กำลังจะโดนแฟนที่คบกันมา7ปีทิ้งครับ เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นและแฟนมาตั้งแต่ปวช. 2 ยันจบมหาลัย เรียนห้องเดียวและอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน ความรักเราเริ่มจากเพื่อนที่มาสารภาพรักกันเอง ใครสารภาพก็ไม่สำคัญครับ เพราะมาในวันนี้เธอบอกว่าเธอทนแบกรับสิ่งที่ผมเจอในชีวิตไม่ไหวแล้ว เธอกดดันมามาก
ประเด็น
*ผมเป็นหนี้หลายล้านตั้งแต่อายุยังเท่าฝาหอยแบบนี้ กู้เพื่อให้ที่บ้านมาทำธุรกิจ
*บวกกับปัญหาทางครอบครัวของฝั่งผมที่ไม่ดูดำดูดี ที่คิดจะไปสู่ขอหรือช่วยเรื่องงานแต่งเลย มีแต่ทิ้งหนี้ให้ชดใช้ แล้วหนีไป..
ผมจึงบอกให้เธออดทน อีกไม่นานผมจะหาเงินมาแต่งงานให้ได้ ทางพ่อแม่เธอก็เข้าใจและเอ็นดูผมเหมือนลูกชายคนนึงทั้งๆที่ปกติครอบครัวชาวมุสลิมจะบังคับให้แต่งงานหลังจากรู้ว่าชายและหญิงคบกัน เพราะมันเป็นหน้าตาของครอบครัวเขาด้วย ตัวผมมีความสุขมากๆครับที่ท่านทั้งสองเข้าใจ ถึงพ่อแม่แท้ๆจะไม่เหลียวแล แต่ยังมีพ่อแม่แฟนที่อยู่คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือในวันที่ลำบาก ผมเองก็พยายามช่วยฝั่งแฟนอย่างเต็มความสามารถที่ชายพึ่งจบใหม่ได้2ปีจะทำได้ หลังเรียนจบมาได้เข้าปีที่3 ผมมีความเครียดเกี่ยวกับหนี้สินและธุรกิจเป็นอย่างมาก บวกกับร่างกายอ่อนแอจิตใจย่ำแย่ เป็นสาเหตุที่ทำให้อาการของโรคลำไส้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ulcerative colitis แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่สุดในชีวิต โรคนี้ค่อนข้างพบยากต้องใช้หมอเฉพาะทางในการรักษา กว่าจะตรวจทราบโรคที่เป็น อาการก็ผ่านไปกว่า3เดือน ร่างกายของผมไม่เหมือนเดิมซูบผอมลงกว่า10กิโล (มวลร่างกาย+น้ำ ตอนนี้สูง185 นน.55-60 ขึ้นๆลงๆตามอาการกำเริบ) เหนื่อยง่าย ซึมจากสภาพทางจิตใจและการใช้ตัวยารักษาที่รุนแรง(ต้องกินวันละ6เม็ดขึ้นไป ไม่รวมยาเสริมอื่นๆ) จึงมีอาการโมโหง่ายเข้ามาโดยไม่รู้ตัว (เธอบอกมาว่าผมเปลี่ยนไปตั้งแต่กินยา)
หมอเสนอทางเลือกให้ผมรับตัวยาพิเศษจากเมืองนอก รับประกันว่าโรคจะสงบแน่นอนและไม่ต้องเสี่ยงกับโรคไตจากการกินยาวันละหลายๆเม็ดอีกด้วย แต่บัตรทองไม่คุ้มครองค่ารักษาใดๆ และประกันของผมก็เช่นเดียวกัน ร่วมทั้งครอบครัวที่ไม่ได้ช่วยเหลือเป็นชิ้นเป็นอันเท่าที่ควร (เฝ้าไข้ก็แฟนผม ขับรถไปส่งโรงบาลต่างจังหวัดก็แฟนผมล้วนๆ)
