

"ภาวะฟองสบู่กับไอดอลไทยมาถึงจริงๆแล้วหรือ?"
วิเคราะห์โดย: คุณหนูเหมียว ณ เมืองนนท์
ผู้ดูแลศูนย์วิจัยสถิติไอดอลไทย
7 ตุลาคม2562
จังหวะนี้เราอาจจะปฏิเสธได้ยากเหลือเกินว่าไอดอลไทยกำลังเข้าสู่สภาวะฟองสบู่หรือไม่? การแข่งขันที่ดุเดือดของไอดอลไทยซึ่งค่อยๆทวีความรุนแรงมาตั้งแต่Q2/2019 และเริ่มมีการยุบวงไอดอลไทยหลายวงหรือการไม่ต่อสัญญาของศิลปินฝึกหัดเหล่านี้ในช่วงปลายQ2/2019 ตั้งแต่Seventh Sense / Black Forest / Taste of love และการหมดสมาชิกภาพของเมมเบอร์หลายๆวงติดๆกันอย่างBlissful Black Doll หรืออีกหลายๆวงที่ตามๆมาก็เป็นภาพสะท้อนกลับมาที่อุตสาหกรรมที่มีเงินสะพัดหลักหลายร้อยล้านต่อปีที่เรียกว่า"อุตสาหกรรมไอดอลไทย"
"อุตสาหกรรมไอดอลไทย"เหมือนถูกจุดให้ติดขึ้นอย่างชัดเจนจริงๆหลังจากมีเพลงดังระดับ100 ล้านวิวอย่าง"Koisuru fortune Cookie" ที่ดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองในช่วงQ4/2017 - Q1/2018 ซึ่งเป็นช่วงที่มีไอดอลไทยเพียงแค่สองวงอย่างBNK48 กับSWEAT16! เท่านั้นแต่นับตั้งแต่กระแสคุกกี้เสี่ยงทายจนวิ่งมาถึงปัจจุบันอุตสาหกรรมไอดอลไทยเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็วเกิดวงที่สามอย่างSeventh sense และวงที่4 5 ตามมาเรื่อยๆจนทำให้ปัจจุบันไอดอลไทยมีไม่น้อยกว่า50 วงนับเป็นช่วงที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเทียบกับระยะเวลาแค่ราวๆไม่ถึงสองปี
ทว่ามูลค่าตลาดกลับไม่เติบโตตามหากเราไม่พิจารณาวงใหญ่ๆทั้งสองวงเราจะพบว่าวงไอดอลที่เหลือยังอยู่ระหว่างตั้งไข่หาผู้ร่วมอุดมการณ์สร้างกำลังผู้สนับสนุนหรือหลายวงยังไม่มีซิงเกิ้ลแรกอย่างเป็นทางการอีกด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเติบโตของอุปสงค์(Demand) น้อยกว่าอุปทานซึ่งน้อยกว่ามากจำนวนฐานแฟนไอดอลวงต่างๆล้วนเติบโตมาจากBNK48 หรือSWEAT16! ทั้งสิ้นเมื่อคุณสุ่มหยิบแฟนคลับไอดอลมาหนึ่งคนโอกาสที่จะไม่เจอแฟนคลับหรืออดีตแฟนคลับBNK48 หรือSWEAT16! ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มตลาดเลยแทบจะเป็น0
ปัญหาในปัจจุบันเมื่อฐานแฟนไม่มีการเติบโตจึงนำไปสู่การแย่งกันเองของแฟนคลับเมื่อไม่สามารถดึงแฟนคลับไอดอลใหม่ๆได้เพิ่มแต่สวนทางกับจำนวนวงไอดอลที่พุ่งทะยานสูงขึ้นนั่นจึงเป็นปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งที่ทำให้ปริมาณอุปทาน(supply) โดยเป้าหมายของวงไอดอลส่วนใหญ่อยู่บนคอนเซปท์คล้ายๆกันและหวังดึงฐานลูกค้าแนวเดียวกัน
แน่นอนว่าเมื่อไม่มีเอกลักษณ์หรือความแตกต่างรวมถึงการขาดผู้สนับสนุนอีกทั้งยังไม่สามารถฐานแฟนที่หลากหลายนำไปสู่การล้มของวงไอดอลไทยหลายๆวงดังที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นซึ่งเป็นการลดปริมาณเพื่อให้สอดคล้องกับกลไกของตลาด
