‘ความชอบฟุตบอลของเรา ... มันเริ่มต้นจากดูฟุตบอลตามพี่ชาย’
เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ที่บ้านไม่มีเคเบิ้ลทีวี เมื่อก่อนเวลาดูฟุตบอลพวกเราจะต้องไปดูที่บ้านของน้าชายที่อยู่อีกฝั่งของหมู่บ้าน และนั่นก็เลยเป็นที่มาของการเริ่มต้นดูฟุตบอลของเรา ทุกครั้งที่มีการแข่งขัน UEFA Champions League เราจะมีหน้าที่เดินไปบ้านน้าเป็นเพื่อนพี่ชาย เพราะว่ามันค่อนข้างดึก
แรกๆ เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ไปถึงก็หลับ พอฟุตบอลจบพี่ชายก็ปลุกกลับบ้าน มารู้ตัวอีกทีว่าตัวเองเริ่มดูฟุตบอลจริงจังก็นัดชิง UEFA Champions League ปี 2005 ที่แม่เราถึงกลับเอ่ยปากว่าทำไมมีลูกสาวแล้วเหมือนมีลูกชาย ตอนนั้นคือแม่ตื่นมาทำกับข้าวแล้ว แต่เรายังไม่ได้นอน เพราะฟุตบอลยังไม่จบ
ความคิดอยากไปดูฟุตบอลที่สนามจริงของเรามีขึ้นตอนปี 2017 ตอนที่เราไปเที่ยวรัสเซียแล้วได้ไปเดินเล่นที่สนาม Otkrytiye Arena ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีมสปาร์ตัก มอสโก (Spartak Moscow) อีกทีมหนึ่งที่เราได้ยินชื่อมาตั้งแต่เด็กๆ
ตอนนั้นเราเข้าใจความรู้สึกของแฟนบอลเลยว่าเวลาได้เห็นสนามจริงของทีมโปรดมันเป็นยังไง สีหน้า แววตาและท่าทางการโพสต์ของหนุ่มรัสเซียที่วานเราถ่ายรูปให้บอกเราได้เป็นอย่างดี ขนาดเราแค่ได้ยินชื่อทีมบ่อยๆ ยังรู้สึกอินไปด้วย
ความคิดอยากไปดูฟุตบอลที่สนามจริงของเรารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกลับจากรัสเซีย แต่ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ ฝั่งยุโรปก็ยังไม่เคยไป ซื้อตั๋วฟุตบอลยังไงก็ไม่รู้ แถมภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรงอีก แต่สิ่งที่เราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือคำว่า ‘โชคชะตา’
ปลายเดือนธันวาคมปี 2017 สายการบิน Qatar ปล่อยตั๋วโปรโมชั่นแบบ Multi-city (ขาไปและขากลับต้องเป็นคนละเมือง) ออกมา ตอนนั้นเรารู้แค่ว่าเราอยากไปดูบาเยิร์น มิวนิกที่ Allianz Arena ประเทศเยอรมนี แล้วขากลับล่ะจะเป็นที่ไหนดี
ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามิวนิกอยู่ทางตอนใต้ของเยอรมนี ก่อนจองตั๋วเครื่องบินเราใช้เวลาเปิดแผนที่ไม่ถึง 1 นาที แล้วเราก็ตัดสินใจเลือกเวียนนา ประเทศออสเตรียเป็นปลายทางสุดท้ายของทริปนั้น สรุปเวลาทั้งหมดที่เราใช้ในการจองตั๋วไปดูฟุตบอลครั้งแรกก็ 30 นาทีโดยประมาณ
การไปดูฟุตบอลที่ Allianz Arena เมื่อปี 2018 ผ่านไปด้วยความประทับใจมาก วันนั้นบาเยิร์น มิวนิกเปิดบ้านถล่มอินทรีแดงดำ Eintracht Frankfurt ไปถึง 4-1 ประตู ก่อนจะไปโดนเอาคืนในนัดชิง DFB-Pokal
สำหรับคนที่ชอบดูฟุตบอลเราว่ามันดีนะถ้าซักครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาดูการแข่งขันที่สนามจริง และที่เราชอบมากกว่าบรรยากาศในสนามคือ บรรดากองเชียร์และแฟนคลับของสโมสร เราหลงรักการเดินอยู่ในเมืองแล้วมีแฟนบอลใส่เสื้อสโมสรเดินผ่านไปมา วันนั้นเราเห็นแล้วก็อินไปด้วยจนต้องรีบไปซื้อเสื้อมาเปลี่ยนบ้าง