โดยตัวยานี้ต้องใช้ติดต่อกันถึง 10 โดส ตลอด1ปี โดสละประมาณ 8หมื่นบาท แต่คุณหมอบอกตอนนี้ทางบริษัทยากำลังจัดแคมเปญช่วยเหลือชนชั้นกลาง-ล่างให้มีโอกาสได้ใช้ยาตัวนี้ในราคาที่ถูกลงมากๆ แต่ต้องส่งเอกสารเพื่อประเมินเศรษฐานะ เฉลี่ยจาก20เคสในประเทศที่ได้ใช้ยาตัวนี้ ผู้ป่วยต้องจ่ายเป็นเงินตัวเอง 3แสนบาท/10โดส
ผมจึงบอกกับแฟนว่าจะนำ รายได้ที่หามาทั้งหมดจ่ายค่ายาในปีนี้ และจึงทำให้เราได้แต่งงานกันช้าลงไปโดยอัตโนมัติ เธอรับฟังและดูเหมือนจะตกลงกันได้
แต่แล้ว..อาการของเธอก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาจจะเพราะความเครียดของงานเธอด้วย จากที่ไม่เคยเที่ยวกลางคืนเพราะผมเคยบอกว่าถ้าคบกัน ผมของดเรื่องของมึนเมาได้ไหม เที่ยวดึกมันอันตรายด้วย เธอก็ยอมทำตามมาตลอด 7ปี! จนถึงเมื่อเร็วๆนี้ ที่ขอไปพบปะเพื่อนร่วมงานหรือกลุ่มผู้หญิงรุ่นพี่ทั้งหลายบ่อยขึ้น ทำให้กลับบ้านดึก ยอมรับว่าถามไลน์บ่อยคับ “อยู่ไหนและถึงบ้านหรือยัง” ทางเพื่อนก็แนะนำว่าอย่าทำงั้นบ่อย อารมณ์ผมมันไปเองตลอด แต่ผมไม่เคยโทรจิกนะ ก็เข้าใจในเรื่องสังคมของเธอ ขอแค่กลับบ้านอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว จะเที่ยวก็ไม่ดุเธอแล้ว เพราะผมรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ไปต่อรองอะไรเหมือนก่อนแล้ว..
มีอยู่คืนหนึ่งที่เธอขอไปเที่ยวแต่ดันไม่ยอมกลับบ้าน บอกไปค้างบ้านรุ่นพี่ผู้หญิงกลับอีกทีเกือบเช้า วันนั้นผมตระหนักแล้วว่าเธออาจมีความตั้งใจจะบีบผมหรือป่าว เราจึงมานั่งคุยกันและหาทางออกร่วมกัน แต่ยอมรับว่าอารมณ์ผมไม่นิ่งจริงๆ จะง้อก็ไม่ง้อ ค่อนไปทางโกรธเรื่องที่ไม่ยอมกลับบ้านมากกว่า เพราะผมเองไม่เคยขอเที่ยวหรือค้างบ้านใครเลยตลอดมา
เธอบอกเธอเหนื่อยอย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ และต้องการให้เราห่างกัน ผมจึงต้องการความจริงว่า ตกลงเธอมีคนอื่นหรือแค่เหนื่อยจริงๆ ถ้าเธอมีคนอื่นขอแค่บอกมา ผมเข้าใจมุมมองของผู้หญิงดี ถ้าหากจุดที่ยืนไม่มั่นคงพอ พวกเธอก็อาจเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา ความสงสารอาจเป็นแค่เปลือกที่ใช้เก็บซ่อนความอยากที่แท้จริงเพื่อให้รู้สึกผิดน้อยลง
ยอมรับว่าผมจุกในใจ เพราะ สัญชาตญาณของผู้ชายเราก็มีไม่แพ้ผู้หญิง เขารักน้อยลงไม่บอกผมก็รู้ดีครับ
เธอบอก “ไม่มีเธอคนเดิมอีก กลับไปได้แต่คงไม่เหมือนเดิมแล้ว” ผมยิ่งฟังแล้วก็ยิ่งจุก จากที่เคยคิดว่าเธอคือคู่แท้ก็พังทลาย คำว่าไม่เหมือนเดิมมันโหดร้ายกว่าบอกเลิกกันตรงๆอีกนะ สำหรับผม เธอบอกว่ากลัวที่จะไม่เจอใครที่ทำให้ได้มากเท่าผมทำ เธอไม่อยากเลิกทันทีและขอให้ผมไปคิดทบทวนตัวเอง ให้เวลาผมคิดว่าจะรั้งเธอแบบไหน
