เราดูแย่ไปมั้ยคะ ที่ไม่สบายใจกับการสืบทอดกิจการที่บ้าน และอยากไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกคนเดียว

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอเล่าการใช้ชีวิตส่วนตัวก่อนนะคะ เราเป็นคนค่อนข้างติดดินค่ะ ไม่ค่อยให้คุณค่าอะไรกับการมีเงินใช้เยอะๆ ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายในทุกเดือน เพราะอยากจะบาลานซ์ค่าใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายรับในทุกๆเดือน และไม่เคยใช้เท่ากับรายรับหรือเกินจากรายรับเลยค่ะ จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีเป้าหมายนะคะว่าจะเก็บเงินไว้ทำอะไร เป็นคนไม่ค่อย Shopping อยู่แล้วด้วย หรือถ้าซื้อก็มีพวกเสื้อผ้าเครื่องสำอาง แต่ราคาต้องถูกมากๆ จะว่าเป็นคนขี้งกก็ได้ค่ะ ความสุขของเราคือการได้เห็นเงินในบัญชีเยอะๆ

เราโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีเงินส่วนตัวใช้มากไปกว่าคนอื่นนะคะ ตั้งแต่เล็กจนโต เราได้เงินใช้น้อยกว่าเพื่อนเพื่อนทุกคนในห้อง อยากได้ของอะไรก็ต้องเก็บเงินซื้อเอง จำได้ว่ากว่าจะได้ปริ้นเตอร์เครื่องแรก ก็ปาไป ม. 3 แล้ว โทรศัพท์มือถือ เพื่อนใช้แบบสัมผัสกันหมดแล้ว เรายังได้ใช้แค่ปุ่มกด แต่เราไม่ได้เก็บกดอะไรกับเรื่องนี้นะคะ เรายอมรับเลยว่ามันคือการสอนที่ดี  

ความกดดันมันอยู่ตรงไหน ? ที่บ้านเราพูดมาตลอดว่าสิ่งเดียวที่ขอคือขอให้เราเป็น “นักธุรกิจ” เราฟังที่บ้านพูดแต่ข้อดีของการทำอาชีพนี้มาตลอด พร้อมกับความคาดหวังและการวางแผนต่างๆ “เราต้องเรียนภาษาเผื่อจะทำส่งออก” “เราต้องแต่งงานกับนักธุรกิจ” “อย่าทำทุกอย่างที่ไม่ใช่ธุรกิจ” “เดี๋ยวอีก 5-10 ปี ถ้าเรามาบริหาร ยอดคงได้เท่านั้นเท่านี้ ซื้อนั่นซื้อนี่ได้” ตอนเด็กเด็กเราก็เฉยเฉยแหละค่ะ เพราะสิ่งหนึ่งที่เค้าสอนมาตลอดคือ “เรียนจบอะไรมาก็ได้ เพราะยังไง สิ่งที่เรียนมา เป็นส่วนน้อยที่สามารถนำไปใช้ในงานได้”

สมัยตอนเราอยู่ประถมเราเป็นคนไม่ชอบภาษาเอามากๆนะคะ คะแนนสอบออกมาได้แค่หนึ่งส่วนหกของคะแนนเต็มเอง แต่เราถูกบังคับให้ท่องศัพท์ทุกวัน ทั้งจีนและอังกฤษ เช้า 20 คำ เย็น 20 คำ ถ้าวันไหนไม่ท่องคือโดนหักเงินค่าขนม จากไม่ชอบก็ต้องชอบสิคะ เพราะถ้าเราไม่ชอบ =ไม่ตั้งใจ =โดนว่า ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ทุกครั้งที่เราสอบภาษา เราจะได้ท็อปหรือไม่ก็รองท็อป  เราค้นหาความฝันของตัวเองได้ตั้งแต่ประมาณ ป.6-ม.1 ยังไงๆ เราจะเข้าอักษรฯ ฬ  จะเรียนให้ถึงปริญญาเอกเลยด้วยซ้ำ เราคิดมาตลอดว่าในเรื่องของภาษาเราจะช่วยที่บ้าน และไปเป็นอาจารย์เสริมตามมหาลัย หรือเป็นติวเตอร์สอนตามบ้าน เพราะต้องยอมรับว่า การจะเดินสายอาชีพการศึกษา ในประเทศไทย สถาบันค่อนข้างสำคัญ หรือถ้าสุดท้ายเราทำไม่ได้จริงๆ ความฝันสำรองของเราก็คือ  การเข้าเรียนคณะดุริยางคศิลป์ เพราะเราเป็นคนชอบร้องเพลงแต่เด็ก เราจะทำงานนี้เป็นงานอดิเรกอีกงานหนึ่ง

