เจาะลึกการใช้เงินเสริมทัพ ลิเวอร์พูล ภายใต้การบริหาร 9 ปีของ เฟนเวย์ กรุ๊ป
ต้องยอมรับว่า จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และเฟนเวย์ สปอร์ตส กรุ๊ป (FSG) กลุ่มทุนจากสหรัฐฯ เข้ามาเปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล อย่างมาก โดยตลอด 9 ปีที่ผ่านมาสิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่พวกเขาทำให้กับ "หงส์แดง" ก็คือการซื้อขายนักเตะที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่นำสโมสรคืนสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง
สำหรับในสัปดาห์นี้จะครบ 9 ปีที่ "เดอะ เร้ดส์" ถูกเข้ามาบริหารงานด้วยกลุ่มทุนเฟนเวย์ โดยสิ่งที่พวกเขาเริ่มทำตั้งแต่ที่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรก็คือการประกาศเจตนารมย์อย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะทำในสิ่งที่จำเป็นที่สุดเพื่อนำ ลิเวอร์พูล กลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีต
ในช่วงระยะเวลาแห่งการตั้งไข่ ลิเวอร์พูล ล้มลุกคลุกคลานพอสมควร แต่หลังจากที่สโมสรทำการแต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน เข้ามานั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมในเดือนตุลาคม 2015 นี่คือจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง เพราะสิ่งนี้นำไปสู่การที่ "หงส์แดง" โบยบินคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
มีนักเตะมากมายที้ย้ายเข้ามา และถูกขายออกไปในยุคของ "เอฟเอสจี" โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ คล็อปป์ สร้างทีมขึ้นมาตามรูปแบบของเขา และกำลังส่งผลดีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในฤดูกาลปัจจุบัน ที่พวกเขาเก็บชัยชนะ 8 แมตช์รวดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ รั้งจ่าฝูง ทิ้งห่าง "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 8 คะแนน
แล้วการลงทุนเพื่อสร้างกลุ่มนักเตะที่แข็งแกร่งของ ลิเวอร์พูล ตลอดช่วง 9 ปีเป็นยังไงบ้าง ? ยกตัวอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, หลุยส์ ซัวเรซ และราฮีม สเตอร์ลิง ที่อำลาถิ่นแอนฟิลด์ พวกเขาหานักเตะใหม่เข้ามาแทนได้แก่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ ซาดิโอ มาเน่ รวมทั้งผู้เล่นคนอื่นๆ
ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีเรื่องน่าผิดหวังเช่นกันอย่างในกรณีของ แอนดี้ แคร์โรลล์ และ คริสติย็อง เบนเตเก้ ที่ย้ายมา และจากไปแบบไม่มีอะไรน่าจดจำ แน่นอนว่าการซื้อขายนักเตะของ "เดอะ เร้ดส์" มีอยู่ตลอดในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แต่ เฟนเวย์ กรุ๊ป ลงทุนยังไงจนทำให้ แชมป์โทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย กลับมายืนหนึ่งร่วมกับสโมสรระดับโลก ?