ทั้งใจทั้งกายผมสับสนไปหมด พวกคุณคงไม่รู้ว่าแรงคิดบวกจะใช้ชีวิตไปวันๆยังยาก ความคิดแง่บวกเหลือแค่ “อย่างน้อยก็มีเธออยู่ข้างๆ เราจะสร้างอนาคตไปด้วยกัน” เท่านั้น
ผมจึงหมดแรงและกำลังอย่างบอกไม่ถูกเพราะรู้ตัวว่าเกณฑ์อันตรายของชีวิตผมมันเกินกว่าคำว่า “เกินเยียวยา” ไปแล้ว ทั้งอนาคตที่อาจเห็นแต่ริบหรี่ หนี้สินท่วมหัว ครอบครัวที่พังทลาย ตามด้วยร่างกายที่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองดีกับยาตัวใหม่หรือไม่
ตอนนี้คือคิดแต่จะยื้อชีวิตตัวเองขึ้นจากโคลนตม ให้เธอเห็นว่าผมเป็นคนใหม่ รักตัวเองมากขึ้น และเลิกคิดว่าเธอเป็นของตายที่จะอยู่กับผมไปตลอดรอดฝั่ง แม้ในใจลึกๆก็รู้ว่าเธอจะไม่เหมือนเดิมอีก
ถาม
ผมควรไปต่อกับเธอที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน รั้งเธอไว้ด้วยแรงที่เหลือแล้วเสี่ยงดวงในอนาคตว่าเธอจะกลับมาเหมือนเดิม หรือเชื่อใจตัวเองว่าจะอยู่ลำพังได้จริงๆ เอาชีวิตรอดจากช่วงมรสุมนี้ และตัดสินใจ ตัดความสัมพันธ์เด็ดขาด ท้ายที่สุดไม่เอาชีวิตตัวเองไปเป็นเรื่องแย่ๆในชีวิตของเธอ ดีครับ? ผมอยากถามผู้มีประสบการณ์นะครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบ เรื่องอาจจะยาว หรืองงไปบ้างก็ขออภัยครับ มันเป็นการโพสต์พันทิปครั้งแรกจริงๆ แหะๆ🤫
ปล. ผมต้องขึ้นเครื่องไปกทม. กับเธอพรุ่งนี้ และนี่อาจจะเป็นการเที่ยวด้วยกันครั้งสุดท้ายของเรา...ตี2แล้ว ฝันดีครับทุกคน ..
กำลังจะโดนแฟนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนทิ้งครับ
ประเด็น
*ผมเป็นหนี้หลายล้านตั้งแต่อายุยังเท่าฝาหอยแบบนี้ กู้เพื่อให้ที่บ้านมาทำธุรกิจ
*บวกกับปัญหาทางครอบครัวของฝั่งผมที่ไม่ดูดำดูดี ที่คิดจะไปสู่ขอหรือช่วยเรื่องงานแต่งเลย มีแต่ทิ้งหนี้ให้ชดใช้ แล้วหนีไป..
ผมจึงบอกให้เธออดทน อีกไม่นานผมจะหาเงินมาแต่งงานให้ได้ ทางพ่อแม่เธอก็เข้าใจและเอ็นดูผมเหมือนลูกชายคนนึงทั้งๆที่ปกติครอบครัวชาวมุสลิมจะบังคับให้แต่งงานหลังจากรู้ว่าชายและหญิงคบกัน เพราะมันเป็นหน้าตาของครอบครัวเขาด้วย ตัวผมมีความสุขมากๆครับที่ท่านทั้งสองเข้าใจ ถึงพ่อแม่แท้ๆจะไม่เหลียวแล แต่ยังมีพ่อแม่แฟนที่อยู่คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือในวันที่ลำบาก ผมเองก็พยายามช่วยฝั่งแฟนอย่างเต็มความสามารถที่ชายพึ่งจบใหม่ได้2ปีจะทำได้ หลังเรียนจบมาได้เข้าปีที่3 