มัน...มันเกินไปแล้วนะ! เพิ่งเลิกกับฉันมาได้ไม่กี่เดือน ก็เหมือนกลับมาคืนดีในขณะตัวเองมีเมียคนใหม่ไม่ใช่หรือไง! แถมยศถาบรรดาศักดิ์ก็ดี มาเสียดแทงตอกย้ำเราอย่างไงไม่รู้! น่าเจ็บใจชะมัด...!!!"

      ฉันนอนตะแคงบนเตียวเเจ้กับตัวเองภายในห้องแสงไฟอ่อนระย้า บางคำพาดค่อนถึงอดีตคนรักของฉันซะส่วนใหญ่       น้ำตาฉันรินไหลพรากเอ่อล้นลงแก้มซึมไปตามหมอนหนุนที่ฉันหนุ่นศีรษะอยู่ เพราะฉันเบื่อความรักอันเลวร้ายจึงบ่นต่าง ๆ นานา
      เสียงสะอื้นดึงใจดังต่อไป พร้อมน้ำตารินไหลเป็นระยะ ฉันหยั่งรู้แก่ใจถึงความเศร้า แต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่นาน เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังทันที ฉันใช้มือปาดน้ำตาหยุดร้องสะอื้นเสีย ฉันมองหาสมาร์ทโฟนช้า ๆ ซึ่งสมาร์ทโฟนของฉันวางบนโต๊ะที่มีโคมไฟส่องแสงเบา ๆ ไม่ห่างเตียงนอนมากนัก
เมื่อฉันเจอ ฉันหยิบสมาร์ทโฟนว่าใครเป็นคนโทรมา...
      "อ้าว คุณดนัยนิ" ว่าแล้ว ฉันจึงกดเลื่อนสีเขียวรับสายเจ้าหนี้แสนดีของคุณแม่ที่รักของฉัน(?)
      "ฮัลโหลค่ะ คุณดนัย" ฉันเสยผมข้างหูและจับสมาร์ทโฟนแนบหูข้างขวา
      "สวัสดีครับ คุณสารวี"
      "เอ่อ คุณเป็นอย่างไรบ้างครับ?" น้ำ
เสียงคุณดนัยดูอ่อนลงมาก อย่างกะพร้อมแนะนำปรึกษาปัญหาชีวิตซะงั้น

      "สบายดีค่ะ ช่วงนี้เงินเดือนก็ใกล้ออกแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันโอนตังค์ไปให้หลังที่เงินเดือนออก"
เจ้าหนี้ดนัยขำก๊าก "ฮ่า ฮ่า ๆ คุณไม่ต้องกระวนกระวายหรอกครับ ผมไม่ซีเรียสอะไรขนาดนั้นหรอก ผมเชื่อมั่นว่าคุณต้องให้ผมแน่ครับ เพราะคุณเป็นคนที่ค่อนข้างตรงเวลาอยู่แล้ว"
     
      "อ..อ๋อ นึกว่าที่โทรมา จะมาทวงฉันอีกน่ะค่ะ"
      "คือผมมาแค่เตือนเฉย ๆ ครับ ผมไม่ได้มาต่อว่าอะไร"
      "อืม ว่าแต่ เดือนของฉันโอนไปก่อนสี่พันได้ไหมคะ?"
      "เดือนไหนครับ หรือว่าเป็นประจำเดือน?"
      "เดือนนี้ค่ะ ฉันพูดตกไปพยางค์นึง"
      "คุณส่งต้นก่อนใช่ไหมครับ?"
      "อ๋อใช่ค่ะ เดี๋ยวดอกส่งทีหลังนะคะ"
      "ครับ คุณนี่ใจปล้ำจริง ๆ แค่เพิ่งเดือนเดียว คุณส่งต้นให้ผมตั้งสี่พันแหนะ"
      "ค่ะ" ฉันเกร็งนิดหน่อย
      "เอ่อ พี่...แม่ของฉันที่บ้านเป็นไงบ้างคะ?" จู่ ๆ ฉันมีความระแคะระคายใจอย่างบอกไม่ถูก
      "หื้ม เรื่องแม่คุณก็...เมื่อวานนี้ ผมได้ข่าวว่าแม่ของคุณซื้อเหล้ารวบรวมเงินเพื่อนของแม่คุณครับ ซื้อพวกกับข้าวกับแกล้มต่าง ๆ และก็เหล้าตอนเสียเงินซื้อน่าจะประมาณร้อยกว่าบาทนะครับ หลังดื่มเหล้าหนำใจครั้งนั้น แม่คุณนอนผ่าวสยายในบ้าน กับข้าวก็ไม่มีวี่แววที่ต้องขายเลยครับ"
      "เห้อ แม่ฉันนี่จะบอกว่าขยันก็ไม่ใช่ ขี้เกียจก็ไม่เชิง ไม่แน่นอนเลยค่ะ...เอาจริง"
      "แต่โชคดี ที่แม่คุณไม่ได้ไปกู้เงินใคร เพราะซื้อเหล้าพวกนั้นอีก"
      "ดีแล้วล่ะค่ะ ที่ตอนนี้แม่ฉันไม่เอาเงินใครมา จะได้ไม่ติดหนี้ใครเพิ่มเติม"
      "ผมเข้าใจครับ"
      "เข้าใจดีแล้วค่ะ เอ่อ...คุณดนัยคะ ฉันของีบนะคะ ขอวางสายก่อนค่ะ"
      "ครับ อย่าลืมโอนด้วยนะสารวี ถ้าตรงเวลาหน่อยก็ดีมากครับ ผมชอบคนตรงเวลาสุด ๆ เลยครับ"
       "ค่ะ ฝันดีค่ะ"
       "ครับ"

