เรื่องมีอยู่ว่า... ประมาณปีก่อนผมเห็นภาพน้ำตกผาโสกในโซเชียลมีเดียแล้วรู้สึกว้าวมาก แถมยิ่งว้าวเข้าไปใหญ่เมื่อรู้ว่าหน้าผาแห่งนี้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม อุบลราชธานี เพราะผมเคยไปผาแต้มมาหลายรอบ ผาชะนะไดก็เคยไป ผาเจ๊ก ผาเมย ก็เคยได้ยินชื่อ แต่ไฉนเลยจึงไม่เคยรู้จักผาโสกมาก่อน
เมื่อความสงสัยบังเกิด ตามสัญชาติของผมก็ต้องไปค้นหาให้เห็นกับตาน่ะสิครับ
บังเอิญเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาผมมีโอกาสกลับไป อช.ผาแต้ม อีกรอบ เลยถามเจ้าหน้าที่ให้หมดความคาใจว่า ผาโสกคือที่ไหนไปยังไง จนได้ความว่าอยู่ไม่ไกลหน่วยพิทักษ์ฯ น้ำตกสร้อยสวรรค์ ถ้ารู้ทางไปเที่ยวเองก็ได้ ให้ชาวบ้านนำทางก็ได้ หรือจะให้เจ้าหน้าที่นำไปก็ได้เหมือนกัน ติดต่อมาที่หน่วยฯ ได้เลย
เที่ยวง่ายขนาดนี้ก็ต้องโดนกันหน่อยล่ะ
กำหนดวันปุ๊บ กลางเดือนสิงหาคม รวมรวบสมาชิกปั๊บเก้าชีวิต ทริปผาโสกก็เกิดขึ้นพร้อมกับความลิงโลดของผม เพราะป่าบนภูอีสานเป็นอะไรที่ผมชอบอยู่แล้ว และโดยส่วนตัวอยากทำให้เส้นทางเที่ยวธรรมชาติอีสานให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
ก่อนไปเที่ยวขออธิบายเส้นทางสักนิดเพราะเราไม่ได้แค่ไปเที่ยวผาโสกแบบคนอื่นเขาซึ่งใช้บริการไกด์ชาวบ้านพรานท้องถิ่น แต่เราจะเที่ยวกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เดินป่าตามแนวหน้าผาอุทยานแห่งชาติผาแต้ม (ซึ่งไม่ใช่บริเวณผาแต้ม) ใช้เวลาสามวันสองคืน เริ่มต้นจากน้ำตกสร้อยสวรรค์ ไปผาเจ๊ก ผาเมย ตั้งแคมป์คืนแรก วันที่สองเดินต่อไปผาโสก ตั้งแคมป์คืนสอง แล้วกลับมาน้ำตกสร้อยสวรรค์วันสุดท้าย
ผาเจ๊กและผาเมยเป็นหน้าผาซึ่งรถกระบะหรือมอเตอร์ไซค์เข้าถึง ขณะที่ผาโสกรถเกือบถึง แต่เราจะไปเดิน เพราะฉะนั้นถึงรถเข้าได้เราก็ไม่นั่งหรอก อยากเมื่อยมากกว่า (ฮา...) เดินเลียบผาไปเรื่อยๆ ชมวิวน้ำโขงให้เพลินใจ ระยะทางเดินทั้งหมดของทริปประมาณ 12 กิโลเมตร ไม่รวมการนั่งรถไปยังจุดเริ่มเดิมและจุดรับกลับอีกสัก 4-5 กิโลเมตร
ปีนี้มีคนมาเที่ยวผาโสกเยอะขึ้น มากางเต็นท์ค้างแรมกันแทบทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์หลายกลุ่ม เพราะเป็นที่รู้จักผ่านโลกออนไลน์นี่แหละ แต่อย่างที่บอกคือไปกับไกด์ชาวบ้านซึ่งเป็นคนละเส้นทางกับเรา ส่วนที่ให้เจ้าหน้าที่พามาแบบเรา แถมเดินทางผาเจ๊ก-ผาเมย เราเป็นกลุ่มแรกของปีเลยล่ะครับ
(1)