ตอนที่นั่งรถไฟไป Allianz Arena เราก็แทบไม่ต้องดูเลยว่าจะต้องนั่งสายไหน เพราะแค่สังเกตฝั่งที่มีเสื้อบอลเยอะๆ ก็รู้แล้ว วันนั้นตู้ที่เราขึ้นมีกองเชียร์ของ Eintracht Frankfurt อยู่ด้วย ก็เลยมีการตะโกนเชียร์ตอบโต้กันเล็กน้อย
ก่อนไปเราก็กังวลเหมือนกันว่าผู้หญิงไปดูฟุตบอลคนเดียวมันจะสนุกมั้ย สนามก็กว้าง คนก็เยอะ แต่พอไปจริงๆ มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เดินตามแฟนบอลคนอื่นไปอย่างเดียว ตอนเข้าสนามก็ตรวจกระเป๋าและสแกนตั๋วตามปกติ หลังจากนั้นก็เดินหาโซนที่นั่งของเราได้เลย
ที่สนาม Allianz Arena อนุญาตให้เรานำกล้อง DSLR และเลนส์ที่มีระยะไม่เกิน 200 mm เข้าไปในสนามได้ แต่ห้ามใช้ไม้เซลฟี่และขาตั้งกล้อง สำหรับกระเป๋าต้องมีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 คนที่สะพายเป้และพก Power Bank ติดตัวไปต้องนำไปฝากที่จุดรับฝาก ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นเราเสียค่าฝาก Power Bank ไป 2 ยูโร
พอถึงเวลาแข่งขันทุกคนรอบข้างคือเพื่อนเราหมด เพราะเราเชียร์ทีมเดียวกัน จากที่เคยคิดว่าจะทำหน้ายังไงตอนที่ทีมได้ประตู มันก็ตะโกนขึ้นมาเอง ช่วงแรกๆ หลังจากได้ประตูเราก็ยังงงๆ ว่าเค้าตะโกนอะไรกัน เพราะพิธีกรสนามพูดแต่ภาษาเยอรมัน หลังๆ เริ่มจับทางได้ว่า อ้อ มันคือชื่อคนทำประตู เราก็เริ่มตะโกนด้วย
วันนั้นนักฟุตบอลตัวหลักแทบไม่ได้ลง เพราะบาเยิร์น มิวนิกมีคะแนนนำห่างจนได้แชมป์บุนเดสลีกาไปแล้ว แต่เราก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากจนคิดว่าจะต้องกลับไปอีกแน่ๆ และเรื่องที่เราประทับใจอีกอย่างก็คือ ตอนที่ฟุตบอลจบ คนที่เดินกลับมาที่สถานีรถไฟเยอะมาก เราว่าน่าจะหลายหมื่นคน แต่ระบบขนส่งที่มิวนิกก็กระจายคนได้เร็วมากๆ จนไม่รู้สึกว่าลำบากอะไรเลย
ช่วงที่เราอยู่ที่เยอรมนีเป็นสัปดาห์ที่มีการแข่งขัน UEFA Champions League พอดี นัดนั้นบาเยิร์น มิวนิกจะต้องไปเยือนเรอัล มาดริด ด้วยความที่เราตามเพจ FC Bayern München มาซักพัก เราก็เลยรู้ว่านัดไหนที่เป็นทีมเยือนไกลๆ จะมีการ live จากสนามบินแล้วก็มีแฟนบอลมารอถ่ายรูปและขอลายเซ็นจากนักเตะได้
หลังจากที่พลาดจากการจะได้ดู UEFA Champions League รอบรองฯ ที่ Allianz Arena แล้ว เราก็คิดว่าวันที่บินไปมาดริดน่าจะตรงกับช่วงที่เราอยู่มิวนิกแน่ๆ เราก็เลยพยายามไปหาไฟลท์มา แล้วเราก็เจอว่าไฟลท์ประจำของบาเยิร์น มิวนิกก็คือ LH2570 แต่ปัญหาคือเรารู้แค่วันที่ที่จะไปสนามบิน เพราะเดาว่าต้องบินก่อนการแข่งขัน 1 วัน แต่เราไม่รู้ว่าไฟลท์กี่โมง
ตอนแรกเราก็เกือบถอดใจแล้ว เพราะจะให้ไปรอที่สนามบินทั้งวันก็คงไม่ไหว จนคืนก่อนหน้านั้นหนึ่งคืนเราลองหาเวลาดูอีกรอบ ปรากฏว่าโชคชะตาทำงานเวลาขึ้นจ้า ไฟลท์ที่เช็คได้คือ 10.30 น. ตอนเช้าเราก็เลยรีบตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปถึงสนามบินตอน 7 โมงครึ่ง คือเผื่อเวลาเหมือนคนปกติเลย