ความฝันนี้เราเล่าให้ที่บ้านฟังตลอด และทุกครั้งที่ไปสยามหรือแถวศาลายาเราจะชี้ตลอด แล้วบอกว่า “สักวันหนึ่ง จะเข้าที่นี่ให้ได้” เขาก็เงียบๆกัน แล้วบอกว่า “โอ้ย แค่เรียนแค่นี้เกรดยังห่วยเลย หัวสูงไปปะ” เราก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาคิดในใจว่าสักวันนึงฉันต้องทำให้ได้ ตอนนั้นเกรดอยู่ 2 ปลาย 3 ต้นๆ ก็แย่จริงๆแหละค่ะ เพราะเอาแต่ภาษา อย่างอื่นคือปล่อย

พอได้เป้าหมายตั้งแต่ตอนนั้น เราเลยเรียนเก็บเกรด จนขึ้นมาถึง 3.7 ตอน ม.3 แล้วเราก็สอบเทียบเข้ามหาลัย ตั้งแต่อายุ 16 ใจนี่หวังว่าจะเอาวุฒิไปยื่นแค่สองมหาลัยเท่านั้น แต่ทุกอย่างผิดคาด เค้ามาบอกเราว่ายังไงเค้าก็ไม่ให้เราเอาขาก้าวเข้าไปในสองอาชีพที่เราอยากเป็น เราโดนบังคับให้เรียนเกี่ยวกับธุรกิจในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตอนนั้นหมดหวังมากค่ะ คิดอย่างเดียวถ้าเรียนตรงนี้จะทำตัวยังไงก็ได้ให้โดนรีไทร์ ไอคำว่าเรียนจบอะไรมาก็ได้ขอแค่มาทำงาน ทำไมวันนี้มันเป็นแบบนี้ เพราะตกตะกอนความคิดได้สเต็ปหนึ่ง เลยคิดว่า โห อุตส่าห์ดึงเกรดเฉลี่ยสุดท้ายขึ้นมาได้ที่ 3.7 จากที่เมื่อก่อนทั้งที่บ้านและครูปักหน้าอกด้วยเกรดเฉลี่ยขนาดนี้ จะล้มง่ายง่ายเพียงเพราะหมดหวังแบบนี้หรอ เราก็เลยตั้งไจเรียนจนจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง โดยใช้เวลา 2 ปีครึ่งเท่านั้น แต่ร้องไห้เกือบทุกคืนนะคะ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ชอบเลย พร้อมกับสังคมที่เจอในมหาลัยเอกชน เหมือนเป็นเด็กเรียนคนเดียวที่ทำงานทุกอย่าง 

เราระบายให้เขาฟังตลอดนะ ว่าเราเหนื่อยกับการเรียนมากแค่ไหน  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา  เราโดนว่าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวค่ะ ไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่น วันที่เรียนจบ เอาผลการเรียนมาอวดด้วยความภาคภูมิใจ เค้าได้แต่บอกเราว่า เกียรตินิยมแค่นี้อะ เอาไปเขวี้ยงทิ้งเถอะ ทำไรไม่ได้หรอก เรายังรู้สึกเศร้ามาถึงตอนนี้เลยจะทำอะไรก็ไม่มีใครภูมิใจ เกรดต่ำก็โดนว่าเกรดสูงก็มาดูถูก