ตัดฉับถึงวันเดินทาง เที่ยวได้แล้วอยากจะเที่ยว (ฮา...) พวกเราแยกย้ายกันมาด้วยรถไฟบ้าง รถทัวร์บ้าง ส่วนผมขึ้นรถไฟจากโคราชตอนเที่ยงคืนเศษ มาถึงสถานีอุบลราชธานี อำเภอวารินชำราบ ตอนหกโมงนิดๆ จุดหมายต่อไปคือรับพรรคพวกที่บขส.อุบล ช้อปปิ้งที่ตลาดอำเภอพิบูลมังสาหาร แล้วต่อไปน้ำตกสร้อยสวรรค์ อำเภอโขงเจียม สุดปลายคมขวานชายแดนไทย
ไปยังไงน่ะหรือ ? ผมติดต่อรถไว้แล้วล่ะ เป็นสองแถวสีขาวคิวหน้าสถานีรถไฟ หาไว้ตั้งแต่มาอุบลคราวก่อนด้วยวิธีขอเบอร์โทรและถามราคาเหมาไว้หลายคัน ใครให้ราคาดีสุดก็ไปกับคันนั้น คันที่ได้คุณลุงโชเฟอร์เรียก 1,700 บาท สำหรับระยะทางขาเดียว 100 กิโลเมตร ถือว่าสมเหตุสมผล ไม่ถูกไม่แพง หารเก้าคนก็คุ้มพวกเราอยู่
ออกเดินทางตามสเต็ปอย่างที่บอกครับ รับคนที่บขส. แล้วก็ลิ่วไปทางอำเภอพิบูลมังสาหาร แวะตลาดสด ซื้ออะไรก็จัดการให้เรียบร้อย ที่นี่ตลาดใหญ่มีทุกอย่าง ของสด ของแห้ง ของกินกลางวันอย่าให้ขาด
นั่งเรื่อยๆ เอื่อยๆ จากพิบูลถึงสามแยกโขงเจียม เลี้ยวขวาไปตัวอำเภอ แม่น้ำสองสี ส่วนเราเลี้ยวซ้ายไปทางอุทยานแห่งชาติผาแต้ม แล้วเลยทางเข้าอุทยานไปอีก 15 กิโลเมตร ก็จะถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานที่ ผต.1 (สร้อยสวรรค์) เราไปถึงประมาณสิบเอ็ดโมง เจ้าหน้าที่เตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว
จัดของเตรียมตัวแล้วขึ้นรถกระบะซึ่งจะไปส่งที่จุดเริ่มเดิน ช่วยทุ่นระยะทางไปได้หลายกิโลเมตร และรถคันนี้จะเข้าไปส่งเสบียงเจ้าหน้าที่ไปลาดตระเวนพร้อมเราที่จุดตั้งแคมป์ตอนเย็นด้วย เพราะฉะนั้นขี้เกียจแบกอะไรฝากไว้กับรถได้ จะฝากเป้ทั้งใบก็ตามสบาย แต่เราไม่ฝากเป้หรอกครับ เดี๋ยวจะไม่เท่ (ฮา...)
เที่ยงนิดๆ รถมาปล่อยพวกเราลงตรงลานหินกว้างเรียกว่าภูโลง เพราะมีการค้นพบโลงศพมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตามซอกหิน จากตรงนี้เราจะเดินเท้าอีก 5 กิโลเมตร ไปจุดตั้งแคมป์แรก ที่ผาเจ๊ก-ผาเมย เป็นทางเดินราบๆ บนภูหินทราย ไม่มีอะไรลำบาก
ป่าผาแต้มเป็นป่าเต็งรังบนภูหินทราย ลักษณะก็จะค่อนข้างโปร่งและไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่สักเท่าไหร่ เดินเล่นคุยกับเจ้าหน้าที่ผมก็สอบถามตามประสา “เดี๋ยวนี้ยังมีปัญหาเรื่องตัดไม้อยู่บ้างไหมครับ” เจ้าหน้าที่หัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วพวกตัดไม้ ไม่เหลืออะไรให้มันตัดแล้ว”
จุกถึงอก ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี...