หากมองในแง่ของการใช้จ่ายเงิน "ลิเวอร์พูล เอคโค่" สื่อท้องถิ่นชื่อดัง ได้ทำการคำนวณแล้วว่า กลุ่มทุนเฟนเวย์ ลงทุนให้กับสโมสรแห่งนี้ประมาณ 205.43 ล้านปอนด์ (ราว 7,806 ล้านบาท) พร้อมเฉลี่ยแล้วใช้เงินไปประมาณ 22.83 ล้านปอนด์ (ราว 867.54 ล้านบาท) ต่อปี
กลุ่มทุนมะกันเคยทุ่มเงินในยุคที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุมบังเหียนเมื่อช่วงตลาดซื้อขายนักเตะฤดูกาล 20147-15 ด้วยเม็ดเงินจำนวน 100 ล้านปอนด์ (ราว 3,800 ล้านบาท) แต่นักเตะบางคนในยุคนั้นกลายเป็นผู้เล่นกำลังเสริมของ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช
นอกจากนี้สโมสรได้มีการลงทุนในช่วง 2 ตลาดพ่อค้าแข้งเพื่อสร้างทีมใหม่ระหว่างปี 2017 และ 2019 โดยรวมแล้วทุ่มเงินไปประมาณ 300 ล้านปอนด์ (ราว 11,400 ล้านบาท) แม้ว่าพวกเขาจะได้เงินพอสมควรจากการขาย คูตินโญ่ ให้บาร์เซโลน่า และนักเตะคนอื่นๆ ทำให้ทีมได้เงินคืนมาเกือบ 200 ล้านปอนด์ (ราว 7,600 ล้านบาท) ในซีซั่น 2017/2018
ส่วนต่างรายรับรายจ่ายด้านการเสริมทัพของนักเตะตั้งอต่เดือนมกราคมปี 2011
ฤดูกาล รายจ่าย รายรับ ส่วนต่าง
มกราคม 2011 57.8 ล้านปอนด์ (ราว 2,194 ล้านบาท) 55.8 ล้านปอนด์ (ราว 2,120 ล้านบาท) 2 ล้านปอนด์ (ราว 76 ล้านบาท)
2011/12 53.48 ล้านปอนด์ (ราว 2,032 ล้านบาท) 22.3 ล้านปอนด์ (ราว 847.3 ล้านบาท) 30.18 ล้านปอนด์ (ราว 1,146.84 ล้านบาท)
2012/13 49.9 ล้านปอนด์ (ราว 1,896.2 ล้านบาท) 13 ล้านปอนด์ (ราว 494 ล้านบาท) 36.9 ล้านปอนด์ (ราว 1,402 ล้านบาท)
2013/14 41.3 ล้านปอนด์ (ราว 1,569.4 ล้านบาท) 28.7 ล้านปอนด์ (ราว 1,090.6 ล้านบาท) 12.6 ล้านปอนด์ (ราว 478.8 ล้านบาท)
2014/15 116.85 ล้านปอนด์ (ราว 4,440.3 ล้านบาท) 78.5 ล้านปอนด์ (ราว 2,983 ล้านบาท) 38.35 ล้านปอนด์(ราว 1,457.7 ล้านบาท)
2015/16 93.85 ล้านปอนด์ (ราว 3,566.3 ล้านบาท) 70.4 ล้านปอนด์ (ราว 2,675.2 ล้านบาท) 23.45 ล้านปอนด์ (ราว 891.1 ล้านบาท)
2016/17 63.9 ล้านปอนด์(ราว 2,428.2 ล้านบาท) 85.75 ล้านปอนด์ (ราว 3,258.5 ล้านบาท) 21.85 ล้านปอนด์ (ราว 830.3 ล้านบาท)
2017/18 167.9 ล้านปอนด์ (ราว 6,380.2 ล้านบาท) 185.7 ล้านปอนด์ (ราว 7,056.5 ล้านบาท) 17.8 ล้านปอนด์(ราว 676.4 ล้านบาท)
2018/19 175.2 ล้านปอนด์ (ราว 6,657.6 ล้านบาท) 33.5 ล้านปอนด์(ราว 1,273 ล้านบาท) 141.7 ล้านปอนด์ (ราว 5,384.6 ล้านบาท)
ซัมเมอร์ 2019 4.4 ล้านปอนด์(ราว 167.2 ล้านบาท) 44.5 ล้านปอนด์ (ราว 1,691 ล้านบาท) 40.1 ล้านปอนด์(ราว 1,523.8 ล้านบาท)
credit ; www.siamsport.cot.h
อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ติดสถิติโลกกินเนสส์
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้รับการบันทึกเป็นเจ้าของสถิติโลกด้านกองหลังที่ทำแอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก ต่อการเล่น 1 ซีซั่นมากที่สุด โดยเจ้าตัวให้เครดิตบรรดาเพื่อนร่วมทีมสำหรับความสำเร็จครั้งนี้
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาดาวรุ่งของ ลิเวอร์พูล ได้รับเอกสารรับรองจาก กินเนสส์ เวิลด์ เร็คคอร์ดส์ หน่วยงานด้านสถิติระดับโลกว่าเขาเป็นนักเตะในแนวรับที่ทำแอสซิสต์ต่อการลงเล่นศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ใน 1 ฤดูกาลได้มากที่สุดในโลก จากการทำไป 12 แอสซิสต์ ในฤดูกาล 2018-19
ซีซั่นที่แล้วถือเป็นฤดูกาลที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำผลงานได้โดดเด่นสุดๆ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแบ็กขวาชั้นนำของทวีปยุโรป โดยนอกจาก 12 แอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก แล้วนั้น เขายังทำได้อีก 4 แอสซิสต์ ในการเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย
ทั้งนี้ แข้งวัย 19 ปี เผยว่ารู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้อยู่ในสถิติของ กินเนสส์ พร้อมยกเครดิตให้บรรดาเพื่อนร่วมทีมที่ช่วยทำให้ตนกลายเป็นสถิติโลก "มันนับเป็นเกียรติอย่างมาก ผมอยากวิ่งขึ้นหน้าแล้วช่วยสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่เสมอ แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วมันขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมทีมของผมที่ต้องยิงให้เข้าด้วย เพราะฟุตบอลมันเล่นกันเป็นทีม และถ้าไม่มีพวกเขาน่ะ สถิติของผมก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก มันเป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจสำหรับผม และสำหรับครอบครัวของผม ซึ่งผมก็หวังว่าสถิตินี้จะยังคงอยู่ไปอีกสักพักน่ะนะ"
credit ; www.siamsport.co.th
เจาะลึกการใช้เงินเสริมทัพ ลิเวอร์พูล ภายใต้การบริหาร 9 ปีของ เฟนเวย์ กรุ๊ป & อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ติดสถิติโลกกินเนสส์
ต้องยอมรับว่า จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และเฟนเวย์ สปอร์ตส กรุ๊ป (FSG) กลุ่มทุนจากสหรัฐฯ เข้ามาเปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล อย่างมาก โดยตลอด 9 ปีที่ผ่านมาสิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่พวกเขาทำให้กับ "หงส์แดง" ก็คือการซื้อขายนักเตะที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่นำสโมสรคืนสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง
สำหรับในสัปดาห์นี้จะครบ 9 ปีที่ "เดอะ เร้ดส์" ถูกเข้ามาบริหารงานด้วยกลุ่มทุนเฟนเวย์ โดยสิ่งที่พวกเขาเริ่มทำตั้งแต่ที่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรก็คือการประกาศเจตนารมย์อย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะทำในสิ่งที่จำเป็นที่สุดเพื่อนำ ลิเวอร์พูล กลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีต
ในช่วงระยะเวลาแห่งการตั้งไข่ ลิเวอร์พูล ล้มลุกคลุกคลานพอสมควร แต่หลังจากที่สโมสรทำการแต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน เข้ามานั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมในเดือนตุลาคม 2015 นี่คือจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง เพราะสิ่งนี้นำไปสู่การที่ "หงส์แดง" โบยบินคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
มีนักเตะมากมายที้ย้ายเข้ามา และถูกขายออกไปในยุคของ "เอฟเอสจี" โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ คล็อปป์ สร้างทีมขึ้นมาตามรูปแบบของเขา และกำลังส่งผลดีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในฤดูกาลปัจจุบัน ที่พวกเขาเก็บชัยชนะ 8 แมตช์รวดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ รั้งจ่าฝูง ทิ้งห่าง "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 8 คะแนน
แล้วการลงทุนเพื่อสร้างกลุ่มนักเตะที่แข็งแกร่งของ ลิเวอร์พูล ตลอดช่วง 9 ปีเป็นยังไงบ้าง ? ยกตัวอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, หลุยส์ ซัวเรซ และราฮีม สเตอร์ลิง ที่อำลาถิ่นแอนฟิลด์ พวกเขาหานักเตะใหม่เข้ามาแทนได้แก่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ ซาดิโอ มาเน่ รวมทั้งผู้เล่นคนอื่นๆ
ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีเรื่องน่าผิดหวังเช่นกันอย่างในกรณีของ แอนดี้ แคร์โรลล์ และ คริสติย็อง เบนเตเก้ ที่ย้ายมา และจากไปแบบไม่มีอะไรน่าจดจำ แน่นอนว่าการซื้อขายนักเตะของ "เดอะ เร้ดส์" มีอยู่ตลอดในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แต่ เฟนเวย์ กรุ๊ป ลงทุนยังไงจนทำให้ แชมป์โทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย กลับมายืนหนึ่งร่วมกับสโมสรระดับโลก ?
