ย้อนรอย ชัยชนะครั้งเดียวของทีมชาติไทยต่อยูเออี
#ChangsuekDiscovery
ครั้งหนึ่งทีมชาติไทยเคยไล่ถล่มยูเออีแบบย่อยยับถึง 3-0 และเกิดขึ้นในรายการใหญ่อย่างฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก เป็นชัยชนะนัดเดียวในการเจอกันของทีมชาติไทยชุดใหญ่กับยูเออี โดยฝีเท้าของเหล่านักเตะที่รวมตัวกันได้ไม่นานกับภารกิจเพื่อชาติและถูกขนานนามว่า ทีมชาติไทยชุด “ยังบลัด”
หลังจากฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก ทีมชาติไทยสร้างผลงานที่เรียกได้ว่าเฉียดเข้าใกล้ฟุตบอลโลกมากที่สุด ด้วยการผ่านเข้ามาเล่นรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายของทวีปเอเชียได้เป็นครั้งแรก เป้าหมายในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก จึงถูกวางไว้สูงกว่านั้น
ทีมชาติไทยภายใต้การนำทีมของคาร์ลอส โรเบอร์โต้ คาวัลโญ่ กุนซือชาวบราซิลที่คัมแบ็คกลับมาคุมทีมชาติชุดใหญ่อีกครั้งหลังจากเคยคุมทีมชาติไทยสร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอเชียนเกมส์ได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1990 จึงถูกคาดหวังไว้สูงมากว่า จะพาทีมชาติไทยไปได้ไกลกว่าเดิมในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006
ทัพช้างศึกได้สิทธิผ่านเข้าไปยืนรอในรอบที่สอง และในรอบนี้เองทีมไทยจับสลากอยู่ร่วมกลุ่มกับยูเออี, เกาหลีเหนือ และเยเมน แข่งเหย้าเยือนทั้งหมด 6 นัด โดยคัดเอาที่ 1 ของกลุ่มเท่านั้นที่จะได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายของทวีปเอเชีย
ในส่วนนักเตะมีตัวหลักหลายคนจากชุดคัดฟุตบอลโลก 2002 เช่น เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ดุสิต เฉลิมแสน, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล, ธชตวัน ศรีปาน, โชคทวี พรหมรัตน์, นิเวษ ศิริวงษ์, นิรุจน์ สุระเสียง มาผสมกับสายเลือดรุ่นใหม่อย่างศรายุทธ ชัยคำดี, ดัสกร ทองเหลา, อิศวะ สิงห์ทอง, รุ่งโรจน์ สว่างศรี, มานิตย์ น้อยเวช, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว
แต่การแข่งขันผ่านไปเพียง 4 นัด ทีมชาติไทยก็แทบหมดลุ้นเข้ารอบ เมื่อทำผลงานได้เพียงชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 2 โดยเฉพาะการพ่ายแพ้ต่อเกาหลีเหนือทั้งเหย้าและเยือน ด้วยสกอร์เดียวกันทั้งสองนัด 1-4 นั่นจึงเป็นประเด็นให้สมาคมฟุตบอลฯ ยุคนั้นตัดสินใจผ่าตัดครั้งใหญ่ ตั้งแต่การแยกทางกับคาร์ลอส คาร์วัลโญ่ พร้อมกับแต่งตั้ง “ซิกกี้ เฮลด์” โค้ชมากประสบการณ์ชาวเยอรมันมาคุมทีม
ต่อด้วยการดันสายเลือดใหม่จากชุด U-23 ขึ้นมาเกือบทั้งทีม เพื่อลงเล่นในสองแมตช์สุดท้ายของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และเตรียมความพร้อมก่อนฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนที่จะแข่งกันในเดือนธันวาคม มีนักเตะดาวรุ่งในยุคนนั้นได้ขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่อย่างเต็มตัว เช่น เอกพันธ์ อินทเสน, จักกริช บุญคำ, ไกรเกียรติ เบียดตะคุ, อานนท์ นานอก, ประทุม ชูทอง, นนทพันธ์ เจียนสถาวงศ์, ปิยะวัฒน์ ทองแม้น, นครินทร์ ฟูปลูก, นราศักดิ์ ใสแสง, เจษฎา พั่วนะคุณมี, ศิวลักษณ์ เทศสูงเนิน ฯลฯ บวกกับตัวเก๋าที่เหลือไม่กี่คน เช่น เทิดศักดิ์ ใจมั่น, นิเวส ศิริวงษ์, สุธี สุขสมกิจ