ตอนที่ไปถึงสนามบินเราก็ดูจอหาเคาน์เตอร์อะไรปกติ แต่พอเดินไปถึง Terminal 2 ก็เหมือนจะหลง เราหาเคาน์เตอร์ของสายการบิน Lufhansa ไม่เจอ แล้วอยู่ดีๆ เราก็เหลือบไปเห็นตราสโมสรบาเยิร์น มิวนิกที่เคาน์เตอร์หนึ่ง พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่เตรียมผ้าพันคอไว้แจกผู้โดยสารด้วยก็เลยคิดว่าใช่แน่ๆ
เรานั่งรออยู่ตรงนั้นตั้งแต่ยังไม่ 8 โมง ระหว่างรอก็ดูแฟนบอลไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง 8 โมงนิดๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมานั่งข้างๆ ตอนแรกเราคิดว่าเค้าคือ อูลี่ เฮอเนส ประธานสโมสร แต่พอได้คุยกันเค้าบอกว่าเค้าเป็นเบอร์ 3 ของสโมสร แล้วเค้าก็ถามเราว่ามารอถ่ายรูปเหรอ ถ้าใช่คงต้องรอหน่อยนะ อีกซักชั่วโมงได้
วันนั้นนักฟุตบอลมาถึงตอน 9 โมงครึ่ง ปู่จุ๊ปป์เป็นคนเดินนำมาก่อน แล้วความวุ่นวายย่อมๆ ก็เกิดขึ้น เรากำลังถ่ายรูป Sebastien Rudy อยู่ดีๆ Robert Lewandowsky ก็เดินเข้ามา เรานี่วิ่งแทบไม่ทัน วันนั้นนักฟุตบอลทุกคนเป็นกันเองมาก ไม่มีปฏิเสธแฟนบอลเลย เราได้เซลฟี่กับนักฟุตบอล 3 คนคือ Robert Lewandowsky Thomas Müller แล้วก็ Mats Hummels คนสุดท้ายนี่ใจดีมากมีย่อเข่าแล้วก็ให้ถ่ายซ่อมได้ด้วย
LOST IN GERMANY :: เมื่อผู้หญิงคนเดียวตีตั๋วบินเดี่ยวไปดูฟุตบอลที่เยอรมนี
เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ที่บ้านไม่มีเคเบิ้ลทีวี เมื่อก่อนเวลาดูฟุตบอลพวกเราจะต้องไปดูที่บ้านของน้าชายที่อยู่อีกฝั่งของหมู่บ้าน และนั่นก็เลยเป็นที่มาของการเริ่มต้นดูฟุตบอลของเรา ทุกครั้งที่มีการแข่งขัน UEFA Champions League เราจะมีหน้าที่เดินไปบ้านน้าเป็นเพื่อนพี่ชาย เพราะว่ามันค่อนข้างดึก
แรกๆ เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ไปถึงก็หลับ พอฟุตบอลจบพี่ชายก็ปลุกกลับบ้าน มารู้ตัวอีกทีว่าตัวเองเริ่มดูฟุตบอลจริงจังก็นัดชิง UEFA Champions League ปี 2005 ที่แม่เราถึงกลับเอ่ยปากว่าทำไมมีลูกสาวแล้วเหมือนมีลูกชาย ตอนนั้นคือแม่ตื่นมาทำกับข้าวแล้ว แต่เรายังไม่ได้นอน เพราะฟุตบอลยังไม่จบ
ความคิดอยากไปดูฟุตบอลที่สนามจริงของเรามีขึ้นตอนปี 2017 ตอนที่เราไปเที่ยวรัสเซียแล้วได้ไปเดินเล่นที่สนาม Otkrytiye Arena ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีมสปาร์ตัก มอสโก (Spartak Moscow) อีกทีมหนึ่งที่เราได้ยินชื่อมาตั้งแต่เด็กๆ
ตอนนั้นเราเข้าใจความรู้สึกของแฟนบอลเลยว่าเวลาได้เห็นสนามจริงของทีมโปรดมันเป็นยังไง สีหน้า แววตาและท่าทางการโพสต์ของหนุ่มรัสเซียที่วานเราถ่ายรูปให้บอกเราได้เป็นอย่างดี ขนาดเราแค่ได้ยินชื่อทีมบ่อยๆ ยังรู้สึกอินไปด้วย