หากมองในแง่ของการใช้จ่ายเงิน "ลิเวอร์พูล เอคโค่" สื่อท้องถิ่นชื่อดัง ได้ทำการคำนวณแล้วว่า กลุ่มทุนเฟนเวย์ ลงทุนให้กับสโมสรแห่งนี้ประมาณ 205.43 ล้านปอนด์ (ราว 7,806 ล้านบาท) พร้อมเฉลี่ยแล้วใช้เงินไปประมาณ 22.83 ล้านปอนด์ (ราว 867.54 ล้านบาท) ต่อปี
กลุ่มทุนมะกันเคยทุ่มเงินในยุคที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุมบังเหียนเมื่อช่วงตลาดซื้อขายนักเตะฤดูกาล 20147-15 ด้วยเม็ดเงินจำนวน 100 ล้านปอนด์ (ราว 3,800 ล้านบาท) แต่นักเตะบางคนในยุคนั้นกลายเป็นผู้เล่นกำลังเสริมของ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช
นอกจากนี้สโมสรได้มีการลงทุนในช่วง 2 ตลาดพ่อค้าแข้งเพื่อสร้างทีมใหม่ระหว่างปี 2017 และ 2019 โดยรวมแล้วทุ่มเงินไปประมาณ 300 ล้านปอนด์ (ราว 11,400 ล้านบาท) แม้ว่าพวกเขาจะได้เงินพอสมควรจากการขาย คูตินโญ่ ให้บาร์เซโลน่า และนักเตะคนอื่นๆ ทำให้ทีมได้เงินคืนมาเกือบ 200 ล้านปอนด์ (ราว 7,600 ล้านบาท) ในซีซั่น 2017/2018
ส่วนต่างรายรับรายจ่ายด้านการเสริมทัพของนักเตะตั้งอต่เดือนมกราคมปี 2011
ฤดูกาล รายจ่าย รายรับ ส่วนต่าง
มกราคม 2011 57.8 ล้านปอนด์ (ราว 2,194 ล้านบาท) 55.8 ล้านปอนด์ (ราว 2,120 ล้านบาท) 2 ล้านปอนด์ (ราว 76 ล้านบาท)
2011/12 53.48 ล้านปอนด์ (ราว 2,032 ล้านบาท) 22.3 ล้านปอนด์ (ราว 847.3 ล้านบาท) 30.18 ล้านปอนด์ (ราว 1,146.84 ล้านบาท)
2012/13 49.9 ล้านปอนด์ (ราว 1,896.2 ล้านบาท) 13 ล้านปอนด์ (ราว 494 ล้านบาท) 36.9 ล้านปอนด์ (ราว 1,402 ล้านบาท)
2013/14 41.3 ล้านปอนด์ (ราว 1,569.4 ล้านบาท) 28.7 ล้านปอนด์ (ราว 1,090.6 ล้านบาท) 12.6 ล้านปอนด์ (ราว 478.8 ล้านบาท)
2014/15 116.85 ล้านปอนด์ (ราว 4,440.3 ล้านบาท) 78.5 ล้านปอนด์ (ราว 2,983 ล้านบาท) 38.35 ล้านปอนด์(ราว 1,457.7 ล้านบาท)
2015/16 93.85 ล้านปอนด์ (ราว 3,566.3 ล้านบาท) 70.4 ล้านปอนด์ (ราว 2,675.2 ล้านบาท) 23.45 ล้านปอนด์ (ราว 891.1 ล้านบาท)
2016/17 63.9 ล้านปอนด์(ราว 2,428.2 ล้านบาท) 85.75 ล้านปอนด์ (ราว 3,258.5 ล้านบาท) 21.85 ล้านปอนด์ (ราว 830.3 ล้านบาท)
2017/18 167.9 ล้านปอนด์ (ราว 6,380.2 ล้านบาท) 185.7 ล้านปอนด์ (ราว 7,056.5 ล้านบาท) 17.8 ล้านปอนด์(ราว 676.4 ล้านบาท)