เดินผ่านป่าโปร่งๆ สลับลานหินสักครึ่งชั่วโมงเราก็ได้มายืนเลียบหน้าผามองวิวแม่น้ำโขง ช่วงนี้ฝนเริ่มตกชุกมากขึ้น น้ำโขงเลยมีสีปูนอย่างที่เห็น
สิ่งที่เห็นได้ชัดบนป่าผาแต้มคือลานดอกไม้ป่าครับ ขนาดมาช่วงไม่ใช่ฤดูออกดอกยังพอมองเห็นเลยว่ามีกระจายอยู่เต็มไปหมด หากมาปลายฝนต้นหนาว ปลายตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม ซึ่งเป็นฤดูของพวกมันคงต้องสวยมากแน่ๆ แถมดอกไม้อื่นๆ ก็มีให้เห็นไม่น้อย หงอนนาคโผล่มานิดๆ หน่อยๆ ด้วย
บ่ายโมงครึ่ง เรามาถึงผาเจ๊ก (บ้างเขียนผาเจ๊ก บ้างเขียนผาเจ็ก แบบแรกคือคำที่ถูกต้องตามความหมายครับ) ที่มาของชื่อคือเจ๊กชาวจีนนั่นแหละ สมัยก่อนชาวจีนที่ล่องเรือส่งสินค้าหรือค้าขายจะมาพักกันที่ผาแห่งนี้ ส่วนเรื่องความงามต้องบอกเลยว่าแจ่มจริง ทั้งสวยและเสียวในเวลาเดียวกัน
ช่วงนี้หน้าฝนหมู่บ้านข้างล่างทำนาเขียวขจีเลยเชียวล่ะ ถ้ามาหน้าหนาวบรรยากาศไม่สดชื่นแบบนี้นะ จะออกไปทางร้อนแล้ง เหลืองกรอบไปหมด
ยังไม่ทันจะบ่ายสองโมง เราก็เดินมาถึงจุดตั้งแคมป์วันแรก มองย้อนกลับไปทางผาเจ๊กวิวอย่างงาม เวลา มาเที่ยว อช.ผาแต้ม ทีไร ผมคิดเสมอว่าภูฝั่งลาวสวยจริงๆ มาตอนนี้แหละรู้แล้วว่าฝั่งเราก็สวยไม่แพ้ของเขาหรอก
จุดตั้งแคมป์เป็นลำธารชื่อห้วยจั่ววง อยู่ตรงกลางระหว่างผาเจ๊กกับผาเมย จริงๆ เป็นน้ำตกลงจากหน้าผาเหมือนกับผาโสก แต่ช่วงนี้น้ำยังไม่เยอะมาก มีเต็นท์ที่ทางล้นเหลือ เปลก็พอผูกได้อยู่บ้างแม้ต้นไม้เหมาะๆ มีให้เลือกไม่เยอะสักเท่าไหร่ ทริปนี้พวกเรามีเปลสอง กับเต็นท์อีกเจ็ด
อะไรจะชิลขนาดนี้ มีเวลาเหลือเฟือสำหรับนั่งเล่นนอนเล่น ชมวิว ถ่ายรูป และแน่นอนว่ารวมถึงการอาบน้ำ แถมเพิ่มความชิลยิ่งกว่า อย่างที่บอกคือตรงนี้รถยนต์และมอเตอร์ไซค์เข้าถึง แถมเย็นนี้จะมีรถมาส่งเสบียง เราจึงสามารถฝากซื้ออะไรเข้ามานิดหน่อยได้สบายๆ ซึ่งอะไรนิดหน่อยที่ว่าก็ไปตีความกันเอานะ (ฮา...)