ด้วยขุมกำลังที่นักเตะกว่าครึ่งทีมเป็นดาวรุ่ง ทีมชาติไทยชุดนี้จึงได้รับฉายาว่า “ยังบลัด” หรือแข้งสายเลือดใหม่
และนัดแห่งความทรงจำก็มาถึง ทีมชาติไทยลงเล่นนัดที่ 5 ของกลุ่ม โดยแทบไม่มีลุ้นอะไรแล้ว แถมยังต้องต้อนรับการมาเยือนของยูเออีที่กำลังลุ้นเข้ารอบกับเกาหลีเหนือ สถานการณ์ตอนนั้นหากยูเออีบุกชนะไทยได้ นัดสุดท้ายพวกเขาจะกุมความได้เปรียบเพราะจะได้เล่นในบ้านเจอกับเกาหลีเหนือ
แม้จะเพิ่งรวมตัวกันได้ไม่นาน บวกกับผู้เล่นดาวรุ่งหลายคนที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ระดับชาติ หลายคนแทบไม่เชื่อมั่นว่าไทยจะเอาชนะยูเออีได้ แต่ผลการแข่งขันกลับสร้างความประหลาดใจ เมื่อนักเตะไทยยุคใหม่เล่นอย่างรัดกุม เข้าทำแบบมีประสิทธิภาพ ไล่ถล่มยูเออีไปอย่างย่อยยับถึง 3-0 โดยได้ประตูจาก นนทพันธ์ เจียรสถาวงศ์, อานนท์ นานอก และเทิดศักดิ์ ใจมั่น ชัยชนะของทีมชาติไทยนัดนี้ยังดึงยูเออีตกรอบไปด้วยเช่นกันแบบเจ็บปวดโดยไม่ต้องไปลุ้นนัดสุดท้าย
แน่นอนว่า นี่คือชัยชนะนัดเดียวของทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่มีต่อสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ แม้ว่าต่อมาทีมชาติไทยชุดยังบลัดจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่แฟนบอลคาดหวัง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ฝากหนึ่งเกมที่ดีที่สุดของทีมชาติไทยในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกให้พวกเราได้จดจำ
ที่มา เพจช้างศึก
ย้อนรอย ชัยชนะครั้งเดียวของทีมชาติไทยต่อยูเออี
#ChangsuekDiscovery
ครั้งหนึ่งทีมชาติไทยเคยไล่ถล่มยูเออีแบบย่อยยับถึง 3-0 และเกิดขึ้นในรายการใหญ่อย่างฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก เป็นชัยชนะนัดเดียวในการเจอกันของทีมชาติไทยชุดใหญ่กับยูเออี โดยฝีเท้าของเหล่านักเตะที่รวมตัวกันได้ไม่นานกับภารกิจเพื่อชาติและถูกขนานนามว่า ทีมชาติไทยชุด “ยังบลัด”
หลังจากฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก ทีมชาติไทยสร้างผลงานที่เรียกได้ว่าเฉียดเข้าใกล้ฟุตบอลโลกมากที่สุด ด้วยการผ่านเข้ามาเล่นรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายของทวีปเอเชียได้เป็นครั้งแรก เป้าหมายในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก จึงถูกวางไว้สูงกว่านั้น
ทีมชาติไทยภายใต้การนำทีมของคาร์ลอส โรเบอร์โต้ คาวัลโญ่ กุนซือชาวบราซิลที่คัมแบ็คกลับมาคุมทีมชาติชุดใหญ่อีกครั้งหลังจากเคยคุมทีมชาติไทยสร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอเชียนเกมส์ได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1990 จึงถูกคาดหวังไว้สูงมากว่า จะพาทีมชาติไทยไปได้ไกลกว่าเดิมในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2006
ทัพช้างศึกได้สิทธิผ่านเข้าไปยืนรอในรอบที่สอง และในรอบนี้เองทีมไทยจับสลากอยู่ร่วมกลุ่มกับยูเออี, เกาหลีเหนือ และเยเมน แข่งเหย้าเยือนทั้งหมด 6 นัด โดยคัดเอาที่ 1 ของกลุ่มเท่านั้นที่จะได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายของทวีปเอเชีย
ในส่วนนักเตะมีตัวหลักหลายคนจากชุดคัดฟุตบอลโลก 2002 เช่น เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ดุสิต เฉลิมแสน, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล, ธชตวัน ศรีปาน, โชคทวี พรหมรัตน์, นิเวษ ศิริวงษ์, นิรุจน์ สุระเสียง มาผสมกับสายเลือดรุ่นใหม่อย่างศรายุทธ ชัยคำดี, ดัสกร ทองเหลา, อิศวะ สิงห์ทอง, รุ่งโรจน์ สว่างศรี, มานิตย์ น้อยเวช, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว
แต่การแข่งขันผ่านไปเพียง 4 นัด ทีมชาติไทยก็แทบหมดลุ้นเข้ารอบ เมื่อทำผลงานได้เพียงชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 2 โดยเฉพาะการพ่ายแพ้ต่อเกาหลีเหนือทั้งเหย้าและเยือน ด้วยสกอร์เดียวกันทั้งสองนัด 1-4 นั่นจึงเป็นประเด็นให้สมาคมฟุตบอลฯ ยุคนั้นตัดสินใจผ่าตัดครั้งใหญ่ ตั้งแต่การแยกทางกับคาร์ลอส คาร์วัลโญ่ พร้อมกับแต่งตั้ง “ซิกกี้ เฮลด์” โค้ชมากประสบการณ์ชาวเยอรมันมาคุมทีม
ต่อด้วยการดันสายเลือดใหม่จากชุด U-23 ขึ้นมาเกือบทั้งทีม เพื่อลงเล่นในสองแมตช์สุดท้ายของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และเตรียมความพร้อมก่อนฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนที่จะแข่งกันในเดือนธันวาคม มีนักเตะดาวรุ่งในยุคนนั้นได้ขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่อย่างเต็มตัว เช่น เอกพันธ์ อินทเสน, จักกริช บุญคำ, ไกรเกียรติ เบียดตะคุ, อานนท์ นานอก, ประทุม ชูทอง, นนทพันธ์ เจียนสถาวงศ์, ปิยะวัฒน์ ทองแม้น, นครินทร์ ฟูปลูก, นราศักดิ์ ใสแสง, เจษฎา พั่วนะคุณมี, ศิวลักษณ์ เทศสูงเนิน ฯลฯ บวกกับตัวเก๋าที่เหลือไม่กี่คน เช่น เทิดศักดิ์ ใจมั่น, นิเวส ศิริวงษ์, สุธี สุขสมกิจ
ด้วยขุมกำลังที่นักเตะกว่าครึ่งทีมเป็นดาวรุ่ง ทีมชาติไทยชุดนี้จึงได้รับฉายาว่า “ยังบลัด” หรือแข้งสายเลือดใหม่
และนัดแห่งความทรงจำก็มาถึง ทีมชาติไทยลงเล่นนัดที่ 5 ของกลุ่ม โดยแทบไม่มีลุ้นอะไรแล้ว แถมยังต้องต้อนรับการมาเยือนของยูเออีที่กำลังลุ้นเข้ารอบกับเกาหลีเหนือ สถานการณ์ตอนนั้นหากยูเออีบุกชนะไทยได้ นัดสุดท้ายพวกเขาจะกุมความได้เปรียบเพราะจะได้เล่นในบ้านเจอกับเกาหลีเหนือ
แม้จะเพิ่งรวมตัวกันได้ไม่นาน บวกกับผู้เล่นดาวรุ่งหลายคนที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ระดับชาติ หลายคนแทบไม่เชื่อมั่นว่าไทยจะเอาชนะยูเออีได้ แต่ผลการแข่งขันกลับสร้างความประหลาดใจ เมื่อนักเตะไทยยุคใหม่เล่นอย่างรัดกุม เข้าทำแบบมีประสิทธิภาพ ไล่ถล่มยูเออีไปอย่างย่อยยับถึง 3-0 โดยได้ประตูจาก นนทพันธ์ เจียรสถาวงศ์, อานนท์ นานอก และเทิดศักดิ์ ใจมั่น ชัยชนะของทีมชาติไทยนัดนี้ยังดึงยูเออีตกรอบไปด้วยเช่นกันแบบเจ็บปวดโดยไม่ต้องไปลุ้นนัดสุดท้าย
แน่นอนว่า นี่คือชัยชนะนัดเดียวของทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่มีต่อสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ แม้ว่าต่อมาทีมชาติไทยชุดยังบลัดจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่แฟนบอลคาดหวัง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ฝากหนึ่งเกมที่ดีที่สุดของทีมชาติไทยในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกให้พวกเราได้จดจำ
ที่มา เพจช้างศึก