สวัสดีเพื่อนๆ น่ะครับ คือผมเเค่อยากจะเเชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับความรักที่เกือบจะทำลายครอบครัวดีๆครอบครัวนึ่งไป การปล่อยความรักเป็นอิสระมากเกินไปคือสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เรื่องเริ่มต้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมาผมเพิ่งจบปตรี เเละเริ่มหางานทำ ผมส่งใบสมัครไปหลายที่เดินไปสัมภาษณ์อยู่หลายบริษัทฯ เเล้วผมก็ได้รับการติดต่อไปสัมภาษณ์อีกครั้งโดย เเละได้สัมภาษณ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่จะเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับความรัก เเละชีวิตของผมไปตลอดการ ในที่สุดผมก็ได้งานทำ วันเเรกในการทำงานผมถูกจับไปอยู่กับทีมเดียวกับพี่ผู้หญิงที่เคยสัมภาษณ์ผมตอนมาสมัครงานที่สำคัญเขาดันเป็นหัวหน้าทีมผมอีกต่างหาก ช่วงเดือนเเรกเป็นอะไรที่หนักพอสมควรสำหรับชีวิตวัยทำงานของผม จริงๆเเล้วผมเองก็ทำงานมาตลอดผมทำงานทุกอย่างเพื่อให้พอค่าเทอม เพียงเเต่งานนี้คืองานประจำซึ่งมันต่างจากงานที่ผมเคยทำมา ซึ่งส่วนใหญ่มันคืองาน part-time ในทีมนั้นมีกันประมาณ 5 คนเท่านั้น ผมต้องไปรับตัวหลายอย่างมาก เพื่อนร่วมงานเองบางคนก็ออกเเนวกั๊กวิชาซ่ะงั้นซึ่งถ้าผมไม่ทำอะไรเลยคงไม่มีใครอยากผมไว้เเน่นอน ทางออกเดียวคือหัวหน้า เขาเป็นคนค่อนข้าง hardwork พอสมควร ซึ่งเขาเองก็ดูยุ่งๆผมเองก็เกรงใจยุพอสมควร เเต่มันคือตัวเลือกเดียวที่จะสามารถทำมห้ผมเป็นงานได้ ถึงเขาจะดูยุ่งๆเเต่ก็ไม่เคยเลที่จะไม่ตอบคำถาม เขามีรอยยิ้มกลับมาทุกครั้งพร้อมกับประโยคว่า ค่ะ ว่าไงค่ะ อืมมม เขาตอบเเทบทุกคำถามที่เกี่ยวกับงานอธิบายจนเข้าใจ เข้าเดือนที่ 2 ก็เริ่มอยู่ตัวเราทำงานเข้าขากันมากขึ้น ผมเคารพเขาเเบบพี่สาว ซึ่งผมกับเขาห่างกัน 5 ปี ซึ่งผมเองเเค่23 หัวหน้าผมที่เป็นคนhardwork บ้างครั้งก็ทำงานจนลืมเวลากินข้าว ข้าวเช้าบ้างครั้งก็ไม่ได้กิน ข้าวเที่ยวกว่าจะได้กินก็เกือบบ่าย 2 ผมเองก็เป้นห่วงสุขภาพเขามากเพราะอย่างน้อยเขาก็คือคนที่สอนงานเราเเละเป็นหัวหน้าเราด้วย ผมมักจะมาถึงบริษัทฯก่อนคนอื่นเสมอ บ้างครั้งผมจะซื้อ โจ๊ก ปลาท๋องโก้ น้ำเต้าหู้ พวกเขาเหนี่ยวหมู ไปให้เขาบ่อยๆในคือห่วงสุขภาพเขานั้นเเหละเเบบพี่สาวน้องชาย เเรกเขาก็ไม่รับเเหละนิสัยคนไทยเกรงใจไว้ก่อนเเต่สุดท้ายเข้าก็รับยุดี5555 หลังๆก็ซื้อบ่อยขึ้น จนในที่สุดผมต้องซื้อให้เขาทุกเช้า เเเละค่อยมาเก็บตังค์จากเขา ในที่สุดต้องขอ line เพื่อรับ ออเดอร์จากเขาเวลาเขาจะกินอ่ะไรผมจะซื้อมาให้5555ขำตัวเองเหมือนกันจากเเค่ของฝากกลายมาเป็นการ่งเป็นเรื่องเป็นราวซ่ะงั้นเเต่ก็โอเครเพราะร้านขายก็ยุไกล้ๆบริษัท เข้าเดือนที่ 3 ทุกสิ่งลงตัวปรับตัวเข้ากับชีวิตวัยทำงานได้ในที่สุด เเละมันก็เป็นช่วงที่หนักเอาการสำหรับทีมผมบางครั้งกว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบสองทุ่มเเละเเน่นอนคนสุดท้ายก็คือหัวหน้าเพราะต้องคอยตรวจงานคนในทีมบางที่ก็ต้องเเก้งานให้ด้วย ซึ่งทำให้เขากลับบ้านช้าลงไปอีก ผมจะถามเขาเสมอว่า"มีอะไรให้ช่วยไหม"อยู่ตลอดเเต่คำตอบคือ"ไม่เป็นไร"ซึ่งมันไม่จริงเลย ผมเองก็ไม่อยากเซ้าซี้เขามากดีไม่ดีพาลจะรำคาญเสียเปล่าผมก็ออกจากออฟฟิสไปในใจก็คิดว่ากุเป็นผู้ชายน่ะโว้ย!!!