ผมมีความเครียดเกี่ยวกับหนี้สินและธุรกิจเป็นอย่างมาก บวกกับร่างกายอ่อนแอจิตใจย่ำแย่ เป็นสาเหตุที่ทำให้อาการของโรคลำไส้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ulcerative colitis แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่สุดในชีวิต โรคนี้ค่อนข้างพบยากต้องใช้หมอเฉพาะทางในการรักษา กว่าจะตรวจทราบโรคที่เป็น อาการก็ผ่านไปกว่า3เดือน ร่างกายของผมไม่เหมือนเดิมซูบผอมลงกว่า10กิโล (มวลร่างกาย+น้ำ ตอนนี้สูง185 นน.55-60 ขึ้นๆลงๆตามอาการกำเริบ) เหนื่อยง่าย ซึมจากสภาพทางจิตใจและการใช้ตัวยารักษาที่รุนแรง(ต้องกินวันละ6เม็ดขึ้นไป ไม่รวมยาเสริมอื่นๆ) จึงมีอาการโมโหง่ายเข้ามาโดยไม่รู้ตัว (เธอบอกมาว่าผมเปลี่ยนไปตั้งแต่กินยา)
หมอเสนอทางเลือกให้ผมรับตัวยาพิเศษจากเมืองนอก รับประกันว่าโรคจะสงบแน่นอนและไม่ต้องเสี่ยงกับโรคไตจากการกินยาวันละหลายๆเม็ดอีกด้วย แต่บัตรทองไม่คุ้มครองค่ารักษาใดๆ และประกันของผมก็เช่นเดียวกัน ร่วมทั้งครอบครัวที่ไม่ได้ช่วยเหลือเป็นชิ้นเป็นอันเท่าที่ควร (เฝ้าไข้ก็แฟนผม ขับรถไปส่งโรงบาลต่างจังหวัดก็แฟนผมล้วนๆ)
โดยตัวยานี้ต้องใช้ติดต่อกันถึง 10 โดส ตลอด1ปี โดสละประมาณ 8หมื่นบาท แต่คุณหมอบอกตอนนี้ทางบริษัทยากำลังจัดแคมเปญช่วยเหลือชนชั้นกลาง-ล่างให้มีโอกาสได้ใช้ยาตัวนี้ในราคาที่ถูกลงมากๆ แต่ต้องส่งเอกสารเพื่อประเมินเศรษฐานะ เฉลี่ยจาก20เคสในประเทศที่ได้ใช้ยาตัวนี้ ผู้ป่วยต้องจ่ายเป็นเงินตัวเอง 3แสนบาท/10โดส
ผมจึงบอกกับแฟนว่าจะนำ รายได้ที่หามาทั้งหมดจ่ายค่ายาในปีนี้ และจึงทำให้เราได้แต่งงานกันช้าลงไปโดยอัตโนมัติ เธอรับฟังและดูเหมือนจะตกลงกันได้
แต่แล้ว..อาการของเธอก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาจจะเพราะความเครียดของงานเธอด้วย จากที่ไม่เคยเที่ยวกลางคืนเพราะผมเคยบอกว่าถ้าคบกัน ผมของดเรื่องของมึนเมาได้ไหม เที่ยวดึกมันอันตรายด้วย เธอก็ยอมทำตามมาตลอด 7ปี! จนถึงเมื่อเร็วๆนี้ ที่ขอไปพบปะเพื่อนร่วมงานหรือกลุ่มผู้หญิงรุ่นพี่ทั้งหลายบ่อยขึ้น ทำให้กลับบ้านดึก ยอมรับว่าถามไลน์บ่อยคับ “อยู่ไหนและถึงบ้านหรือยัง” ทางเพื่อนก็แนะนำว่าอย่าทำงั้นบ่อย อารมณ์ผมมันไปเองตลอด แต่ผมไม่เคยโทรจิกนะ ก็เข้าใจในเรื่องสังคมของเธอ ขอแค่กลับบ้านอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว จะเที่ยวก็ไม่ดุเธอแล้ว เพราะผมรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ไปต่อรองอะไรเหมือนก่อนแล้ว..