นอกจากนี้ยังมีระบบเงื่อนไขต่างๆรายรับการดำเนินการในสัญญาซึ่งอาจจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้วงนั้นๆล่มหรืออาจจะทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนเข้าใจว่าการทำธุรกิจไอดอลนั้นไม่ง่าย
นำไปสู่การลดแลกแจกแถมโปรโมชั่นราคาสินค้าและบริการที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังดึงฐานแฟนและสร้างbrand loyalty ในรูปแบบต่างๆทำให้ราคาสินค้าในตลาดไอดอลในเวลานี้มีมูลค่าที่ลดลงเรื่อยๆจากที่เคยขายในราคาที่แพงหลายร้อยอาจจะเริ่มมีราคาที่ลดลงเรื่อยๆรวมถึงสินค้าจากวงอย่างBNK48 เองที่ราคาสำหรับสะสมซึ่งเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมาค่อยๆลดลงอย่างเห็นได้ชัด
หลายปัจจัยตรงนี้อาจจะทำให้หลายคนมองว่า
"วงการไอดอลไทยกำลังเข้าสู่สภาวะฟองสบู่"
ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้อยู่ในภาวะฟองสบู่ที่พร้อมแตกขนาดนั้นเพราะจริงๆแล้วเราสามารถเพิ่มอุปสงค์ของตลาดนี้ได้เนื่องจากหากเราวิเคราะห์จำนวนฐานแฟนไอดอลไทยตอนนี้เราจะพบว่าฐานแฟนไอดอลไทย(ทุกวงรวมกันทั้งจ่ายและไม่จ่ายเงิน) อยู่ที่ราวๆ0.4-1.3% ของประชากร(ราวๆ300000 คนถึง1 ล้านคนเท่านั้น)[**ตัวเลขประมาณการโดยTiSREC!] อีกทั้งจากการค้นคว้าพบว่ากำลังซื้อของแฟนคลับรวมกับคนที่รู้จักต่อหัวยังน้อยเมื่อเทียบกับขนาดตลาดนั่นจึงหมายถึงว่าเรายังสามารถขยายตลาดออกไปได้อีกมากจากกลุ่มเป้าหมายของตลาดไอดอลที่ตั้งไว้ช่วง15-35 ปีที่มีประชากรราวๆ18 ล้านคน[สำนักงานสถิติแห่งชาติ,2561] ดังนั้นหากสามารถปรับอัตราส่วนประชากรที่เข้ามาให้ความสนใจหรือปรับกำลังซื้อต่อบุคคลให้มากขึ้นได้
อีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติที่หันมาให้ความสนใจกับการสร้างสรรค์วงไอดอลสาขาประเทศไทยนอกจากกลุ่มของAKS ยังมีโครงการอีกสองโครงการจากสองบริษัทในญี่ปุ่นที่มาเปิดรับสมัครวงน้องสาวในประเทศไทยซึ่งอาจจะดูขัดแย้งถ้าบอกบอกว่าตลาดไอดอลจะพังเพราะการก้าวมาของอีกสองวงคือมืออาชีพจากประเทศญี่ปุ่นที่น่าจะมองเห็นโอกาสเติบโตในอุตสาหกรรมนี้
การจะปรับขยายตลาดให้สอดคล้องหรือสามารถขยายกำลังซื้อสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมไอดอลไทยนั้นจึงมีความจำเป็นและสำคัญทั้งนี้แต่ละวงต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางออกร่วมกันในการสร้างวงในแบบฉบับของตัวเองเพื่อให้เพลงและผลงานอื่นๆจากวงไอดอลนั้นสามารถเข้าถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ดังนั้นจึงเป็นภาวะหน้าที่ของผู้ที่ดำเนินธุรกิจไอดอลต้องวางแผนแก้ปัญหาร่วมกันในอนาคตเพือลดแรงเสียดทานก่อนที่จะเกิดฟองสบู่แตกและดับลงไปทั้งอุตสาหกรรมได้
.
.