ความคิดอยากไปดูฟุตบอลที่สนามจริงของเรารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกลับจากรัสเซีย แต่ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ ฝั่งยุโรปก็ยังไม่เคยไป ซื้อตั๋วฟุตบอลยังไงก็ไม่รู้ แถมภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรงอีก แต่สิ่งที่เราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือคำว่า ‘โชคชะตา’
ปลายเดือนธันวาคมปี 2017 สายการบิน Qatar ปล่อยตั๋วโปรโมชั่นแบบ Multi-city (ขาไปและขากลับต้องเป็นคนละเมือง) ออกมา ตอนนั้นเรารู้แค่ว่าเราอยากไปดูบาเยิร์น มิวนิกที่ Allianz Arena ประเทศเยอรมนี แล้วขากลับล่ะจะเป็นที่ไหนดี
ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามิวนิกอยู่ทางตอนใต้ของเยอรมนี ก่อนจองตั๋วเครื่องบินเราใช้เวลาเปิดแผนที่ไม่ถึง 1 นาที แล้วเราก็ตัดสินใจเลือกเวียนนา ประเทศออสเตรียเป็นปลายทางสุดท้ายของทริปนั้น สรุปเวลาทั้งหมดที่เราใช้ในการจองตั๋วไปดูฟุตบอลครั้งแรกก็ 30 นาทีโดยประมาณ
การไปดูฟุตบอลที่ Allianz Arena เมื่อปี 2018 ผ่านไปด้วยความประทับใจมาก วันนั้นบาเยิร์น มิวนิกเปิดบ้านถล่มอินทรีแดงดำ Eintracht Frankfurt ไปถึง 4-1 ประตู ก่อนจะไปโดนเอาคืนในนัดชิง DFB-Pokal
สำหรับคนที่ชอบดูฟุตบอลเราว่ามันดีนะถ้าซักครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาดูการแข่งขันที่สนามจริง และที่เราชอบมากกว่าบรรยากาศในสนามคือ บรรดากองเชียร์และแฟนคลับของสโมสร เราหลงรักการเดินอยู่ในเมืองแล้วมีแฟนบอลใส่เสื้อสโมสรเดินผ่านไปมา วันนั้นเราเห็นแล้วก็อินไปด้วยจนต้องรีบไปซื้อเสื้อมาเปลี่ยนบ้าง
ตอนที่นั่งรถไฟไป Allianz Arena เราก็แทบไม่ต้องดูเลยว่าจะต้องนั่งสายไหน เพราะแค่สังเกตฝั่งที่มีเสื้อบอลเยอะๆ ก็รู้แล้ว วันนั้นตู้ที่เราขึ้นมีกองเชียร์ของ Eintracht Frankfurt อยู่ด้วย ก็เลยมีการตะโกนเชียร์ตอบโต้กันเล็กน้อย
ก่อนไปเราก็กังวลเหมือนกันว่าผู้หญิงไปดูฟุตบอลคนเดียวมันจะสนุกมั้ย สนามก็กว้าง คนก็เยอะ แต่พอไปจริงๆ มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เดินตามแฟนบอลคนอื่นไปอย่างเดียว ตอนเข้าสนามก็ตรวจกระเป๋าและสแกนตั๋วตามปกติ หลังจากนั้นก็เดินหาโซนที่นั่งของเราได้เลย
ที่สนาม Allianz Arena อนุญาตให้เรานำกล้อง DSLR และเลนส์ที่มีระยะไม่เกิน 200 mm เข้าไปในสนามได้ แต่ห้ามใช้ไม้เซลฟี่และขาตั้งกล้อง สำหรับกระเป๋าต้องมีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 คนที่สะพายเป้และพก Power Bank ติดตัวไปต้องนำไปฝากที่จุดรับฝาก ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นเราเสียค่าฝาก Power Bank ไป 2 ยูโร
พอถึงเวลาแข่งขันทุกคนรอบข้างคือเพื่อนเราหมด เพราะเราเชียร์ทีมเดียวกัน จากที่เคยคิดว่าจะทำหน้ายังไงตอนที่ทีมได้ประตู มันก็ตะโกนขึ้นมาเอง ช่วงแรกๆ หลังจากได้ประตูเราก็ยังงงๆ ว่าเค้าตะโกนอะไรกัน เพราะพิธีกรสนามพูดแต่ภาษาเยอรมัน หลังๆ เริ่มจับทางได้ว่า อ้อ มันคือชื่อคนทำประตู เราก็เริ่มตะโกนด้วย
