ธรรมชาติอัศจรรย์แท่งหินธรรมชาติ

 “เกอเรเม่” (Göreme) ปล่องไฟนางฟ้า 



บนที่ราบสูงทางตอนกลางของประเทศตุรกี ที่รู้จักกันในชื่อ “เกอเรเม่” (Göreme) ในคัปปาโดเกีย (Cappadocia) คือที่ตั้งของแท่งหินสูงตระหง่าน บางเสาสูงถึง ๔๐ เมตรที่ราวกับว่าหลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปาน เรารู้จักแท่งหินที่ว่านี้กันในชื่อ “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy chimneys)

ย้อนกลับไปเมื่อราว ๘ ล้านปีก่อน ภูเขาไฟได้พ่นลาวาและเถ้าถ่านออกมาปกคลุมทั่วทั้งตุรกี นานวันเข้าเถ้าถ่านได้เปลี่ยนสภาพไปเป็นหินภูเขาไฟที่เต็มไปด้วยรูพรุน ปกคลุมทับอีกชั้นด้วยหินบะซอลต์ หลังจากนั้นเมื่อประติมากรที่ชื่อลมและฝนผ่านเข้ามา มันก็ได้ช่วยตกกันแต่งรูปทรงของแท่งหินเหล่านี้ตลอดเวลาหลายล้านปี หินภูเขาไฟรูพรุนชั้นล่างไม่ค่อยทนต่อแรงของประติมากรสักเท่าไรจึงถูกกัดเซาะได้ง่ายกว่าหินบะซอลต์ที่อยู่ชั้นบน ผลลัพธ์ของประติมากรจากธรรมชาติจึงออกมามีลักษณะคล้ายดอกเห็ดที่มีก้านเล็กแต่มีหมวกเห็ดขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่เหนือขึ้นไปดังที่เราได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

ด้วยว่าปล่องไฟนางฟ้าตั้งอยู่บนเส้นทางที่ชนโบราณหลากหลายวัฒนธรรมเคยรุ่งเรืองอยู่ในอดีต ทั้งชาวฮิตไทต์ เปอร์เซียน กรีก โรมัน ไบแซนไทน์และออตโตมัน พวกเขาเล็งเห็นถึงความพิเศษบางอย่างของปล่องไฟนี้จึงได้ดัดแปลงมันเพื่อนำมาใช้งานในโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ชาวคริสเตียนกำลังหลบหนีการไล่ล่าของทหารโรมันนั้น พวกเขาก็พบว่าหินภูเขาไฟส่วนล่างของปล่องไฟนางฟ้าเหล่านี้สามารถแกะสลักออกเป็นรูปทรงต่างๆได้โดยง่าย จึงได้ดัดแปลงให้เป็นบ้านและโบสถ์เพื่อหลบหนีจากการจับกุมของพวกโรมัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ปล่องไฟบางปล่องมีช่องและประตูที่ในอดีตเคยปิดไปด้วยหินอย่างแน่นหนาปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน
Cr.https://hi-in.facebook.com/tuaytoonmagazine

เสาหินบะซอลต์ น้ำตกซับพลู จ.เพชรบูรณ์


เป็นลักษณะโครงสร้างหินชนิดหนึ่งที่ขึ้นขณะแข็งตัวเป็นหิน เกิดจากการปรับตัวของหินให้เข้ากับสภาพบรรยากาศ โดยการขยายตัวและเกิดรอยแตกเป็นระบบในเนื้อหิน สำหรับหินบะซอลต์ พบว่ารอยแตกเป็นระบบดังกล่าวมีลักษณะสำคัญคือ บริเวณผิวหน้าที่สัมผัสอากาศจะแตกเป็นรูป  ห้า หก หรือ แปด เหลี่ยม และบริเวณลึกลงไปจะแตกเป็นเส้นตรง ดังนั้นรอยแตกของมันจึงทำให้หินมีลักษณะเป็นเสาสูงๆ ที่มีด้าน 5 6 หรือ 8 ด้าน ยิ่งถ้าหินบะซอลต์ที่โผล่มีพื้นที่กว้างเท่าไหร่ ก็จะมีเสามากมาย (กรมทรัพยากรธรณี)