ใกล้เย็นพวกเรารวมตัวล้อมวงทำกับข้าวแบบสรวลเสเฮฮา น่าจะเป็นครั้งแรกในทริปเที่ยวป่าที่เราได้ดินเนอร์กันก่อนฟ้าจะมืด เพราะอย่างที่บอกครับว่าสบายๆ เวลาเยอะเหลือเกิน เลยเริ่มทำอาหารกันเร็ว
คืนนี้สบายๆ คุยกันเฮฮานั่งดึงดาวกันไป โอ้โห... บอกเลยว่าเขาสูงกว่านี้ป่าลึกกว่านี้ไปมาเยอะแยะ แต่วันนี้เป็นหนึ่งในวันซึ่งผมเห็นท้องฟ้าสวยสุดในชีวิต ชัดเจนกว่า 4K ต่อให้ดูดาวไม่เป็น พอแหงนคอมองปุ๊บก็ยังบอกได้เลยตรงไหนคือทางช้างเผือก พาดจากไหนไปไหน
คืนนี้พวกเราแยกย้ายกันประมาณห้าทุ่ม กางเต็นท์ก็มุดเต็นท์ ผูกเปลก็ขึ้นเปล ผมนอนเปลสบายๆ ไม่หนาวไม่ร้อนถึงจะไม่ค่อยมีลมก็ตาม
[CR] ผาโสก ผาเจ๊ก ผาเมย3 วัน 2 คืน แคมป์ริมผา วิวน้ำโขง
เรื่องมีอยู่ว่า... ประมาณปีก่อนผมเห็นภาพน้ำตกผาโสกในโซเชียลมีเดียแล้วรู้สึกว้าวมาก แถมยิ่งว้าวเข้าไปใหญ่เมื่อรู้ว่าหน้าผาแห่งนี้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม อุบลราชธานี เพราะผมเคยไปผาแต้มมาหลายรอบ ผาชะนะไดก็เคยไป ผาเจ๊ก ผาเมย ก็เคยได้ยินชื่อ แต่ไฉนเลยจึงไม่เคยรู้จักผาโสกมาก่อน
เมื่อความสงสัยบังเกิด ตามสัญชาติของผมก็ต้องไปค้นหาให้เห็นกับตาน่ะสิครับ
บังเอิญเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาผมมีโอกาสกลับไป อช.ผาแต้ม อีกรอบ เลยถามเจ้าหน้าที่ให้หมดความคาใจว่า ผาโสกคือที่ไหนไปยังไง จนได้ความว่าอยู่ไม่ไกลหน่วยพิทักษ์ฯ น้ำตกสร้อยสวรรค์ ถ้ารู้ทางไปเที่ยวเองก็ได้ ให้ชาวบ้านนำทางก็ได้ หรือจะให้เจ้าหน้าที่นำไปก็ได้เหมือนกัน ติดต่อมาที่หน่วยฯ ได้เลย
เที่ยวง่ายขนาดนี้ก็ต้องโดนกันหน่อยล่ะ
กำหนดวันปุ๊บ กลางเดือนสิงหาคม รวมรวบสมาชิกปั๊บเก้าชีวิต ทริปผาโสกก็เกิดขึ้นพร้อมกับความลิงโลดของผม เพราะป่าบนภูอีสานเป็นอะไรที่ผมชอบอยู่แล้ว และโดยส่วนตัวอยากทำให้เส้นทางเที่ยวธรรมชาติอีสานให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
ก่อนไปเที่ยวขออธิบายเส้นทางสักนิดเพราะเราไม่ได้แค่ไปเที่ยวผาโสกแบบคนอื่นเขาซึ่งใช้บริการไกด์ชาวบ้านพรานท้องถิ่น แต่เราจะเที่ยวกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เดินป่าตามแนวหน้าผาอุทยานแห่งชาติผาแต้ม (ซึ่งไม่ใช่บริเวณผาแต้ม) ใช้เวลาสามวันสองคืน เริ่มต้นจากน้ำตกสร้อยสวรรค์ ไปผาเจ๊ก ผาเมย ตั้งแคมป์คืนแรก วันที่สองเดินต่อไปผาโสก ตั้งแคมป์คืนสอง แล้วกลับมาน้ำตกสร้อยสวรรค์วันสุดท้าย
ผาเจ๊กและผาเมยเป็นหน้าผาซึ่งรถกระบะหรือมอเตอร์ไซค์เข้าถึง ขณะที่ผาโสกรถเกือบถึง แต่เราจะไปเดิน เพราะฉะนั้นถึงรถเข้าได้เราก็ไม่นั่งหรอก อยากเมื่อยมากกว่า (ฮา...) เดินเลียบผาไปเรื่อยๆ ชมวิวน้ำโขงให้เพลินใจ ระยะทางเดินทั้งหมดของทริปประมาณ 12 กิโลเมตร ไม่รวมการนั่งรถไปยังจุดเริ่มเดิมและจุดรับกลับอีกสัก 4-5 กิโลเมตร