วันนั้นนักฟุตบอลตัวหลักแทบไม่ได้ลง เพราะบาเยิร์น มิวนิกมีคะแนนนำห่างจนได้แชมป์บุนเดสลีกาไปแล้ว แต่เราก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากจนคิดว่าจะต้องกลับไปอีกแน่ๆ และเรื่องที่เราประทับใจอีกอย่างก็คือ ตอนที่ฟุตบอลจบ คนที่เดินกลับมาที่สถานีรถไฟเยอะมาก เราว่าน่าจะหลายหมื่นคน แต่ระบบขนส่งที่มิวนิกก็กระจายคนได้เร็วมากๆ จนไม่รู้สึกว่าลำบากอะไรเลย
ช่วงที่เราอยู่ที่เยอรมนีเป็นสัปดาห์ที่มีการแข่งขัน UEFA Champions League พอดี นัดนั้นบาเยิร์น มิวนิกจะต้องไปเยือนเรอัล มาดริด ด้วยความที่เราตามเพจ FC Bayern München มาซักพัก เราก็เลยรู้ว่านัดไหนที่เป็นทีมเยือนไกลๆ จะมีการ live จากสนามบินแล้วก็มีแฟนบอลมารอถ่ายรูปและขอลายเซ็นจากนักเตะได้
หลังจากที่พลาดจากการจะได้ดู UEFA Champions League รอบรองฯ ที่ Allianz Arena แล้ว เราก็คิดว่าวันที่บินไปมาดริดน่าจะตรงกับช่วงที่เราอยู่มิวนิกแน่ๆ เราก็เลยพยายามไปหาไฟลท์มา แล้วเราก็เจอว่าไฟลท์ประจำของบาเยิร์น มิวนิกก็คือ LH2570 แต่ปัญหาคือเรารู้แค่วันที่ที่จะไปสนามบิน เพราะเดาว่าต้องบินก่อนการแข่งขัน 1 วัน แต่เราไม่รู้ว่าไฟลท์กี่โมง
ตอนแรกเราก็เกือบถอดใจแล้ว เพราะจะให้ไปรอที่สนามบินทั้งวันก็คงไม่ไหว จนคืนก่อนหน้านั้นหนึ่งคืนเราลองหาเวลาดูอีกรอบ ปรากฏว่าโชคชะตาทำงานเวลาขึ้นจ้า ไฟลท์ที่เช็คได้คือ 10.30 น. ตอนเช้าเราก็เลยรีบตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปถึงสนามบินตอน 7 โมงครึ่ง คือเผื่อเวลาเหมือนคนปกติเลย
ตอนที่ไปถึงสนามบินเราก็ดูจอหาเคาน์เตอร์อะไรปกติ แต่พอเดินไปถึง Terminal 2 ก็เหมือนจะหลง เราหาเคาน์เตอร์ของสายการบิน Lufhansa ไม่เจอ แล้วอยู่ดีๆ เราก็เหลือบไปเห็นตราสโมสรบาเยิร์น มิวนิกที่เคาน์เตอร์หนึ่ง พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่เตรียมผ้าพันคอไว้แจกผู้โดยสารด้วยก็เลยคิดว่าใช่แน่ๆ
เรานั่งรออยู่ตรงนั้นตั้งแต่ยังไม่ 8 โมง ระหว่างรอก็ดูแฟนบอลไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง 8 โมงนิดๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมานั่งข้างๆ ตอนแรกเราคิดว่าเค้าคือ อูลี่ เฮอเนส ประธานสโมสร แต่พอได้คุยกันเค้าบอกว่าเค้าเป็นเบอร์ 3 ของสโมสร แล้วเค้าก็ถามเราว่ามารอถ่ายรูปเหรอ ถ้าใช่คงต้องรอหน่อยนะ อีกซักชั่วโมงได้
วันนั้นนักฟุตบอลมาถึงตอน 9 โมงครึ่ง ปู่จุ๊ปป์เป็นคนเดินนำมาก่อน แล้วความวุ่นวายย่อมๆ ก็เกิดขึ้น เรากำลังถ่ายรูป Sebastien Rudy อยู่ดีๆ Robert Lewandowsky ก็เดินเข้ามา เรานี่วิ่งแทบไม่ทัน วันนั้นนักฟุตบอลทุกคนเป็นกันเองมาก ไม่มีปฏิเสธแฟนบอลเลย เราได้เซลฟี่กับนักฟุตบอล 3 คนคือ Robert Lewandowsky Thomas Müller แล้วก็ Mats Hummels คนสุดท้ายนี่ใจดีมากมีย่อเข่าแล้วก็ให้ถ่ายซ่อมได้ด้วย