2018/19 175.2 ล้านปอนด์ (ราว 6,657.6 ล้านบาท) 33.5 ล้านปอนด์(ราว 1,273 ล้านบาท) 141.7 ล้านปอนด์ (ราว 5,384.6 ล้านบาท)
ซัมเมอร์ 2019 4.4 ล้านปอนด์(ราว 167.2 ล้านบาท) 44.5 ล้านปอนด์ (ราว 1,691 ล้านบาท) 40.1 ล้านปอนด์(ราว 1,523.8 ล้านบาท)
credit ; www.siamsport.cot.h
อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ติดสถิติโลกกินเนสส์
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้รับการบันทึกเป็นเจ้าของสถิติโลกด้านกองหลังที่ทำแอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก ต่อการเล่น 1 ซีซั่นมากที่สุด โดยเจ้าตัวให้เครดิตบรรดาเพื่อนร่วมทีมสำหรับความสำเร็จครั้งนี้
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาดาวรุ่งของ ลิเวอร์พูล ได้รับเอกสารรับรองจาก กินเนสส์ เวิลด์ เร็คคอร์ดส์ หน่วยงานด้านสถิติระดับโลกว่าเขาเป็นนักเตะในแนวรับที่ทำแอสซิสต์ต่อการลงเล่นศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ใน 1 ฤดูกาลได้มากที่สุดในโลก จากการทำไป 12 แอสซิสต์ ในฤดูกาล 2018-19
ซีซั่นที่แล้วถือเป็นฤดูกาลที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำผลงานได้โดดเด่นสุดๆ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแบ็กขวาชั้นนำของทวีปยุโรป โดยนอกจาก 12 แอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก แล้วนั้น เขายังทำได้อีก 4 แอสซิสต์ ในการเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย
ทั้งนี้ แข้งวัย 19 ปี เผยว่ารู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้อยู่ในสถิติของ กินเนสส์ พร้อมยกเครดิตให้บรรดาเพื่อนร่วมทีมที่ช่วยทำให้ตนกลายเป็นสถิติโลก "มันนับเป็นเกียรติอย่างมาก ผมอยากวิ่งขึ้นหน้าแล้วช่วยสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่เสมอ แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วมันขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมทีมของผมที่ต้องยิงให้เข้าด้วย เพราะฟุตบอลมันเล่นกันเป็นทีม และถ้าไม่มีพวกเขาน่ะ สถิติของผมก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก มันเป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจสำหรับผม และสำหรับครอบครัวของผม ซึ่งผมก็หวังว่าสถิตินี้จะยังคงอยู่ไปอีกสักพักน่ะนะ"
credit ; www.siamsport.co.th