ปีนี้มีคนมาเที่ยวผาโสกเยอะขึ้น มากางเต็นท์ค้างแรมกันแทบทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์หลายกลุ่ม เพราะเป็นที่รู้จักผ่านโลกออนไลน์นี่แหละ แต่อย่างที่บอกคือไปกับไกด์ชาวบ้านซึ่งเป็นคนละเส้นทางกับเรา ส่วนที่ให้เจ้าหน้าที่พามาแบบเรา แถมเดินทางผาเจ๊ก-ผาเมย เราเป็นกลุ่มแรกของปีเลยล่ะครับ
ไปยังไงน่ะหรือ ? ผมติดต่อรถไว้แล้วล่ะ เป็นสองแถวสีขาวคิวหน้าสถานีรถไฟ หาไว้ตั้งแต่มาอุบลคราวก่อนด้วยวิธีขอเบอร์โทรและถามราคาเหมาไว้หลายคัน ใครให้ราคาดีสุดก็ไปกับคันนั้น คันที่ได้คุณลุงโชเฟอร์เรียก 1,700 บาท สำหรับระยะทางขาเดียว 100 กิโลเมตร ถือว่าสมเหตุสมผล ไม่ถูกไม่แพง หารเก้าคนก็คุ้มพวกเราอยู่
ออกเดินทางตามสเต็ปอย่างที่บอกครับ รับคนที่บขส. แล้วก็ลิ่วไปทางอำเภอพิบูลมังสาหาร แวะตลาดสด ซื้ออะไรก็จัดการให้เรียบร้อย ที่นี่ตลาดใหญ่มีทุกอย่าง ของสด ของแห้ง ของกินกลางวันอย่าให้ขาด
นั่งเรื่อยๆ เอื่อยๆ จากพิบูลถึงสามแยกโขงเจียม เลี้ยวขวาไปตัวอำเภอ แม่น้ำสองสี ส่วนเราเลี้ยวซ้ายไปทางอุทยานแห่งชาติผาแต้ม แล้วเลยทางเข้าอุทยานไปอีก 15 กิโลเมตร ก็จะถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานที่ ผต.1 (สร้อยสวรรค์) เราไปถึงประมาณสิบเอ็ดโมง เจ้าหน้าที่เตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว
จัดของเตรียมตัวแล้วขึ้นรถกระบะซึ่งจะไปส่งที่จุดเริ่มเดิน ช่วยทุ่นระยะทางไปได้หลายกิโลเมตร และรถคันนี้จะเข้าไปส่งเสบียงเจ้าหน้าที่ไปลาดตระเวนพร้อมเราที่จุดตั้งแคมป์ตอนเย็นด้วย เพราะฉะนั้นขี้เกียจแบกอะไรฝากไว้กับรถได้ จะฝากเป้ทั้งใบก็ตามสบาย แต่เราไม่ฝากเป้หรอกครับ เดี๋ยวจะไม่เท่ (ฮา...)
เที่ยงนิดๆ รถมาปล่อยพวกเราลงตรงลานหินกว้างเรียกว่าภูโลง เพราะมีการค้นพบโลงศพมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตามซอกหิน จากตรงนี้เราจะเดินเท้าอีก 5 กิโลเมตร ไปจุดตั้งแคมป์แรก ที่ผาเจ๊ก-ผาเมย เป็นทางเดินราบๆ บนภูหินทราย ไม่มีอะไรลำบาก
ป่าผาแต้มเป็นป่าเต็งรังบนภูหินทราย ลักษณะก็จะค่อนข้างโปร่งและไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่สักเท่าไหร่ เดินเล่นคุยกับเจ้าหน้าที่ผมก็สอบถามตามประสา “เดี๋ยวนี้ยังมีปัญหาเรื่องตัดไม้อยู่บ้างไหมครับ” เจ้าหน้าที่หัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วพวกตัดไม้ ไม่เหลืออะไรให้มันตัดแล้ว”
จุกถึงอก ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี...