Cr.บทความจาก.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=534482160697772&id=335540820591908
# ภาวะฟองสบู่กับไอดอลไทย มาถึงจริงๆแล้วหรือ?
"ภาวะฟองสบู่กับไอดอลไทยมาถึงจริงๆแล้วหรือ?"
วิเคราะห์โดย: คุณหนูเหมียว ณ เมืองนนท์
ผู้ดูแลศูนย์วิจัยสถิติไอดอลไทย
7 ตุลาคม2562
จังหวะนี้เราอาจจะปฏิเสธได้ยากเหลือเกินว่าไอดอลไทยกำลังเข้าสู่สภาวะฟองสบู่หรือไม่? การแข่งขันที่ดุเดือดของไอดอลไทยซึ่งค่อยๆทวีความรุนแรงมาตั้งแต่Q2/2019 และเริ่มมีการยุบวงไอดอลไทยหลายวงหรือการไม่ต่อสัญญาของศิลปินฝึกหัดเหล่านี้ในช่วงปลายQ2/2019 ตั้งแต่Seventh Sense / Black Forest / Taste of love และการหมดสมาชิกภาพของเมมเบอร์หลายๆวงติดๆกันอย่างBlissful Black Doll หรืออีกหลายๆวงที่ตามๆมาก็เป็นภาพสะท้อนกลับมาที่อุตสาหกรรมที่มีเงินสะพัดหลักหลายร้อยล้านต่อปีที่เรียกว่า"อุตสาหกรรมไอดอลไทย"
"อุตสาหกรรมไอดอลไทย"เหมือนถูกจุดให้ติดขึ้นอย่างชัดเจนจริงๆหลังจากมีเพลงดังระดับ100 ล้านวิวอย่าง"Koisuru fortune Cookie" ที่ดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองในช่วงQ4/2017 - Q1/2018 ซึ่งเป็นช่วงที่มีไอดอลไทยเพียงแค่สองวงอย่างBNK48 กับSWEAT16! เท่านั้นแต่นับตั้งแต่กระแสคุกกี้เสี่ยงทายจนวิ่งมาถึงปัจจุบันอุตสาหกรรมไอดอลไทยเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็วเกิดวงที่สามอย่างSeventh sense และวงที่4 5 ตามมาเรื่อยๆจนทำให้ปัจจุบันไอดอลไทยมีไม่น้อยกว่า50 วงนับเป็นช่วงที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเทียบกับระยะเวลาแค่ราวๆไม่ถึงสองปี
ทว่ามูลค่าตลาดกลับไม่เติบโตตามหากเราไม่พิจารณาวงใหญ่ๆทั้งสองวงเราจะพบว่าวงไอดอลที่เหลือยังอยู่ระหว่างตั้งไข่หาผู้ร่วมอุดมการณ์สร้างกำลังผู้สนับสนุนหรือหลายวงยังไม่มีซิงเกิ้ลแรกอย่างเป็นทางการอีกด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเติบโตของอุปสงค์(Demand) น้อยกว่าอุปทานซึ่งน้อยกว่ามากจำนวนฐานแฟนไอดอลวงต่างๆล้วนเติบโตมาจากBNK48 หรือSWEAT16! ทั้งสิ้นเมื่อคุณสุ่มหยิบแฟนคลับไอดอลมาหนึ่งคนโอกาสที่จะไม่เจอแฟนคลับหรืออดีตแฟนคลับBNK48 หรือSWEAT16! ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มตลาดเลยแทบจะเป็น0
ปัญหาในปัจจุบันเมื่อฐานแฟนไม่มีการเติบโตจึงนำไปสู่การแย่งกันเองของแฟนคลับเมื่อไม่สามารถดึงแฟนคลับไอดอลใหม่ๆได้เพิ่มแต่สวนทางกับจำนวนวงไอดอลที่พุ่งทะยานสูงขึ้นนั่นจึงเป็นปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งที่ทำให้ปริมาณอุปทาน(supply) โดยเป้าหมายของวงไอดอลส่วนใหญ่อยู่บนคอนเซปท์คล้ายๆกันและหวังดึงฐานลูกค้าแนวเดียวกัน
แน่นอนว่าเมื่อไม่มีเอกลักษณ์หรือความแตกต่างรวมถึงการขาดผู้สนับสนุนอีกทั้งยังไม่สามารถฐานแฟนที่หลากหลายนำไปสู่การล้มของวงไอดอลไทยหลายๆวงดังที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นซึ่งเป็นการลดปริมาณเพื่อให้สอดคล้องกับกลไกของตลาด