     ฉันกดวางสายปุ่มสีแดง นำสามาร์ทโฟนไปวางในที่ที่ฉันหยิบมา ฉันขณะนี้คงบรรจุเพียงสิ่งหมองหม่นเอาไว้ พักนี้ไม่ค่อยสบายใจเหมือนแต่ก่อน ใช่ ฉันกำลังนึกถึงเรื่องอดีต อดีตที่ล่วงลับหมดแล้ว        ห้องของฉันอันมืดมิดคงลอยให้แสงสว่างสีเดียวกันภายในห้อง มีเพียงโคมไฟเท่านั้นยังส่งแสงสว่างเพียงลาง ๆ หากมองบริเวณรอบเตียงของฉัน
เช้าวันต่อมา ฉันนอนคว่ำบนเตียงตัวเอง ผ้าห่มสีเนื้ออ่อนปกคลุมห่มตัวฉันอย่างเรียบร้อยเมื่อคืนนี้ กลับกองสะเปะสะปะรวมกันหลังปลายเท้า เพราะฉันคงอาจนอนดิ้นด้วยเหตุผลอื่น ฉันรู้สึกอ่อนเพลียเช่นเดิม หน้าตาตอนสะลึมสะลือเหมือนคนอ่อนเปลี้ยใจแทบขาด ผมยาวสยายกระเซอะกระเซิงเต็มหมอนหนุนไม่ต่างกับผีอีเพิ้ง ฉันตื่นดวงตาไม่สู้ดี เพ่งนาฬิกาปลุกบนหัวนอนของตัวเอง

      "ห...หา นี่หกโมงแล้วเหรอ?!" ฉันตกใจ ดวงตาเบิกฉับพลัน จับจ้องนาฬิกาฝาผนังด้านหน้าเตียงนอน
      "ฉันไปสำนักงานทันปล่าววะ?" ดังนั้น ฉันรีบคว้านาฬิกาปลุกมาดูสักที
      "อะไรเนี่ย! ฉันอุตส่าห์ตั้งปลุกตีห้าเลยนะ!"
และฉันได้เงี่ยหูฟัง เผื่อว่านาฬิกาปลุกยัง
คงทำงานอยู่
      "หืม? นาฬิกาแบตอ่อนงั้นเหรอ....?"
      'กริ๊ง ๆ กริ๊ง ๆ ~~!!!"
      "อ๊าย~ เชี่ย!" เสียงปลุกนาฬิกาดังโดยเธอตั้งตัวไม่ทัน เผลอให้ร้องอุทานเสียงหลง ซึ่งความตกใจของฉัน ฉันรีบแกะฝากับถ่านออกแบบรวดเร็วไม่คิดชีวิต

      "ตกใจหมด อีบ้า! ไอ้นาฬิกาเวร!"

08:22 น.

      "โอ้ย ตายแน่! ฉันมาสายตั้งสิบนาที จะโดนบอสด่าไหมวะ?"

ฉันเหลียวนาฬิกาข้อมือ สวมใส่เสื้อเชิร์ทสีขาว กางเกงสีดำ รองเท้าส้นเตี้ยขัดดำมันเงา วิ่งต๊อกแต๊กในลานจอดรถสำนักงาน
ลมหายใจหอบแผ่วเบา จากการวิ่งแสนสุดระทึก เลยทำให้ฉันสะเออะ วิ่งชนหญิงสาวคนหนึ่ง ที่กำลังเดินสวยใส่ชุดสไตล์วินเทจเขียว-ครีมเรียบร้อย พวกเธอชนกันยืนโซเซ ซึ่งมีโอกาสล้มขาพับสูงมาก

      "นี่เธอ วิ่งอ่ะ หัดระวังบ้างนะ ดูซิชนกันจะล้มอยู่และ"
      "ขอโทษค่ะ"

      ฉันเงยหน้ากล่าวขอโทษเธอแล้ววิ่งไป บังเอิญพบปะใบหน้าของเธอ ฉันบอกได้ว่า หน้าตาผิวพรรณของเธอสวยระดับนึงเลยล่ะ เธอสวยคม คิ้วดำโก่งพองาม ดวงตากลมบางและมีหนังตาสองชั้น สีตาเป็นสีน้ำตาลวาวคล้ายอัลมอลต์ ขนตายาวเล็กน้อยเรียงสวยงาม จมูกโด่งเล็กน้อยมีสันได้รูป ปากอมชมพูบางหากยิ้มแล้วคล้ายมนต์สะกด หน้ายาวโครงพอได้ สีผิวขาวเหลืองตามฉบับคนเอเชีย ผมของเธอดำหนายาวสลวยถึงกลางแผ่นหลัง แต่ทำไมกัน ฉันรู้สึกคำพูดที่ออกมาจากปากเธอขัดกับหน้าตาเธอชัดเจน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่