ลักษณะของหินภูเขาไฟชนิดบะซอลต์ (basalt) ที่ขึ้นมาปกคลุมเป็นลักษณะลาวาหลาก (lava flow) จากแนวรอยแตกบนพื้นโลกซึ่งเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี หลักจากนั้นเกิดการเย็นตัวลง ทำให้พื้นผิวสูญเสียน้ำและก๊าซ เกิดการหดตัวและเกิดแรงดึงตัวในเนื้อหินที่กำลังเย็นตัวจนเกิดเป็นรอยแตกห้าเหลี่ยมหรือหกเหลี่ยมที่มีแนวลึกสม่ำเสมอ เกิดเป็นลักษณะเสาหินที่มีความสวยงาม 
Cr.http://vrgeology.net

หินโมรากิ (ไข่ไดโนเสาร์) 


 
มีชื่อเรียกว่าก้อนหินโมรากิ (Moeraki Boulders) เป็นหินทรงกลมขนาดใหญ่เรียงรายกระจัดกระจายตามแนวชายหาดโคโคฮี ในประเทศนิวซีแลนด์ การตรวจสอบภายใน หินประกอบด้วยโคลนตะกอนและดินซีเมนต์ แคลเซียมคาร์บอเนตประสานเชื่อมตัวแตกต่างกันไป ขอบด้านนอกก้อนหินเช่นกันแต่มีความแน่นสูง บางก้อนที่มีรอย แตกร้าวเป็นผลึกแคลไซต์แผ่ออกมาจากศูนย์กลาง ความสำคัญทางธรณีวิทยาพบ ว่ามีหินก้อนใหญ่ขนาด 2 เมตร ก้อนหนึ่งพิสูจน์พบว่าก่อตัวจากโคลนในทะเลมีอายุหลายพันล้านปี

เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของหินที่ถูกคลื่นลมซัดและกัดกร่อนเป็นระยะเวลายาวนานจนทำให้หินนั้นกลายเป็นหินทรงกลมขนาดใหญ่ คล้ายกับไข่ของไดโนเสาร์ โดยขนาดของหินดังกล่าวนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 ถึง 1 เมตร และ 1.5 ถึง 2.2 เมตร เป็นกลุ่มหินและสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่พบเห็นและมาเยือนหาดทรายแห่งนี้  
Cr.http://www.sunflowercosmos.org

บังเกิล บังเกิล เรนจ์, อุทยานแห่งชาติเพอร์นูลูลู, 


เทือกเขาบังเกิ้ล บังเกิ้ล (Bungle Bungle Range) "อลังการรังผึ้งยักษ์แห่งออสเตรเลีย" ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย (Western Australia)  นอกจากรูปร่างที่แสนแปลกตาและความเก่าแก่ของเทือกเขาแล้วนั้น เทือกเขาบังเกิ้ล บังเกิ้ลยังเป็นมรดกโลก และเป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของออสเตรเลียอีกด้วย
ด้วยระยะเวลากว่า 350 ล้านปี พลังแห่งธรรมชาติได้รังสรรค์ลักษณะทางธรณีวิทยาที่แปลกประหลาดในดินแดนก่อนประวัติศาสตร์แห่งนี้ นอกจากชุมชนชาวอะบอริจินเผ่า Kija ท้องถิ่นแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่ามีเทือกเขานี้อยู่จนกระทั่งปี 1980 โดมที่มีแถบสีส้มสลับดำขนาดมหึมาคล้ายรังผึ้ง โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินก่อให้เกิดภูมิทัศน์ที่น่าพิศวงในแบบที่ไม่เคยเห็นมา

 ตามตำนานการก่อกำเนิดชีวิตและสรรพสิ่ง (Dreamtime) ของชาวอะบอริจิน โดมรูปทรงคล้ายรังผึ้งที่น่ามหัศจรรย์ซึ่งก่อตัวเป็นเทือกเขาเทือกเขาบังเกิ้ล นั้นเกิดขึ้นจากอสรพิษสายรุ้ง (Rainbow Serpent) ที่เป็นผู้สร้างธรรมชาติหลายๆ อย่างในตำนานเลื้อยผ่านบริเวณนี้ ชาวอะบอริจินใช้พื้นที่นี้สำหรับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลาประมาณ 20,000 ปี
Cr.https://travel.thaiza.com/