เดินผ่านป่าโปร่งๆ สลับลานหินสักครึ่งชั่วโมงเราก็ได้มายืนเลียบหน้าผามองวิวแม่น้ำโขง ช่วงนี้ฝนเริ่มตกชุกมากขึ้น น้ำโขงเลยมีสีปูนอย่างที่เห็น
สิ่งที่เห็นได้ชัดบนป่าผาแต้มคือลานดอกไม้ป่าครับ ขนาดมาช่วงไม่ใช่ฤดูออกดอกยังพอมองเห็นเลยว่ามีกระจายอยู่เต็มไปหมด หากมาปลายฝนต้นหนาว ปลายตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม ซึ่งเป็นฤดูของพวกมันคงต้องสวยมากแน่ๆ แถมดอกไม้อื่นๆ ก็มีให้เห็นไม่น้อย หงอนนาคโผล่มานิดๆ หน่อยๆ ด้วย
บ่ายโมงครึ่ง เรามาถึงผาเจ๊ก (บ้างเขียนผาเจ๊ก บ้างเขียนผาเจ็ก แบบแรกคือคำที่ถูกต้องตามความหมายครับ) ที่มาของชื่อคือเจ๊กชาวจีนนั่นแหละ สมัยก่อนชาวจีนที่ล่องเรือส่งสินค้าหรือค้าขายจะมาพักกันที่ผาแห่งนี้ ส่วนเรื่องความงามต้องบอกเลยว่าแจ่มจริง ทั้งสวยและเสียวในเวลาเดียวกัน
ช่วงนี้หน้าฝนหมู่บ้านข้างล่างทำนาเขียวขจีเลยเชียวล่ะ ถ้ามาหน้าหนาวบรรยากาศไม่สดชื่นแบบนี้นะ จะออกไปทางร้อนแล้ง เหลืองกรอบไปหมด
ยังไม่ทันจะบ่ายสองโมง เราก็เดินมาถึงจุดตั้งแคมป์วันแรก มองย้อนกลับไปทางผาเจ๊กวิวอย่างงาม เวลา มาเที่ยว อช.ผาแต้ม ทีไร ผมคิดเสมอว่าภูฝั่งลาวสวยจริงๆ มาตอนนี้แหละรู้แล้วว่าฝั่งเราก็สวยไม่แพ้ของเขาหรอก
จุดตั้งแคมป์เป็นลำธารชื่อห้วยจั่ววง อยู่ตรงกลางระหว่างผาเจ๊กกับผาเมย จริงๆ เป็นน้ำตกลงจากหน้าผาเหมือนกับผาโสก แต่ช่วงนี้น้ำยังไม่เยอะมาก มีเต็นท์ที่ทางล้นเหลือ เปลก็พอผูกได้อยู่บ้างแม้ต้นไม้เหมาะๆ มีให้เลือกไม่เยอะสักเท่าไหร่ ทริปนี้พวกเรามีเปลสอง กับเต็นท์อีกเจ็ด
อะไรจะชิลขนาดนี้ มีเวลาเหลือเฟือสำหรับนั่งเล่นนอนเล่น ชมวิว ถ่ายรูป และแน่นอนว่ารวมถึงการอาบน้ำ แถมเพิ่มความชิลยิ่งกว่า อย่างที่บอกคือตรงนี้รถยนต์และมอเตอร์ไซค์เข้าถึง แถมเย็นนี้จะมีรถมาส่งเสบียง เราจึงสามารถฝากซื้ออะไรเข้ามานิดหน่อยได้สบายๆ ซึ่งอะไรนิดหน่อยที่ว่าก็ไปตีความกันเอานะ (ฮา...)
ใกล้เย็นพวกเรารวมตัวล้อมวงทำกับข้าวแบบสรวลเสเฮฮา น่าจะเป็นครั้งแรกในทริปเที่ยวป่าที่เราได้ดินเนอร์กันก่อนฟ้าจะมืด เพราะอย่างที่บอกครับว่าสบายๆ เวลาเยอะเหลือเกิน เลยเริ่มทำอาหารกันเร็ว
คืนนี้สบายๆ คุยกันเฮฮานั่งดึงดาวกันไป โอ้โห... บอกเลยว่าเขาสูงกว่านี้ป่าลึกกว่านี้ไปมาเยอะแยะ แต่วันนี้เป็นหนึ่งในวันซึ่งผมเห็นท้องฟ้าสวยสุดในชีวิต ชัดเจนกว่า 4K ต่อให้ดูดาวไม่เป็น พอแหงนคอมองปุ๊บก็ยังบอกได้เลยตรงไหนคือทางช้างเผือก พาดจากไหนไปไหน
คืนนี้พวกเราแยกย้ายกันประมาณห้าทุ่ม กางเต็นท์ก็มุดเต็นท์ ผูกเปลก็ขึ้นเปล ผมนอนเปลสบายๆ ไม่หนาวไม่ร้อนถึงจะไม่ค่อยมีลมก็ตาม
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้