มีอยู่คืนหนึ่งที่เธอขอไปเที่ยวแต่ดันไม่ยอมกลับบ้าน บอกไปค้างบ้านรุ่นพี่ผู้หญิงกลับอีกทีเกือบเช้า วันนั้นผมตระหนักแล้วว่าเธออาจมีความตั้งใจจะบีบผมหรือป่าว เราจึงมานั่งคุยกันและหาทางออกร่วมกัน แต่ยอมรับว่าอารมณ์ผมไม่นิ่งจริงๆ จะง้อก็ไม่ง้อ ค่อนไปทางโกรธเรื่องที่ไม่ยอมกลับบ้านมากกว่า เพราะผมเองไม่เคยขอเที่ยวหรือค้างบ้านใครเลยตลอดมา
เธอบอกเธอเหนื่อยอย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ และต้องการให้เราห่างกัน ผมจึงต้องการความจริงว่า ตกลงเธอมีคนอื่นหรือแค่เหนื่อยจริงๆ ถ้าเธอมีคนอื่นขอแค่บอกมา ผมเข้าใจมุมมองของผู้หญิงดี ถ้าหากจุดที่ยืนไม่มั่นคงพอ พวกเธอก็อาจเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา ความสงสารอาจเป็นแค่เปลือกที่ใช้เก็บซ่อนความอยากที่แท้จริงเพื่อให้รู้สึกผิดน้อยลง
ยอมรับว่าผมจุกในใจ เพราะ สัญชาตญาณของผู้ชายเราก็มีไม่แพ้ผู้หญิง เขารักน้อยลงไม่บอกผมก็รู้ดีครับ
เธอบอก “ไม่มีเธอคนเดิมอีก กลับไปได้แต่คงไม่เหมือนเดิมแล้ว” ผมยิ่งฟังแล้วก็ยิ่งจุก จากที่เคยคิดว่าเธอคือคู่แท้ก็พังทลาย คำว่าไม่เหมือนเดิมมันโหดร้ายกว่าบอกเลิกกันตรงๆอีกนะ สำหรับผม เธอบอกว่ากลัวที่จะไม่เจอใครที่ทำให้ได้มากเท่าผมทำ เธอไม่อยากเลิกทันทีและขอให้ผมไปคิดทบทวนตัวเอง ให้เวลาผมคิดว่าจะรั้งเธอแบบไหน
ทั้งใจทั้งกายผมสับสนไปหมด พวกคุณคงไม่รู้ว่าแรงคิดบวกจะใช้ชีวิตไปวันๆยังยาก ความคิดแง่บวกเหลือแค่ “อย่างน้อยก็มีเธออยู่ข้างๆ เราจะสร้างอนาคตไปด้วยกัน” เท่านั้น
ผมจึงหมดแรงและกำลังอย่างบอกไม่ถูกเพราะรู้ตัวว่าเกณฑ์อันตรายของชีวิตผมมันเกินกว่าคำว่า “เกินเยียวยา” ไปแล้ว ทั้งอนาคตที่อาจเห็นแต่ริบหรี่ หนี้สินท่วมหัว ครอบครัวที่พังทลาย ตามด้วยร่างกายที่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองดีกับยาตัวใหม่หรือไม่
ตอนนี้คือคิดแต่จะยื้อชีวิตตัวเองขึ้นจากโคลนตม ให้เธอเห็นว่าผมเป็นคนใหม่ รักตัวเองมากขึ้น และเลิกคิดว่าเธอเป็นของตายที่จะอยู่กับผมไปตลอดรอดฝั่ง แม้ในใจลึกๆก็รู้ว่าเธอจะไม่เหมือนเดิมอีก
ถาม
ผมควรไปต่อกับเธอที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน รั้งเธอไว้ด้วยแรงที่เหลือแล้วเสี่ยงดวงในอนาคตว่าเธอจะกลับมาเหมือนเดิม หรือเชื่อใจตัวเองว่าจะอยู่ลำพังได้จริงๆ เอาชีวิตรอดจากช่วงมรสุมนี้ และตัดสินใจ ตัดความสัมพันธ์เด็ดขาด ท้ายที่สุดไม่เอาชีวิตตัวเองไปเป็นเรื่องแย่ๆในชีวิตของเธอ ดีครับ? ผมอยากถามผู้มีประสบการณ์นะครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบ เรื่องอาจจะยาว หรืองงไปบ้างก็ขออภัยครับ มันเป็นการโพสต์พันทิปครั้งแรกจริงๆ แหะๆ🤫
ปล. ผมต้องขึ้นเครื่องไปกทม. กับเธอพรุ่งนี้ และนี่อาจจะเป็นการเที่ยวด้วยกันครั้งสุดท้ายของเรา...ตี2แล้ว ฝันดีครับทุกคน ..