น้ำตกสวาร์ติฟอส (Svartifoss waterfall)


น้ำตกสวาร์ติฟอส (Svartifoss waterfall) หรือ น้ำตกดำ (Black Fall) อีกหนึ่งน้ำตกที่มีชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติสกาฟทาเฟล โดยน้ำตกถูกล้อมรอบด้วยแท่งหินลาวาสีดำตามชื่อเรียกของน้ำตก

 แม้สวาร์ติฟอสส์จะไม่ใช่น้ำตกที่สูงมากนัก โดยสูงเพียง 12 เมตร แต่จุดเด่นนั้นอยู่ที่แท่นหินลาวาสีดำลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ ที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ความแปลกตาทางธรณีวิทยา สร้างความงดงาม และอลังการให้กับน้ำตกแห่งนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
           
 แท่นหินที่เห็นเป็นหินบะซอลต์สีดำซึ่งเกิดจากการปะทุของลาวา เมื่อค่อยๆ เย็นตัวลงทำให้หินเรียงกันเป็นแท่งสวยงามแปลกตา โดยความหนาแน่นของหินที่เป็นแท่นๆ นั้นจะอยู่ช่วงบน ส่วนช่วงล่างจะเป็นหินทรงเหลี่ยมคม ความสวยที่มีเอกลักษณ์ของผนังหินที่น้ำตกสวาร์ติฟอสส์แห่งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Guðjón Samúelsson สถาปนิกผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมชื่อดังอย่างโบสถ์ Hallgrímskirkja และ The National Theatre ที่เมืองเรคยาวิกอีกด้วย
Cr.https://palanla.com

Valle de la Luna หุบเขาแห่งพระจันทร์


ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในประเทศอาร์เจนตินา มีพื้นราบที่เต็มไปด้วยก้อนหินกลมแปลก และหน้าผาสูงตระหง่านเหมือนเห็ดยักษ์ ทั้งหมดมีอาณาเขตใหญ่โตกว่า 150,000 ไร่ ความสำคัญในทางธรณีวิทยาพบว่าเป็นพื้นที่สำคัญ ที่มีหลักฐานบรรพชีวินวิทยา ฝังตัวในหน้าผาหินแข็งเป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์เก่าแก่ 180 ล้านปี และ ยังพบฟอสซิลพืชเก่าแก่ 70 ชนิด จากตัวอย่างเหมืองถ่านหิน ส่วนหินก้อนกลมเกิดการกัดเซาะของกระแสน้ำ ในอดีตที่ผ่านมาหลายพันปี

หุบเขาแห่งพระจันทร์ของอาร์เจนตินา ตั้งอยู่ในเมือง San Juan เป็นโครงสร้างหน้าผาสูง บนพื้นราบมีก้อนหินกลมกระจายตัวอยู่ทั่ว ที่นี่ได้ชื่อว่า สุสานฟอส.ซิลไดโนเสาร์ เพราะมีการขุดพบซากฟอสซิลของสัตว์หลายชนิด ทั้งไดโนเสาร์ สัตว์เลื้อยคลาน ปลา และต้นไม้ ส่วนชื่อของหุบเขาพระจันทร์ ได้มาจากสภาพภูมิประเทศที่ดูเหมือนพื้นผิวดวงจันทร์
Cr.http://www.sunflowercosmos.org

“ไวท์ พ็อกเก็ต” (White Pocket)


“ไวท์ พ็อกเก็ต” (White Pocket) สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของเขตทะเลทรายในหน้าผาเวอร์มิลเลียน (Vermillion Cliffs) และเรียกได้ว่าเป็นอนุสาวรีย์แห่งธรรมชาติที่ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนของรัฐแอริโวนาและรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหินทราย บริเวณไวท์ พ็อกเก็ตถูกปกคลุมด้วยชั้นหินสีเทาบ้างก็มีสีแดงและมีพื้นผิวขรุขระราวกับเป็นหินก้อนเล็กๆถูกวางเบียดกันจนเป็นพื้นที่เดียวกัน มีรูปร่างคล้ายกับเค้กหินอ่อนที่เพิ่งออกมาจากเตาอบ