วันนี้มาทำงานเข้าจริงๆ บอกเลยค่ะว่าไม่มีความสุขมากๆ เราถูกตีกรอบทุกอย่าง จะสักคิ้ว จะทำจมูก จะทานของดิบ จะมีแฟนคนไหน นิสัยต้องเป็นแบบที่เขาต้องการ ทุกอย่างคือที่บ้านเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ทั้งหมด ถ้าเราไม่ทำตาม เขาจะไล่เราค่ะ จะเอาสมบัติคืน พูดต่างๆนาๆ จนตอนนี้เรารู้สึกว่า เหมือนเป็นนกโดนตัดปีกตัดขาแล้วขังไว้อยู่ในกรง (เรามีปัญหาเรื่องสายตาเลือนรางด้วยนะ) จะสังเกตเห็นได้ว่าอาชีพแต่ละอาชีพที่เราเลือก มันอาจจะเหมาะกับเรามากกว่านี้  ผิดที่วันนี้เรากลายเป็นคนกลัวโลกภายนอกไปแล้วค่ะ ขนาดที่บ้านยังไล่เราขนาดนี้ เราไม่รู้ว่าคนข้างนอกจะรังเกียจเราหรือเปล่า เลยเป็นสาเหตุที่เราออกไปไหนไม่ได้

การอยู่ตรงนี้มันหนักถึงขั้นที่ว่า เราอาจกำลังจะโดนคลุมถุงชน จนเรากลัวการไปเที่ยวกับที่บ้านมาก ว่าเขาจะไปคุยกะ ผช. คนไหน จนถูกใจ และบังคับให้เราไปคุย คือเราไม่ได้ไร้ค่าขนาดนั้นนะเอาจริง เรารู้ว่าเรามีข้อจำกัดทางด้านร่างกายแบบนี้ เราก็เจียมตัวอยู่ตลอด

มันทำให้เราเชื่ออย่างหนึ่งว่า การอยู่บนกองเงินกองทองใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป การใช้ชีวิตของเราที่เราเล่ามาตอนต้น ณ วันนี้เราตอบได้เลยว่า  เราแทบจะไม่ต้องการอะไรที่เป็นของนอกกายหรือฟุ่มเฟือยเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่เราต้องการคือห้องเล็กๆที่เต็มไปด้วยความสุขก็พอ ถ้าวันหนึ่งเราตัดสินใจไปอยู่เมืองนอก ต่อให้งานที่เราจะทำมันจะยากลำบากแค่ไหน เราจะยอมทุกอย่าง ในเมื่อจุดนี้มันไม่มีความสุขจริงๆ

เราเชื่ออย่างหนึ่งว่าในต่างประเทศเค้าเคารพสิทธิส่วนบุคคลกันสูงมาก เรามองไปถึงอนาคตการงาน และมีความเป็น Individualism ทุกวันนี้เวลาเราเดินทางไปไหนคนเดียว คนจะชอบเข้ามาถามเราว่าเราเป็นอะไร เรายังหวังลึกลึกว่าถ้าเราไปอยู่เมืองนอกจะไม่ค่อยมีใครมาสนใจเราเรื่องนี้ และเราจะไม่ต้องมานั่งอธิบายทุกครั้ง มันบั่นทอนมาก

ถึงจุดนี้ เราจะดูเห็นแก่ตัวไหมที่คิดว่าถ้าเก็บเงินได้จะไปอยู่เมืองนอกแล้ว เพราะมีคนเคยบอกเราว่า เขาเลี้ยงดูเรามาทั้งชีวิต พอตอนนี้เราคิดจะทิ้งกิจการไปดื้อดื้อ มันเหมือนเป็นการไม่กลับมาใช้หนี้เขา ตอนนี้คิดอยู่ทุกวันว่าที่เราตัดสินใจมันถูกหรือเปล่าคะ?
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่