นอกจากนี้ยังมีระบบเงื่อนไขต่างๆรายรับการดำเนินการในสัญญาซึ่งอาจจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้วงนั้นๆล่มหรืออาจจะทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนเข้าใจว่าการทำธุรกิจไอดอลนั้นไม่ง่าย
นำไปสู่การลดแลกแจกแถมโปรโมชั่นราคาสินค้าและบริการที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังดึงฐานแฟนและสร้างbrand loyalty ในรูปแบบต่างๆทำให้ราคาสินค้าในตลาดไอดอลในเวลานี้มีมูลค่าที่ลดลงเรื่อยๆจากที่เคยขายในราคาที่แพงหลายร้อยอาจจะเริ่มมีราคาที่ลดลงเรื่อยๆรวมถึงสินค้าจากวงอย่างBNK48 เองที่ราคาสำหรับสะสมซึ่งเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมาค่อยๆลดลงอย่างเห็นได้ชัด
หลายปัจจัยตรงนี้อาจจะทำให้หลายคนมองว่า
"วงการไอดอลไทยกำลังเข้าสู่สภาวะฟองสบู่"
ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้อยู่ในภาวะฟองสบู่ที่พร้อมแตกขนาดนั้นเพราะจริงๆแล้วเราสามารถเพิ่มอุปสงค์ของตลาดนี้ได้เนื่องจากหากเราวิเคราะห์จำนวนฐานแฟนไอดอลไทยตอนนี้เราจะพบว่าฐานแฟนไอดอลไทย(ทุกวงรวมกันทั้งจ่ายและไม่จ่ายเงิน) อยู่ที่ราวๆ0.4-1.3% ของประชากร(ราวๆ300000 คนถึง1 ล้านคนเท่านั้น)[**ตัวเลขประมาณการโดยTiSREC!] อีกทั้งจากการค้นคว้าพบว่ากำลังซื้อของแฟนคลับรวมกับคนที่รู้จักต่อหัวยังน้อยเมื่อเทียบกับขนาดตลาดนั่นจึงหมายถึงว่าเรายังสามารถขยายตลาดออกไปได้อีกมากจากกลุ่มเป้าหมายของตลาดไอดอลที่ตั้งไว้ช่วง15-35 ปีที่มีประชากรราวๆ18 ล้านคน[สำนักงานสถิติแห่งชาติ,2561] ดังนั้นหากสามารถปรับอัตราส่วนประชากรที่เข้ามาให้ความสนใจหรือปรับกำลังซื้อต่อบุคคลให้มากขึ้นได้
อีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติที่หันมาให้ความสนใจกับการสร้างสรรค์วงไอดอลสาขาประเทศไทยนอกจากกลุ่มของAKS ยังมีโครงการอีกสองโครงการจากสองบริษัทในญี่ปุ่นที่มาเปิดรับสมัครวงน้องสาวในประเทศไทยซึ่งอาจจะดูขัดแย้งถ้าบอกบอกว่าตลาดไอดอลจะพังเพราะการก้าวมาของอีกสองวงคือมืออาชีพจากประเทศญี่ปุ่นที่น่าจะมองเห็นโอกาสเติบโตในอุตสาหกรรมนี้
การจะปรับขยายตลาดให้สอดคล้องหรือสามารถขยายกำลังซื้อสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมไอดอลไทยนั้นจึงมีความจำเป็นและสำคัญทั้งนี้แต่ละวงต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางออกร่วมกันในการสร้างวงในแบบฉบับของตัวเองเพื่อให้เพลงและผลงานอื่นๆจากวงไอดอลนั้นสามารถเข้าถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ดังนั้นจึงเป็นภาวะหน้าที่ของผู้ที่ดำเนินธุรกิจไอดอลต้องวางแผนแก้ปัญหาร่วมกันในอนาคตเพือลดแรงเสียดทานก่อนที่จะเกิดฟองสบู่แตกและดับลงไปทั้งอุตสาหกรรมได้
.
.
Cr.บทความจาก. https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=534482160697772&id=335540820591908