นักธรณีวิทยาบางคนกล่าวว่า ไวท์ พ็อกเก็ต เป็นผลมาจาก “การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตะกอนที่อ่อนนุ่ม” ซึ่งหมายถึงการบิดและการพลิกของหินในสมัยจูราสสิกขณะที่ทรายอิ่มตัวก่อนที่ทรายจะกลายเป็นหินอย่างสมบูรณ์ แต่นักธรณีวิทยาบางคนก็สันนิษฐานต้นกำเนิดของอนุสาวรีย์แห่งนี้ว่าเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวที่ห่างออกไปจากเนินสูงและเดินทางอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิกขิ้นส่วนของแผ่นทรายหลอมละลายมาผสมกับมวลทรายและหินทรายสีขาวจนกลายเป็นรูปร่างของหลุมและรูปร่างของแผ่นหินที่เบียดกันราวกับเนื้อเค้ก

     ไวท์ พ็อกเก็ต เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาหลังจากหลับใหลอยู่นาน เมื่อช่างภาพผู้กล้าหาญและรักการผจญภัยเป็นผู้ไปพบอนุสาวรีย์ธรรมชาติแห่งนี้และได้เก็บภาพมาฝากชาวโลก ซึ่งภาพได้ถูกเผยแพร่ลงใน National Geographic ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยบริเวณที่มีชื่อเสียงคือหลุมใหญ่กลางหมู่หินเค้กที่จะมีลักษณะเป็นบ่อน้ำเมื่อถึงฤดูฝน และบริเวณหินสีแดงที่มีลวดลายสวยงามจากธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น
Cr.https://travel.thaiza.com

คัปปาโดเกีย (Cappadocia)


คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ดินแดนที่มีภูมิประเทศราวหลุดไปในเทพนิยาย ซึ่งเกิดจากชั้นหินภูเขาไฟที่ปะทุและทับถมทั้งภูมิภาคตั้งแต่สมัยโบราณ ก่อนถูกน้ำและลมกัดเซาะแล้วถูกแปลงโฉมอีกครั้งด้วยมือมนุษย์เป็นเคหสถานสารพัดประโยชน์ ทั้งที่อยู่อาศัย ห้องเก็บของ แม้แต่เมืองใต้ดินที่ความลึกพอๆ กับตึก 8 ชั้น

พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม (Göreme Open Air Museum) คือชุมชนศูนย์กลางสำหรับนักบวช มีการจัดสรรเป็นห้องพัก ห้องอาหาร ห้องน้ำ ห้องครัว และที่ขาดไม่ได้คือโบสถ์สำหรับประกอบพิธีทางศาสนาที่เราสามารถเห็นพัฒนาการทางศาสนศิลป์ จากการประดับตกแต่งด้วยสัญลักษณ์กางเขนเรียบง่ายและลวดลายแบบเรขาคณิต ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพนักบุญและพระเยซูในอิริยาบถต่างๆ รวมถึงการถ่ายทอดเรื่องราวจากพระคัมภีร์

เมืองใต้ดินในคัปปาโดเกียอาจมีจำนวนมากกว่าห้างในกรุงเทพฯ เพราะปัจจุบันมีการค้นพบแล้วมากกว่า 30 แห่ง โดยเมืองใต้ดินขนาดใหญ่สามารถจุคนได้หลายหมื่น มีการแบ่งสันปันส่วนที่พัก คอกสัตว์ ห้องเก็บไวน์ ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องหมักเหล้า ศาสนสถาน รวมถึงพื้นที่ฝังศพ โดยมีระบบระบายอากาศครบครันถึงระดับความลึกกว่า 60 เมตร

คัปปาโดเกียจะแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง ฝั่งหนึ่งปกคลุมด้วยหินภูเขาสีค่อนไปทางเหลือง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นสีแดงหม่นปกคลุมเป็นเนินเล็กๆ ยาวเหยียดสุดสายตาจนได้ชื่อว่าหุบเขาสีกุหลาบ มีกลุ่มหินรูปร่างแปลกตา ทั้งที่เป็นรูปทรงคล้ายเห็ดตั้งโด่เด่ หน้าตาคล้ายอูฐ รวมถึงกลุ่มหินปล่องนางฟ้า (Fairy Chimney) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของภูมิภาคแห่งนี้
Cr.https://themomentum.co/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่