กุควรเดินไปเฉยๆหรอว่ะ ก็เลยตัดสินใจว่าผมจะเเล้วกลับเข้าออฟฟิศทำเป็นลืมของเเล้วค่อยเนี้ยนไปดูว่ามีอะไรพอช่วยได้ไหมเเทนการถามให้รำคาญลึกๆก็คิดเเละทำเป็นเนี้ยนไปเขาอาจจะยอมให้ช่วยก็ได้ ผมกลับขึ้นไปทำเป็นเนียนว่าลืมของ เเล้วก็ค่อยเดินไปไกล้ๆ เเล้วก็สังเกตุเห็นว่ามันมีบ้างอย่างที่ผมพอจะช่วยได้จริงๆ ก็เลยเริ่มทำให้เขาเห็น ที่นี้ก็ง่ายผมค่อยทำไปที่ละส่วนจนในที่สุดก็เสร็จ มันเป็นความรู้สึกที่ดีเหมือนกันน่ะ สำหรับการช่วยเหลือใครสักคน สรุปพองานเสร็จเร็วหัวหน้าผมก็กลับบ้านเร็วได้ ผ่านไปนานวันพอเริ่มมีงานทำนองนี้มาผมก็อาสาช่วยตลอดจนผมกับหัวหัวคือคนที่กับบ้านช้าที่สุดทุกวันบ้างครั้งก็ไม่มีงานหรอก55555 ยุคุยกันบ้างเเลกเปลี่ยนเื่ื่องคุยบ้างที่ก็กินเบียร์กันคนล่ะกระป๋องเเล้วค่อยเเยกย้ายกันกลับ เราค่อยๆสนินกันมากขึ้น จากเเค่นั่งคุยกัน กินเบียร์ เป็นการเดินเที่ยวนัดรถไฟเราใช่เวลาหลังเลิกงานยุด้วยกันนานขึ้น จากที่นับถือเเบบพี่สาวน้องชายกลายเป็นเพื่อนสนิท ทำงานเข้าขากันมากขึ้น เเละที่น่าเเปลกก็คือเราไม่เคยบอกเรื่องนี้กลับใครเลย เเละก็ไม่มีใครในบริษัทสงสัยหรือสนใจอะไรเกี่ยวกับเราเลยเรื่องเงียบสนิทเดาว่าคงเพราะคนอื่นพอเลิกงานทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตากลับบ้าน ผมเองทางกลับบ้านก็คนล่ะทางกับคนอื่น เช่นเดียวกับหัวหน้า เพราะต้องกลับบ้านเป็นคนสุดท้ายตลอด เลยไม่มีใครสนใจมั้งน่ะ55555 จากไปเดินตลาดนัดด้วยกัน กลายเป็นนัดไปดูหนัง มาถึงจุดนี้ผมเองก้เริ่มสงสัยในความูู้้สึกตัวเองเหมือนกันน่ะว่าตกลงมันคือความสัมพันธ์เเบบไหนกันเเน่ เราเป็นพี่สาวน้องชาย หรือว่าเป็น เพื่อนสนิทกันเเน่ ที่เเปลกอีกอย่างนึ่งก็คือเราไม่เคยเล่าปูมหลังหรือเรื่องส่วนตัวให้กันฟังมากนักเเต่ก็ดันไปไหนมาไหนด้วยกันได้ ทุกเช้าผมจะใจจดใจจ่อรอว่าเมื่อไรเขาจะมา วันนี้เขาจะมาไหม ถึงตรงนี้ผมก็เริ่มรู้สึกเเล้วว่าจริงๆมันไม่ใช่ความเป็นเพื่อนหรือพี่สาวอีกต่อไปเเล้วมันคือความรักเเบบคนเป็นแฟนกันถึงเเต่ผมเองก็พยามหักห้ามใจตัวเอวเสมอว่าเราอาจเป็นฝ่ายเดวที่คิดเเบบนี้ เขาอาจมีคนรักยุเเล้ว หรือที่หนักกว่านั้นคือ เขาอาจมีคนรอบครัวมีลูกเเล้วก็ได้5555อะไรประมาณอีกใจก็คิดว่าขนาดไปไหนมาไหนด้วยกันขนาดนี้เค้าต้องโสดสิว่ะไม่งั้นเค้าคงไม่ไปกับกูสองต่อสองขนาดนี้หรอก"ในใจลึกๆยังเข้าข้างตัวเองอยู่"เวลาทำงานผมก้ชอบไปมองที่เขาอย่างน้อยมันต้องมีสักเเว่บเเหละ บ้างก็รู้สึกว่าเขาเองก็มองดูเรายุเเต่ก้คิดน่ะว่ามันเป้นเรื่องปกติอาจมีชำเลื่องบ้างมันปกติ ช่วงนี้คือช่วงที่ผมยอมรับว่ากำลังรับมือกับจิตใจตัวเองสุดๆ อีกใจพยายามบอกว่าเข้าต้องมีใจเเน่ๆอีกใจก้บอกตัวเองว่าพอเเค่นี้เถอะเราอาจคิดไปเองอย่าง ไงก็เถอะ ในตอนนี้ผมยอมรับเเล้วว่าผมหลงรักหัวหน้าเข้าเเล้ว...เดวกลับมาต่อน่ะครับ.
ความรักคือสิ่งดี ที่สามารถทำให้เราทำเรื่องเลวทรามได้โดยที่ไม่รู้ตัว